Pickpocket

Pickpocket (1959)

ผมไม่ชอบสไตล์การกำกับของ Robert Bresson เสียเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่า Pickpocket เป็นหนังที่ ต้องเทคนิคของ Robert Bresson เท่านั้นที่ใช่เลย ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม สวยงามและสมจริงที่สุด การันตีด้วยอันดับ 67 จากการจัดอันดับนิตยสาร Sight & Sound ถ้าคุณอยากเป็นโจรล้วงกระเป๋าต้องดูหนังเรื่องนี้ และถ้าคุณอยากปลอดภัยจากโจรล้วงกระเป๋าต้องดูหนังเรื่องนี้

เหตุผลที่ผมไม่ชอบหนังของ Robert Bresson ผมได้เคยเขียนอธิบายไว้แล้วใน Au Hasard Balthazar สไตล์การกำกับของ Bresson คือเลือกนักแสดงหน้าใหม่ๆที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการแสดง มาปู้ยี้ปู้ยำ ทำให้เขาหรือเธอรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย ต่อการแสดง ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ตัวละครที่ไร้จิตวิญญาณ เป็นเหมือนหุ่นที่เคลื่อนไหวด้วยสัญชาติญาณไม่ใช่การแสดง สำหรับ Pickpocket นั้นใช่เลย ตัวละครในหนังมันต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีบทหนังที่เข้ากับสไตล์การกำกับของ Bresson ได้

ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Crime and Punishment ของ Fyodor Dostoevsky นักเขียนชาวรัสเซีย กลายมาเป็นหนังสัญชาติฝรั่งเศส ในนิยายกับหนังเห็นว่ามีเรื่องราวที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร ตัวเอกในนิยายอาศัยอยู่ใน  แต่สิ่งที่ Bresson คงไว้คือแนวคิดของการกระทำความผิด ตัวละครในนิยายเป็นคนโดดเดี่ยวแต่ฉลาด อาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคา ปฏิเสธโลกภายนอก และกระทำความผิด ส่วนในหนัง ตัวเอกต้องการเงินเพื่อเติมเต็มความฝันและความต้องการ

นำแสดงโดย Martin LaSalle เล่นเป็น Michel อารมณ์ที่ออกมาจากสีหน้าของเขา เหมือนคนที่เคียดแค้นอะไรบางอย่าง คงเพราะความรู้สึก อารมณ์ของเขาถูก Bresson เค้นออกไปจนหมด เหลืออยู่แค่ตัวตนที่ว่างเปล่า ผมเห็นใจนักแสดงนะที่ถูกผู้กำกับทรมานจนกลายเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่รู้มาก่อนว่าวิธีการกำกับคืออะไร นี่เป็นตัวละครที่ใช่มากๆ เหมือนซอมบี้เดินดิน สายตาที่ล่องลอย คำพูดที่ส่อเสียดโลก นี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกของ LaSalle ทั้งชีวิตเห็นว่ามีผลงานกว่า 80 เรื่อง แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ให้กล่าวถึงเท่ากับหนังเรื่องแรกที่เขาเล่นเลย

นักแสดงหญิง Marika Green เล่นเป็น Jeanne นี่ดูเป็นตัวละครที่จับต้องได้ที่สุดในหนังเรื่องนี้ เธอมีอารมณ์ มีการแสดงออกทางสีหน้า คงเพราะตัวละครนี้ต้องผ่านอะไรๆมาพอสมควร เธอเป็นนักแสดงสัญชาติ swedish แต่ย้ายไปฝรั่งเศสเพื่อเล่นหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 16 เธอดูเด็กไปเสียหน่อยกับตัวละครนี้ แต่คงเพราะวิธีกำกับของ Bresson ทำให้เธอดูเหมือนเป็นหญิงที่ผ่านโลกมามากไปเสียแบบนั้น ปัจจุบันเธอยังมีชีวิตอยู่นะครับ เป็นป้าของ Eva Green

กำกับภาพโดย Léonce-Henri Burel เขาร่วมงานกับ Bresson หลายเรื่องทีเดียว หนังเรื่องนี้ไม่มีการถ่ายภาพมุมกว้างเลย แต่มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากมาย มุมเล็กๆที่ใช้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ตากล้องต้องถือว่าทำงานละเอียดมากๆเพื่อเก็บรายละเอียดพวกนี้ให้ครบถ้วน มีช็อตเยอะมากในหนัง ตัดต่อโดย Raymond Lamy ทั้งสองถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันแต่ก็สามารถทำงานได้เข้าขากันมากๆ เพราะกล้องเคลื่อนแบบนี้ จึงตัดต่อแบบนี้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ ผู้กำกับภาพและคนตัดต่อทำงานเข้ากันได้เจ๋งมากๆเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะฉากขโมยหมู่ หัวขโมย 3 คน กับการจิ๊กกระเป๋า ที่มีการเคลื่อนไหวภาพและตัดต่อได้ต่อเนื่อง ลงตัว สวยงาม และสมบูรณ์แบบมากๆ ซีนนี้มันเปะสุดๆ จังหวะที่พอดี นี่ต้องชื่นชมผู้กำกับ ที่สามารถคิดฉากนี้และนำเสนอออกมาในสไตล์ของเขาได้เยี่ยมมากๆ

