princess mononoke

Princess Mononoke (1997) Japanese : Hayao Miyazaki ♥♥♥♥♥

(17/12/2016) เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร นำเสนอสิ่งที่พวกเราหลายๆคนหลงลืม นั่นคือ เหตุผลของการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แค่กับมนุษย์ด้วยกันในสังคม แต่รวมถึงเพื่อนสิ่งมีชีวิตร่วมโลก และธรรมชาติที่ต้องพึ่งพาอาศัย แต่กว่าที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ จะตระหนักได้ ทุกอย่างก็ล้วนสายเกินไปเสียแล้ว, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

Mononoke Hime เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรกที่ผมเขียน ก็รู้สึกว่าเขียนใช้ได้อยู่นะ แต่จุดประสงค์ของการ revisit ครั้งนี้ เพราะต้องการนำเสนอบทวิเคราะห์ แนวคิด และใจความของอนิเมะ ที่รู้สึกว่าตัวเองตอนนั้น ยังมองไม่เห็นความสวยงามแท้จริงที่ Hayao Miyazaki แอบซ่อนเอาไว้

Miyazaki มีแรงบันดาลใจแนวคิดเกี่ยวกับ หญิงสาวอาศัยอยู่ในป่าร่วมกับสัตว์อสูร มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 70s แต่ยังหาเรื่องราวประกอบเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ หลายครั้งเขาพบความน่าสนใจอื่น พัฒนาจนกลายเป็น Nausicaä of the Valley of the Wind (1984), Castle in the Sky (1986), My Neighbor Totoro (1988) ฯ กระทั่งเดือนสิงหาคม 1994 ที่ Miyazaki ได้ค้นพบสิ่งที่เขาสนใจ จึงเริ่มต้นวาด Storyboard ของอนิเมะเรื่องนี้

เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วง Medieval Japan/Muromachi Ero (ประมาณ ค.ศ. 1336 – 1573) นำเสนอจุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่าง ธรรมชาติกับโลกยุคใหม่ (การเข้ามาของยุคอุตสากรรม), Ashotaka ชายหนุ่มผู้จับพลัดจับผลู ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย จึงต้องการค้นหาคำตอบที่ว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่ มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

Mononoke (物の怪 หรือ もののけ) ไม่ใช่ชื่อของนางเอกนะครับ แต่เป็นคำที่เรียก วิญญาณ/สัตว์อสูร, ส่วน Mononoke Hime คือฉายาเรียกโดยมนุษย์ของ San เด็กหญิงที่เติบโตโดยหมาป่า

อนิเมชั่นเริ่มต้นสร้างในเดือน กรกฎาคม 1995 ใช้การวาดมือแบบ Traditional ลงบนแผ่น Cels ทั้งหมด, เห็นว่า Miyazaki วาดเองประมาณ 80,000 แผ่น จากทั้งหมด 144,000 แผ่น และมีประมาณ 10 นาทีที่ต้องใช้ Computer Graphic ช่วย (เพราะจะได้ทันฉายตามกำหนด)

เริ่มต้นเรื่อง ยามที่หอคอยสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในป่า จากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดวิ่งออกมา มีลักษณะคล้ายหมูป่า ผิวหนังปกคลุมไปด้วยสิ่งคล้ายงู เคลื่อนไหวรวดเร็วผิดปกติ มันกำลังจะโจมตีหมู่บ้าน, Ashitaka (Ashi=เท้า ก้าวย่าง, Ashita=พรุ่งนี้, taka=เหยี่ยว) ชายหนุ่มพยายามล่อลวงสัตว์ประหลาดนี้ให้ไกลคน และจัดการสังหารด้วยธนูสำเร็จ แต่ต้องแลกมาด้วยแขนซ้ายที่กลายเป็นแผลน่าสยดสยอง

