Noroi: The Curse (2005) : Kôji Shiraishi ♥♥♥♡
(mini Review) Noroi แปลว่าคำสาป อาถรรพ์ตำนานสยอง อาจทำให้คุณหลงเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือความจริง เพราะดำเนินเรื่องในรูปแบบสารคดี (Mockumentary) กึ่งๆ Found Footage สร้างความหลอกหลอนน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า The Blair Witch Project (1999) หรือ Paranormal Activity (2007) เป็นไหนๆ
แม้ความ Horror ของหนังเรื่องนี้จะไม่ถึงระดับ Cannibal Holocaust (1980) ปฐมบทโคตรแห่งตำนานของแนว Found Footage แต่ต้องถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สร้างสีสันให้ยุคสมัย New Asian Horror ได้อย่างขนลุกขนพอง ยกระดับมาตรฐานความหลอกหลอนสะพรึงกลัวยิ่งๆขึ้นไปอีก
ผมเองก็เกิดอาการใจหวิวๆ บ่อยครั้งในการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งๆที่ก็ตระหนักรู้ได้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ด้วยวิธีการดำเนินเรื่อง กล้องถ่ายมุมมองบุคคลที่ 1 ทำให้เสมือนเรากลายเป็นส่วนหนึ่ง ผู้อยู่ในของเหตุการณ์นั้น แม้งโคตรสมจริงเลยว่ะ! เกิดความหวาดหวั่นวิตกกลัว นี่ฉันจะเผลอติดคำสาปบ้าๆนี้มาหรือเปล่า?
Kōji Shiraishi (เกิดปี 1973) ผู้กำกับ/นักเขียนบท สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Fukuoka เรียนจบสาขาภาพยนตร์จาก Kyushu Sangyo University เริ่มงานจากเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Gakuryū Ishii เรื่อง August in the Water (1995), Shinobu Yaguchi เรื่อง Waterboys (2001), สร้างหนังขนาดยาวเรื่องแรก Ju-Rei: The Uncanny (2004), ประสบความสำเร็จล้นหลามกับผลงานถัดมา Noroi: The Curse (2005) กลายเป็นผู้กำกับ Typecast ไปโดยปริยาย
Shiraishi เคยให้สัมภาษณ์ถึงความชื่นชอบสนใจภาพยนตร์ เกิดจากได้รับชมผลงานของ Gakuryū Ishii เรื่องโปรดเลยคือ Crazy Thunder Road (1980), สำหรับผู้กำกับที่หลงใหล อาทิ John Carpenter, Brian De Palma, Abbas Kiarostami, Sam Raimi ในผลงาน The Texas Chain Saw Massacre (1974), Dawn of the Dead (1978), The Evil Dead (1981), Evil Dead 2: Dead by Dawn (1987), The Thing (1982) ฯ
เรื่องราวของ Masafumi Kobayashi (รับบทโดย Jin Muraki) ผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ อาทิ ผีวิญญาณ คำสาป พลังโทรจิต ฯ มีผลงานเขียนหนังสือ บทความ รายการโทรทัศน์ โด่งดังทั่วญี่ปุ่น แต่หลังจากสร้างสารคดีเรื่องหนึ่ง Noroi เสร็จสิ้นไม่กี่วัน บ้านของเขาถูกเผาไหม้วอดวาย ภรรยาไฟครอกตาย เจ้าตัวสูญหายไร้ร่องรอย ราวกับสิ่งที่ Kobayashi ค้นพบในครั้งนี้ ตามติดสู่โลกความเป็นจริง
นักแสดงส่วนใหญ่ถือว่าเป็นสมัครเล่น แต่ก็ได้ดารามืออาชีพ Marika Matsumoto (เกิดปี 1984 ที่ Nakano, Tokyo) รับบทเป็นตัวเอง นักแสดงหญิงชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น เจ้าของฉายา ‘Mini Stop-chan’ ผู้มีสัมผัสที่ 6 รับรู้สัมผัสสิ่งเหนือธรรมชาติได้ ซึ่งหนังได้ทำให้เธอพบเจอและติดคำสาปหนึ่งมา กำลังจะถูกอาถรรพ์นั้นตามมาหลอกหลอน สุดท้ายโชคดีที่สามารถหาวิธีเอาตัวรอดชีวิตไปได้ (นี่ถ้าเธอเสียชีวิตในหนัง แล้วหายหน้าไปจากวงการจริงๆละก็ การันตีว่าผู้ชมจะยิ่งขนลุกขนพอง ‘เชื่อ’สุดใจแน่ๆว่านี่คือความจริง)
ถ่ายภาพโดย Shozo Morishita โดยใช้กล้อง Digital ไม่น่าจะน้อยกว่า 2 ตัว, มุมมองบุคคลที่ 1 เป็นการแทนด้วยสายตาของผู้ชม ให้เสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่ง อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ ตัวละครพบเจออะไร ผู้ชมก็จะรับรู้มองเห็นเช่นนั้น นี่ช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับหนังได้มากทีเดียว
สังเกตว่าหลายครั้งกล้องมักจะมีการซูม ในระดับ Close-Up ใบหน้าของตัวละคร ผู้ให้สัมภาษณ์ หรือเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น นี่เป็นการสร้างจุดโฟกัส สายตาให้กับผู้ชม จับจ้องมองบุคคล/สิ่งสำคัญที่ปรากฎอยู่
แต่การถ่ายภาพด้วยมุมมองบุคคลที่ 1 มีข้อเสียใหญ่คือ ขณะถือกล้องออกเดินหรือวิ่ง จะมีอาการสั่นสะเทือนรุนแรง (Shaky Camera) จนอาจมองภาพไม่รู้เรื่องว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้ชมจะเกิดความรู้สึกหวาดหวั่น ตื่นตระหนก ตกใจกลัวเต็มพิกัด, กระนั้นหลายครั้งทีเดียวที่หนังทำให้มองดูรู้ จงใจสั่นกล้องมากเกินไป ทำให้ขาดความสมจริงเล็กๆ (แต่ก็สามารถมองข้ามจุดไปได้นะครับ)
ตัดต่อโดย Nobuyuki Takahashi, ด้วยความยาวเกือบๆสองชั่วโมง เรื่องราวต่างๆถูกถ่ายไว้แบบสารคดี มีทั้งจาก Archive Footage, เดินทางไปสัมภาษณ์ สังเกตการณ์ผู้คน, รายการโทรทัศน์ วาไรตี้ ทีวีโชว์ ฯ หนังไม่มีฉากหรือปรากฎการณ์อันสยดสยองน่ากลัวใดๆ แต่เรื่องราวมีปริศนาลึกลับที่ท้าให้ผู้ชมใคร่ติดตาม ค้นหาคำตอบว่าแท้จริงมีอะไรเกิดขึ้น
ไฮไลท์คือการ rewind หรือ slow-motion ภาพเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ผู้ชมอาจไม่ทันเห็น แถมมีการซูมเข้า พูดบอก ชี้จุดแเน้นๆ ไม่ให้พลาด เก็บตกทุกรายละเอียดที่แอบซ่อนอยู่ นี่เป็นการชี้ชักนำชวนให้เกิดความเข้าใจ มีความน่าขนหัวลุกไม่เบาทีเดียว, พวกรายการโชว์ อาทิ คนอวดผี, ล่าท้าผี ฯ ผมไม่เคยรับชมหรอกนะครับ แต่คงมีวิธีการนำเสนอคล้ายๆกันนี้แหละ โดยเฉพาะภาพถ่ายติดวิญญาณ ถ้าโผล่มาละก็จะมีทั้งเล่นซ้ำ สโลโมชั่น วงกลมชี้ให้เห็นกันชัดๆเลย
ช่วงพยายามถอนคำสาป เนื่องจากมี 2 เรื่องราวคู่ขนานเกิดขึ้นพร้อมกัน การตัดต่อจึงใช้วิธีตัดสลับไปมาทั้งสองเหตุการณ์ จริงอยู่ที่นำเสนอแบบนี้สมเหตุสมผลเรื่องเวลาและการสร้างอารมณ์ แต่ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดใจยังไงชอบกล เพราะมันทำให้แต่ละเรื่องขาดความต่อเนื่องในตัวเอง สะดุดและกระโดดไปมา คิดว่าถ้าใช้การเล่าทีละเรื่องจนจบ แล้วค่อยนำอีกเหตุการณ์มานำเสนต่อ น่าจะมีความลงตัวมากกว่า
สำหรับเพลงประกอบ ไม่มีเครดิต น่าจะนำจาก Stock Music แม้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ แต่ช่วงไคลน์แม็กซ์จะมีเสียงหึ่งๆ หลอนๆ ที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้หนังได้อย่างสมจริง
“No matter how terrifying, I want the truth.”
ผมขอไม่สปอยอะไรมากกับเนื้อหาภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ขอให้ตระหนักระลึกอยู่เสมอในใจว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องจริง’ ต่อให้มีความโคตรสมจริงมากขนาดไหน แยกแยะข้อเท็จจริงกับเรื่องแต่งให้ออก ไม่เช่นนั้นรับชมหนังเรื่องนี้ ภาพอันหลอกหลอน น่าสะพรึงกลัว จะตราติดฝังใจคุณออกมาแน่
คำสาปที่ค้นพบเจอในหนังเรื่องนี้ คล้ายตำนาน Pandora’s Box มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ ‘ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ’ บอกว่าห้ามยุ่ง อย่าเปิดกล่อง หรือกินผลแอปเปิ้ล มีหรือจะสามารถหักห้ามย่ามใจต่อกิเลสความอยากรู้ใคร่สงสัยนี้ได้ ซึ่งเมื่อใดบุคคลกระทำการผิดกฎเกณฑ์ข้อตกลง เปิดกล่อง Pandora, กินแอปเปิ้ลจากสวนอีเดน เขาผู้นั้นย่อมต้องได้รับผลกรรมคืนสนอง มิอาจแปรเปลี่ยนได้
ด้วยความสำเร็จล้นหลามของ Noroi: The Curse ทำให้ Shiraishi สร้างภาพยนตร์แนวเดียวกัน Mockumentary ในลักษณะ Found Footage ตามมาถึงปัจจุบันอีก 4 เรื่อง ประกอบด้วย
– Occult (2009)
– Shirome (2010)
– Chō Akunin (2011)
– Bachiatari bouryuku ningen (2011)
ส่วนตัวค่อนข้างชื่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะความสมจริงในเรื่องราว สร้างความลึกลับพิศวง ชวนให้ติดตามใคร่อยากรู้คำตอบ และวิธีการเล่าเรื่อง ถ่ายภาพ ตัดต่อ มีประสิทธิผลสูง สร้างความหลอกหลอนน่าสะพรึงกลัวได้ถึงใจ สาระอาจไม่ค่อยมีแต่ความบันเทิงจัดเต็ม
แนะนำกับคอหนัง Horror ชื่นชอบเรื่องลึกลับ ผี คำสาป สิ่งเหนือธรรมชาติ, แนวกึ่งสารคดี Found Footage มีความสมจริงจับต้องได้, แฟนๆนักแสดง Marika Matsumoto ไม่ควรพลาด
จัดเรต 18+ กับความสมจริง เหนือธรรมชาติ และการตาย
Leave a Reply