เพลงประกอบ ผมได้ยินอยู่ 2 เพลงที่เป็น Orchestra ไปค้นดูคีตกวีคือ Johann Caspar Ferdinand Fischer ชาวเยอรมัน มีชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 17 แนวเพลงของเขาคือ Baroque Music เพลงในหนังคือ Orchestral Suite No. 7

Pickpocket มี 2 เรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่เป็นโจรอวดฉลาด อวดเก่ง คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น คิดว่าตัวเองถูก สิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่กระนั้นเขากลัวที่จะถูกตัดสิน มีช่วงเวลาหนึ่งในหนังที่เขาหนีไปที่อื่น หลายปีถัดมาก็กลับมา และในที่สุดเขาก็ทำพลาด

สองคือเรื่องราวของหญิงสาว ที่ทำตัวดีมาตลอด แต่เมื่อได้แต่งงานมีลูก กลับถูกสามีทอดทิ้ง ต้องดูแลตัวเองและลูก เธอไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย แต่ทำไมเธอถึงกลับต้องเจอกับเรื่องร้ายๆพวกนี้

เรื่องราวหนึ่งและสอง ได้มาบรรจบกัน หนึ่งคือชายเลว สองคือหญิงดี ฝ่ายชายเขาต้องการเป็นคนดี ส่วนฝ่ายหญิงกำลังเข้าสู่ด้านเลว ฉากจบผมว่ามันสวยงามมากๆนะ ฝ่ายชายอยู่ในคุก ฝ่ายหญิงอยู่ข้างนอก ทั้งสองจับมือ มองหน้ากัน และฝ่ายชายพูดว่า “Oh, Jeanne, what a strange way I had to take to meet you!” เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายในหนังที่ดังมากๆประโยคหนึ่งเลย

ความที่นี่เป็นหนังของ Bresson จึงไม่มีอารมณ์อะไรเคลือบแฝงในตัวละคร และเรื่องราวของหนังนัก แต่จะมีคำถามที่น่าจะเกิดขึ้นแน่ๆระหว่างดูคือ การขโมยของหรือล้วงกระเป๋า (Pickpocket) เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ หนังไม่ได้ให้คำตอบเรานะครับ แต่จะนำเสนอเหตุการณ์บางอย่าง เช่น ตัวละครมีความจำเป็นในการขโมยแค่ไหน, ขโมยไปเพื่ออะไร, ถ้าหัวขโมยพลาดโดนจับได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนดูต้องไปคิดวิเคราะห์ตัดสินเองว่า การขโมยเป็นสิ่งดีหรือเปล่า

เมื่อหนังดำเนินไปจนถึงจุดๆหนึ่ง จะเริ่มเห็นความขัดแย้งของแนวคิดบางอย่าง ฝ่ายชายที่เป็นโจรมานาน เขาไม่จำเป็นต้องขโมยของ แต่ที่เขาทำเพราะมันกลายเป็นกิจวัตร อดใจไม่ได้ มันคือตัวตนของเขาไปแล้ว สำหรับฝ่ายหญิง เธออาจจะเคยมองว่าการขโมยเป็นสิ่งไม่ดี แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเธอมองว่ามันอาจเป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด … ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อพระเอกออกจากคุกมาแล้ว เขาจะเลิกขโมยหรือไม่ หนังเปิดกว้างมากๆ เราอาจจะรู้สึกว่าเขาคงไม่ทำอีกเพราะอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดี แต่กระนั้น เขาจะไปทำอะไรได้ เพราะเมื่อสังคมตราหน้าว่าคนๆนี้เป็นโจรแล้ว มันยากที่จะเปลี่ยนความคิดของคน เมื่อนั้นเขาอาจจะกลับมาเป็นโจรอีกครั้งก็เป็นได้

ถ้าโตขึ้นอยากเป็นโจร ให้ศึกษาหนังเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน ถ้าคุณอยากป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกโจรล้วงกระเป๋า ก็ให้ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน เราจะเห็นฉากที่นำเสนอเทคนิค วิธีการล้วงกระเป๋าที่เอาไปใช้จริงได้เลย ถือว่าหนังเป็นเหมือนดาบสองคมมากๆ เวลาดูก็ชั่งใจสักนิดถ้าคิดจะทำตามนะครับ

ผมแนะนำหนังเรื่องนี้กับคนชอบดูหนังดีๆ หนังเก่าๆ แฟนหนังของ Bresson และแฟนหนังดราม่าของฝรั่งเศส น่าจะไม่ผิดหวังแน่ๆ ส่วนตัวผมไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากนัก แต่คุณภาพถือว่าเยี่ยมยอดทีเดียว จัดเรต 15+ เพื่อไม่ให้เด็กได้ลอกเลียนแบบแนวคิด และมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการขโมยของนะครับ

คำโปรย : “ไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนที่เข้ากับสไตล์การกำกับของ Robert Bresson ได้มากกว่า Pickpocket อีกแล้ว”
คุณภาพ : SUPERB
ความชอบ : LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: