Our Hospitality (1923)
: Buster Keaton, John G. Blystone ♥♥♥♥
(mini Review) ภาพยนตร์ Masterpiece เรื่องแรกของ Buster Keaton, ความขัดแย้งระหว่าง 2 ครอบครัว ที่ถึงขนาดพ่อต้องเสี้ยมสอนลูกหลานให้เหม็นขี้หน้าศัตรู เจอกันต้องฆ่าให้ตาย แล้วมันจะมีวิธีไหนไหม ที่จะหยุดวงจรอุบาทว์นี้
ผมสองจิตสองใจ จะบอกหรือไม่บอกคำตอบของหนังนี้ดี คือถ้าใช้ Common Sense ก็จะค้นพบคำตอบได้ไม่ยาก… เอาเป็นว่าผมไม่บอกตรงๆแล้วกัน อ่านจากบทความนี้คงรู้ได้ ซึ่งถ้าคุณไม่อยากรู้ 74 นาทีของหนัง แปปเดียวเองนะครับ ไปหาดูเสียก่อน ใน Youtube มีเต็มเรื่อง แล้วค่อยกลับมาอ่านบทวิจารณ์จะได้อรรถรสมากขึ้น
ช่วงแรกๆในวงการภาพยนตร์ Keaton ทำหนังสั้นออกมาประสบความสำเร็จมากมายนับไม่ถ้วน จนถึงเวลาเริ่มต้นกับภาพยนตร์ขนาดยาว, Three Ages (1923) คือภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกที่ Keaton เขียนบท/กำกับ/นำแสดงเอง ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ยังไม่ถือว่าถูกใจนักวิจารณ์นัก จนกระทั่งการมาของ Our Hospitality เรื่องถัดมาในปีเดียวกัน ที่ถึงขนาดได้รับการยกย่องว่าเป็น Masterpiece เรื่องแรกของ Keaton เลยทีเดียว
ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ความขัดแย้งระหว่าง Hatfield-McCoy สองครอบครัวที่เคยเป็นเพื่อนสนิท แต่ไปๆมาๆเกลียดขี้หน้า พี่น้องฆ่ากันตาย แล้วพ่อเสี้ยมสอนลูกหลานให้รังเกียจฝ่ายตรงข้าม, เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงระหว่างปี 1878 ถึง 1890, แต่ Keaton เปลี่ยนแปลงพื้นหลัง ให้อยู่ในยุค 1830s เพราะขณะนั้นเขามีความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รถไฟ และต้องการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ หัวรถจักรรุ่นแรกๆที่ออกดำเนินการในอเมริกา
ว่าจ้าง Art Director นักออกแบบ Fred Grabourne ให้สร้างหัวรถจักรจำลอง (Locomotive) ตามแบบต้นฉบับจริง เขาเลือก Stephenson’s Rocket เพราะมันมีลักษณะภายนอกดูตลก (เห็นจากรูปก็รู้สึกว่าดูตลก ประหลาดดีนะครับ), กับสถานที่ถ่ายใช้ทำฉากนี้ เห็นว่าเป็นที่เดียวกับตอนถ่าย The General (1926) [จะว่าการเกิดขึ้นของ The General ได้อิทธิพลมาจากหนังเรื่องนี้ก็ได้]
สำหรับนางเอก Keaton เลือกภรรยาของเขาขณะนั้น Natalie Talmadge รับบท Virginia (ก็ว่าอยู่ ทำไมดูหลงใหลคลั่งไคล้กันจัง) หญิงสาวเชยๆ ไร้เดียงสา ก็ไม่รู้อีท่าไหนถึงตกหลุมรักพระเอก (คงประมาณเห็นใจ และคิดว่านี่อาจเป็นทางเดียวที่ทำให้ความขัดแย้งของสองครอบครัวยุติลงได้)
นอกจากนี้ Keaton ยังให้พ่อของเขา Joe Keaton รับบท คนขับรถไฟ, และลูกชายที่เพิ่งเกิด Buster Keaton Jr. รับบทเป็น Willie McKay ตอนเพิ่งเกิด, นี่เป็นหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ ตระกูล Keaton ทั้ง 3 รุ่นเล่นหนังพร้อมกัน
Keaton เป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อเรื่องเล่นฉาก Stunt อันตรายด้วยตนเอง, ระหว่างการถ่ายทำ ในฉากที่ Keaton ตกน้ำและถูกกระแสน้ำพัด เกิดอุบัติเหตุสลิงขาด ทำให้เขาพลัดตกลงไปในแม่น้ำ Truckee River ใช้เวลากว่า 10 นาทีที่ทีมงานจะช่วยเหลือสำเร็จ ถือเป็นบทเรียนความปลอดภัยครั้งใหญ่ ที่ทำให้ Keaton ตัดสินใจสร้างฉากนี้ขึ้นในสตูดิโอที่ Los Angeles ถ่ายทำต่อ จะได้ดูแลความปลอดภัยของตนเองได้ดีกว่า
ใจความของหนังเรื่องนี้ คือการหาวิธีเพื่อจะทำให้ ความโกรธแค้น อคติ กลายเป็น Hospitality (เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ) มันไม่มีอะไรในโลกที่มนุษย์ให้อภัยกันไม่ได้นะครับ ถ้าเพียงเราไม่ยึดติดกับอารมณ์ ความเจ็บปวดเคียดแค้น ต่อให้ใครมาฆ่าพ่อแม่ ฆ่าภรรยา ฆ่าลูกหลาน ก็ล้วนสามารถมีน้ำใจ ให้อภัย อโหสิกรรมกับเขาได้
สิ่งที่ถือเป็น Ground Breaking ของหนังเรื่องนี้ คือความขบขันเกิดขึ้นจากความตื่นเต้นในสิ่งที่ตัวละครกระทำ อาทิ
– วิธีปั่นจักรยานสมัยก่อน ที่ไม่เหมือนสมัยนี้
– วิธีเก็บฟืนแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาตัด (เอาหินขว้างคนขับรถไฟ แล้วเขาจะขว้างฟืนลงมาให้)
– วิธีย้ายลา (donkey=คนโง่) ออกจากรางรถไฟ, vice versa
– วิธีการใส่หมวกสูง บนเพดานรถที่แสนต่ำ (นี่คือเหตุผลทำไมตัวละครของ Keaton ถึงใส่หมวก porkpie)
– วิธีสร้างผู้หญิงจากหลังม้า
ฯลฯ
เหล่านี้คือสิ่งไม่สาระอะไรเลย ในชีวิตจริงคงไม่มีใครคิด-ทำ แต่พอได้รับการนำเสนอออกมา กลับเป็นความขบขันอย่างน่าเหลือเชื่อคาดไม่ถึงว่าสิ่งไร้สาระพวกนี้ จะสร้างความบันเทิงได้มากถึงมากที่สุด
ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้มาก ไม่ถึงขั้นตกหลุมรัก แต่ได้หลุดหัวเราะขำขันอยู่หลายที (ผมดูเรื่องนี้ต่อจาก The Cameraman รู้สึกว่าเรื่องนั้นมันไม่ขำเท่าไหร่ ดู Our Hospitality ยังรู้สึกสนุกมากกว่า) มีหลายฉากน่าจดจำ ตราตรึง แต่เพราะหนังเก่าไปหน่อย มันเลยเรียบง่ายธรรมดาไปเสียหาย
นี่ถือเป็นหนังที่แอบใส่สาระดีๆเข้าไป แต่ผู้ชมส่วนใหญ่มักมองข้ามไม่เห็น เพราะมัวแต่หัวเราะขบขัน จนลืมสนใจ ใจความสำคัญของหนัง กระนั้นหนังก็ยังควรค่าแก่การรับชมนะครับ
แนะนำกับแฟนหนังเงียบของ Buster Keaton, แนว Slapstick Comedy ที่ได้หัวเราะยิ้มร่าจนเหนื่อยแน่
จัดเรต PG กับการฆ่าๆแกงๆ
Leave a Reply