หญิงเฒ่าผู้รอบรู้ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น สัตว์ประหลาดนั้นคือ ปิศาจหมูป่ายักษ์ (Boar God) ที่ถูกกระสุนยิงฝังใน ทำให้เกิดความบ้าคลั่ง แต่มันมาจากไหน? ส่วนแขนซ้ายของ Ashitaka นั้นคือคำสาปของปีศาจ ปล่อยไว้จะลุกลามไปทั่วร่างกาย ถูกความชั่วร้ายกลืนกินจนเสียชีวิต วิธีเดียวที่อาจจะช่วยได้คือ ออกเดินทางสู่ดินแดนตะวันตก หาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ธรรมชาติเกิดความผิดปกติ คำสาปคืออะไรและวิธีใดจะช่วยยกคำสาปได้, ชายหนุ่มออกเดินทาง ขี่ Yakul สัตว์ที่เหมือนม้า มีรูปลักษณ์เหมือนละมั่ง แพะภูเขา เขายาว ที่จงรักภักดีต่อนายมาก

Ashitaka สวมชุดสีน้ำเงิน (=สีท้องฟ้า) กางเกงขาว ใส่ผ้าคลุมหัวสีแดง มีธนูเป็นอาวุธ

การเดินทางของ Ashitaka ทำให้เขาได้พบกับคนสองกลุ่ม

Lady Eboshi (Ebony=ไม้เนื้อแข็งสีดำ เช่น ไม้ตะโก ไม้มะเดื่อ) หญิงสาวที่เปลือกนอกเข้มแข็ง โอหัง หัวกบฎ (ไม่คิดเข้าข้างกับจักรพรรดิ) มีความเฉลี่ยวฉลาด รอบรู้เรื่องการหลอมเหล็ก ทำอาวุธปืน ในโลหะนครของเธอเต็มไปด้วยผู้หญิงที่ถูกกดขี่ และผู้ชายที่มักจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, การมีตัวตนของเธอเปรียบได้กับ วิวัฒนาการของมนุษย์ที่มาถึงจุดสามารถเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว คือจุดเริ่มต้นของโลกยุคใหม่ ที่มนุษย์อ้างว่าใช้ชีวิตพึ่งพาธรรมชาติลดลง (จริงๆแล้ว วัตถุดิบ อาทิ เหล็ก, เชื้อเพลิง, ถ่านหิน ก็ล้วนนำมาจากธรรมชาติ แต่ดันอ้างว่าไม่ได้พึ่งพิงธรรมชาติ ได้ยังไง!), Ashitaka เมื่อได้พบกับ Lady Eboshi สอบถามเหตุผล ว่าทำไมถึงรุกรานธรรมชาติ เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะอยู่ร่วมแบบพึ่งพากันและกัน คำตอบของเธอคือไม่ได้ เพราะความจำต้องเลี้ยงดูแลผู้คนมากมาย อ้างว่าเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์

Eboshi ทาปากสีแดง (ลิปสติก) จะสวมใส่ชุดกิโมโนสีแดงตลอดเวลา (พร้อมด้วยชุดคลุมสีน้ำเงิน ปกปิดอีกชั้น) [ข้างในเธอคงอ่อนไหวมาก ถึงขนาดปกปิดภายนอกทุกอย่างแบบนี้] อาวุธประจำตัวคือปืน และมีดแหลม

San (San=สาม, ลูกคนที่ 3) เด็กหญิง ลูกมนุษย์ที่เติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของหมาป่ายักษ์ เผ่าโมโร (Moro) เธอเป็นคนดื้อ หัวรั้น เอาแต่ใจ แต่รักผืนป่า ธรรมชาติบ้านเกิดเป็นที่สุด, San ถือเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ใช้ชีวิต ปรับตัว พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน กับผู้ที่มารุกราน เธอจำต้องต่อสู้ ขัดขวาง ปกป้องมิให้เข้ามาทำลายความสงบของวิถีป่า, Ashitaka เมื่อได้พูดคุยกับแม่ของ San (หมาป่ายักษ์หัวหน้าเผ่า) ถามว่า เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ คำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์เป็นฝ่ายเริ่มเข้ามารุกรานก่อน พวกเขาจึงต้องตอบโต้ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไร

หญิงสาวสวมชุดสีขาว (ข้างในสีน้ำเงิน) จำนวนน้อยชิ้นไม่ปกปิดแขนขา ปกติปากจะไม่ทาอะไร ยกเว้นครั้งหนึ่งที่ดูดเลือดให้แม่ จึงเปื้อนเลือดสีแดง, แก้มสองข้างและหน้าผาก ทาสีแดงเหมือนเขี้ยว (เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่า) สวมใส่เครื่องประดับที่เป็นกระดูก คลุมทับด้วยขนสัตว์ ใช้เขี้ยวแทนมีดลับเป็นอาวุธ, พกหน้ากากสีแดง มีหูด้วย เป็นหน้ากากผี ใส่เฉพาะตอนต่อสู้ สวมวิญญาณพงไพร

ณ จุดนี้ Ashitaka เข้าใจแล้วว่า คำสาปที่แขนซ้ายของเขา เกิดขึ้นเพราะอะไร?, มันคือผลกระทบ จากความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้เสียกับฝ่ายไหน แต่กลับได้รับผลเสียหายรุนแรง (ในอนิเมะ Ashitaka คือบุคคลที่ 3 ผู้จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ระหว่างความขัดแย้ง แต่ถ้ามองในภาพรวม เขาคือตัวแทนของ ประชาชนทุกคนในโลก)

แม้ Ashitaka จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่ง แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้, ไม่สามารถห้าม Eboshi ให้เลิกทำลายป่า (ไม่สามารถห้ามวิวัฒนาการของโลกที่พัฒนาเปลี่ยนไป) หรือห้ามมิให้ San เข้าร่วมฝูงหมูป่าต่อสู้กับมนุษย์ (ไม่สามารถห้ามการโต้ตอบจากธรรมชาติ อาทิ ภัยพิบัติ), เฉกเช่นเดียวกับ มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ทำได้แค่มองดู และภาวนาอธิษฐาน ขอให้มันไม่จบเลวร้ายอย่างที่คิดไว้

Forest Spirit/Shishigami/วิญญาณแห่งพงไพร เปรียบได้กับพระเจ้าผู้ให้กำเนิดและความตาย (God of Life and Death) ก้าวหนึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้น เมื่อถอนเท้าออก ต้นไม้เหล่านั้นก็เหี่ยวเฉา, การมีตัวตนของ Shishigami คือการแปรสภาพนามธรรมของ ‘ชีวิต’ ให้เป็นรูปธรรม จับต้องได้, สังเกตการออกแบบที่เหมือนเฒ่าทรงภูมิความรู้ (Elk = กวางขนาดใหญ่) หนวดเคราคิ้วยาวขาว เขาเหมือนกิ่งไม้ มีหลากหลายสาขา ใบหน้ามีความสมมาตร ยิ้มตลอดเวลา (หน้าแดงเหมือนหน้าลิง, ตาแดงกล่ำ สีเลือด=ชีวิต)

กลางวัน/กลางคืน จะเห็นว่าร่างของ Shishigami เปลี่ยนไป, กลางวันเป็นร่างของกวาง เดินบนผิวน้ำ สามารถจับต้องได้ ส่วนกลางคืนเป็นร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ (จิตวิญญาณ) มีลักษณะคล้ายของเหลวโปร่งแสง จับต้องไม่ได้, เหตุที่มีสองร่าง ก็เหมือน หยิน/หยาง เกิด/ตาย ร่างหนึ่งของกาย/ร่างหนึ่งของจิต คือลักษณะของ ‘ชีวิต’

ผลลัพท์ของการต่อสู้ นี่ถือเป็นการพยากรณ์ ความคิดเห็นของ Miyazaki ที่บอกว่า สักวันมนุษย์ก็ย่อมสามารถเอาชนะธรรมชาติได้สำเร็จ (จริงๆถือว่าเอาชนะได้มานานแล้วนะครับ) เปรียบการตัดคอ Shishigami เหมือนการทำลายวัฏจักรชีวิต ซึ่งเหมือนการฆ่าตัวตายด้วยน้ำมือของตนเอง, เมื่อชีวิตถูกทำลาย ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเริ่มต้น ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสรรพสัตว์ ไม่มีธรรมชาติ ไม่มีเกิด/ตาย การทำลายล้าง (Judgement Day) จึงเกิดขึ้น สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ถ้าไม่ถูกหยุด คงจะทำลายโลกให้จบสิ้นลงไป

เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ คือยอมแพ้ศิโรราบ วิ่งหนีให้สุดแรงเกิด แต่คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ!, การส่งคืนส่วนหัว เป็นการยอมรับว่า ‘ชีวิต’ จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัย ไม่มีทางที่มนุษย์จะอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาธรรมชาติ … แต่กลับกัน ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีมนุษย์นะครับ

มันคงดีถ้า มนุษย์อยู่ส่วนมนุษย์ ธรรมชาติอยู่ส่วนธรรมชาติ พบกันกลางทางบ้างบางครั้ง แต่ไม่ใช่รุกรานซึ่งกันและกันตลอดเวลา นี่คือสาสน์ตอนจบที่ Miyazaki ส่งท้าย (เห็นว่าฉากจบนี้ เขาคิดได้ตอนเดือนสุดท้ายก่อนอนิเมะออกฉาย ทีมอนิเมชั่นคงเร่งปันงานกันยิกเลยละ)

ความสวยงามของอนิเมะเรื่องนี้ นอกจากภาพสวย เนื้อเรื่องแฝงแนวคิดลึกซึ้ง ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคือ เพลงประกอบของ Joe Hisashi นักประพันธ์เพลงคู่บารมีของ Hayao Miyazaki ความไพเราะของบทเพลง ประสานจากออเครสต้าเต็มวง ใส่ความรู้สึก จิตวิญญาณลงไปในบทเพลง ดังกึกก้อง สั่นสะท้านอยู่ในใจของผู้รับฟัง

เวลาผมนั่งเขียนบทความรีวิวหนัง/อนิเมะ มักจะชอบเปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ และ Track ยอดนิยมที่มักกดฟังอยู่บ่อยๆ Princess Mononoke คือหนึ่งในนั้น, กับเพลงที่ผมคิดว่ามีความไพเราะ สวยงามที่สุดของอนิเมะเรื่องนี้คือ The Journey to the West ณ ขณะที่ Ashitaka ออกเดินทางจากหมู่บ้าน ภาพธรรมชาติระหว่างเดินทางกอปรกับเพลงประกอบนี้ก็ดังขึ้น, มันเป็นกลิ่นอาย บรรยากาศของการผจญภัย เปิดโลกทัศน์ ค้นหาโลกใหม่ เสียงดนตรีจะค่อยๆดังขึ้น พอเสียงฉาบใหญ่ดังขึ้น ก็จะถึงจุดสูงสุดของเพลง/ความสวยงามของธรรมชาติที่สุดอลังการ เป็นสุขอิ่มเอิบกับการได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ อันไม่มีที่สิ้นสุด

สำหรับเพลงร้องประกอบอนิเมะ เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่านักร้องเป็นผู้หญิง แต่แท้จริงแล้ว Yoshikazu Mera เป็นผู้ชายนะครับ ร้องเสียงสูงจนกลายเป็นผู้หญิง (counter-tenor) ผมไปเจอคลิปร้องสดของเจ้าตัว ลองดูก็ได้ว่าคนๆนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

ผมไปเจออีกฉบับหนึ่ง ที่มีการดัดแปลงเพลงนี้ แทนเปียโนด้วยพิณ และเสียงร้องเป็นผู้ชาย (ผู้ชายจริงๆนะครับ) ลองรับฟังกันดู อยู่ครึ่งหลังของคลิป, ตอน Youtube สุ่มให้ผมฟังครั้งแรก แบบว่าขนลุกเลย รีบกดเก็บเป็น Favorite ทันควัน

และพลาดไม่ได้กับงาน Budokan ที่ Joe Hisaishi เปิดการแสดงในโอกาสครบรอบ 25 ปีของ สตูดิโอจิบลี มี 3 บทเพลงที่นำมาจาก Princess Mononoke บรรเลงโดย New Japan Philharmonic World dream Orchestra ใครเป็นแฟนๆสตูดิโอนี้ ไม่ควรพลาดเลย จัดเต็มที่สุด ไพเราะกว่าในอนิเมะอีก, ไฮไลท์อยู่ที่เพลงสุดท้าย Masako Hayashi ในบทเพลงประกอบภาพยนตร์ น้ำเสียงเธอทรงพลัง ไม่ยิ่งก่อนไปกว่า Yoshikazu Mera

ในบรรดาเพลงประกอบอนิเมชั่นตั้งแต่ที่เคยดูมา ผมชอบเพลงประกอบของ Princess Mononoke มากที่สุดนะครับ มีความไพเราะที่ฟังได้ไม่รู้จักเบื่อ เปิดโลกทัศน์ตนเอง จินตนาการเห็นความสวยงามของธรรมชาติ เพลิดเพลินอยู่ในสวนแห่งนั้นจนไม่อยากกลับมาสู่โลกความจริง

ด้วยทุนสร้างประมาณ ¥2.35 พันล้านเยน (ประมาณ $23.5 ล้านเหรียญ) เป็นอนิเมชั่น 2 มิติทุนสร้างสูงสุดขณะนั้น ทำเงินในญี่ปุ่น ¥14.5 พันล้านเยน ($159.4 ล้านเหรียญ) กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในญี่ปุ่น แม้จะเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะถูก Titanic โค่นล้มสถิติลงได้ในปีเดียวกัน

Princess Mononoke ยังเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรก ที่สามารถคว้ารางวัล Best Picture ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัล Japan Academy Awards (น่าจะเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกของโลกด้วย ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)

นี่เป็นหนึ่งในอนิเมะเรื่องโปรด ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการทำความเข้าจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งในโลก

กับสรรพสัตว์ในโลก มีเพียงพุทธศาสนาหนึ่งเดียว ที่สอนให้เราปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเท่าเทียม เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ คือสิ่งๆเดียวกัน, ครั้งหนึ่ง/ชาติก่อน เราอาจเคยเกิดเป็นหมาแมว ฯ ชาติปัจจุบันเกิดเป็นมนุษย์ ก็ควรตระหนักให้ได้ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกล้วนเคยเกิดเป็นมนุษย์ แต่เพราะผลกรรมตามที่เคยทำต่างกัน สนองให้ชาตินี้ได้เกิดเป็นสิงสาราสัตว์ ระลึกตรงได้ คุณจะเห็นทุกสิ่งมีชีวิต มีความเท่าเทียมเสมอกันหมด

ต่างอะไรกับธรรมชาติ [นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวที่ศานาพุทธไม่ได้พูดถึง] ฟังดูอาจเว่อไร้สาระ แต่ผมเชื่อว่าธรรมชาติ แม้แต่ก้อนหินก็มีจิตวิญญาณของมัน (แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณแบบเดียวกับมนุษย์และสัตว์) จุดประสงค์ของการมีอยู่ คือเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และสูญสลาย ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์/สัตว์ แล้วทำไมบางครั้ง เดี๋ยวอากาศร้อน/หนาว/ฝนตก/หิมะ ธรรมชาติผิดแปลกเปลี่ยนเพราะผลจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ธรรมชาติก็ตอบโต้เอาคืน ด้วย แผ่นดินไหว/ภูเขาไฟระเบิด/หิมะถล่ม/สึนามิ นี่มันก็เหมือนว่า ธรรมชาติก็มีความรู้สึก จิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์

แต่ความเข้าใจที่ถูกคือ ภัยธรรมชาติ เกิดจาก มวลรวมของผลกรรมหมู่ของมนุษย์ อาทิ สึนามิที่ซัดเข้าฝั่ง มีคนจำนวนมากเสียชีวิต นั่นเกิดจาก กรรมหมู่ของคนเหล่านั้นที่เคยทำด้วยกันในอดีต สะสมร่วมกันมาหลายภพชาติ การตายในชาตินี้จึงคือถูกกรรมสนองพร้อมกัน

ธรรมชาติก็เช่นเดียวกับสรรพสัตว์ นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอก ปฏิบัติต่อทุกสิ่งรอบข้างด้วยความเสมอภาคเท่าเทียม แต่ไม่ใช่ว่า ต่อจากนี้จะเลิกกินเนื้อสัตว์ … มันไม่จำเป็นถึงขั้นนั้นนะครับ (พระเทวทัตเคยทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ออกศีลข้อห้ามพระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด เป็นมังสวิรัติ แต่พระพุทธเจ้าบอกไม่จำเป็น ท่านทรงห้ามฉันเนื้อสัตว์แค่ 10 ชนิด เช่น เนื้อมนุษย์, เนื้อสุนัข, เนื้อช้าง, เนื้อราชสีห์ ฯ พร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมห้ามฉันด้วยนะครับ) ผมเป็นคนชอบกินเนื้อมากๆ เวลากินจะระลึกว่า ‘ไว้ชาติที่ข้าเกิดเป็นหมู/ไก่/วัว ก็ขอให้เจ้าได้กินเนื้อของเราแลกกัน’

หรือใครจะทำตามแบบ Mark Zuckerberg ผู้เป็น CEO เจ้าของ Facebook ก็ได้นะครับ มีอยู่ปีหนึ่งเขาตั้งใจว่า จะกินเนื้อเฉพาะกับสัตว์ที่ฆ่าด้วยมือตนเองเท่านั้น … จากนั้นก็เลยเลิกกินเนื้อสัตว์ถาวร กลายเป็นมังสวิรัติไปแล้ว

แนะนำเป็นพิเศษกับคนที่อาศัยหากินอยู่กับธรรมชาติ อยากให้ตระหนักได้ว่า ธรรมชาติให้ชีวิตเรามากแค่ไหน เคยไหมที่จะคิดตอบแทนคืนสนอง

แฟนๆ อนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลี, Hayao Miyazaki และ Joe Hisaishi คงไม่ควรพลาดอยู่แล้ว

เหมาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ พวกเขาจะซึมซาบความสวยงาม และทัศนคติของอนิเมะเรื่องนี้ จดจำฝังใจ และรู้จักคำว่า ‘เสมอภาค’ กับทุกสิ่งในโลก

จัดเรต PG กับภาพกราฟฟิกหัวขาด แขนขาด และความรุนแรง, ผู้ใหญ่ควรนั่งดูกับเด็ก

TAGLINES | “Princess Mononoke อนิเมชั่น masterpiece ของ Hayao Miyazaki ร่วมกับ Joe Hisaishi ได้สร้างสิ่งสวยงามที่สุด เพื่อให้มนุษย์ตระหนักได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่กำลังจะจากเราไป”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | FAVORITE


mononoke hime

Princess Mononoke (1997)

(29/11/2015) หนึ่งในผลงานระดับ Masterpiece ของผู้กำกับอนิเมะในตำนาน Hayao Miyazaki พร้อมกับเพลงประกอบโดยนักประพันธ์เพลงระดับตำนานอีกคน Joe Hisaishi เมื่อใดที่ทั้งสองร่วมมือกัน มีแต่ผลงานระดับ Masterpiece

มีหนังของ Hayao Miyazaki หลายเรื่องที่ผมอยากจะเขียนรีวิว ตัดสินใจยากมากในการเลือกเรื่องไหนที่จะพูดถึงก่อน Princess Mononoke หรือชื่อไทย “เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร” นี้อาจไม่ใช่อนิเมะที่ผมชอบที่สุด แต่ถือเป็นอนิเมะที่ผมรู้สึกว่ามีคุณค่ามากที่สุด นอกจากความสวยงามด้านภาพ แสง สี ตัวละคร เนื้อเรื่อง เพลงประกอบแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่ Princess Mononoke ได้ทิ้งเอาไว้ คือจิตสำนึกและความตระหนักถึงการมีชีวิต ถ้าใครได้รู้จักสตูดิโอ Ghibli และ Hayao Miyazaki แล้วยังไม่เคยดู Princess Mononoke ถือว่าพลาดแล้วนะครับ

ณ ขณะนั้นที่อนิเมะเรื่องนี้ออกฉาย Mononoke-hime ได้รับความนิยมอย่างสูง ถึงขนาดว่ากลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในญี่ปุ่น แม้ในเวลาต่อมาจะถูกโค่นโดย Titanic ในปีเดียวกัน และ Spirited Away สามารถทุบสถิติได้ในเวลาต่อความ ในงานประกาศรางวัล Japan Prize Award ซึ่งเทียบเท่ากับ Academy Award ในสาขา Picture of the Year ที่ถือเป็นรางวัลสูงสุดที่ปกติแล้วจะมีแต่หนังคนแสดงเท่านั้นที่จะได้ นี่เป็นอนิเมะเรื่องแรกที่ได้ที่สามารถทำได้ โดยมีแค่อีกเรื่อง Spirited Away ที่ได้รางวัลเดียวกันในหลายปีถัดมา

นับว่าเป็นช่วงเวลาสูงสุดในอาชีพการงานของ Hayao Miyazaki ก็ว่าได้ หนังอนิเมะ 3 เรื่องที่สร้างติดๆกัน เริ่มจาก Princess Mononoke (1997), Spirited Away (2001), Howl moving Castle (2004) และ Ponyo (2009) เป็น 4 เรื่องที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ทั้งเงิน ทั้งกล่อง ผู้ชมทั่วโลกก็เริ่มรู้จักปรามาจารย์คนนี้ น่าเสียดายที่เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นหนังในกำกับของ Hayao Miyazaki หรือสตูดิโอ Ghibli อีกต่อไปแล้ว

สำหรับ Princess Mononoke นั้น Hayao Miyazaki ได้ใช้เวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการพัฒนาบท ตัวละคร เนื้อเรื่อง ทุกขั้น ทุกกระบวนการผลิตต้องต้องผ่านการตรวจสอบจากสายตาของเขา โดยภาพวาดทุกภาพเขาต้องลงรายละเอียด และมีวาดปรับปรุง แก้ไขทั้งหมด ว่ากันว่าหนังอนิเมะเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูงสุด(ในสมัยนั้น) กว่า 2.1พันล้านเยน (23.5 ล้านUS) ทั้งๆที่หนังส่วนใหญ่ที่ฉายในญี่ปุ่นขณะนั้น ทำเงินได้เฉลี่ยไม่กี่พันล้านเยนเท่านั้น แต่ด้วยความละเมียดละไม ความละเอียดอ่อน ที่ Miyazaki ได้สะสมสร้างชื่อให้กับตัวเองมาเรื่อยๆนับจาก My Neighbor Totoro หนังอนิเมะเรื่องนี้ทำเงินไปกว่า 16พันล้านเย็น (159 ล้านUS) สูงสุดในญี่ปุ่น ณ ปีนั้น

เทคนิคของ Miyazaki ที่จนถึงหนังอนิเมะเรื่องสุดท้ายที่เขากำกับ ยังคงใช้การวาดด้วยมือแผ่นต่อแผ่น แม้ว่าในยุคหลังๆจะมี Computer ที่ช่วยลดขั้นตอนการวาดภาพลงได้เยอะ แต่ Miyazaki เลือกที่จะไม่ใช้มันมากนัก เขามีความเชื่อว่า “hand drawing on paper is the fundamental of animation” ผมได้ยินว่า Princess Mononoke นั้นมีส่วนหนึ่งที่ใช้ Computer ทำ เหตุผลก็เพราะทำไม่ทันฉาย ซึ่ง Miyazaki เองก็ยอมรับตรงนี้ว่า Computer ได้ช่วยทุนแรงเขาไปพอสมควร เพราะเขาเริ่มอายุมากและโหลดงานมันเริ่มหนักเกินกว่าที่เขาจะทำได้ แต่เขาก็ได้จำกัดการใช้ Computer ในการช่วยทำงานให้อยู่ในระดับที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่ง Miyazaki ยังกล่าวอย่างภูมิใจว่า ผลงานเขายังจัดเป็นงาน 2มิติที่วาดด้วยมือ

องค์ประกอบของ Princess mononoke ไม่ว่าจะเป็นพระเอกที่ไม่เหมือนพระเอก การเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของพระเอกที่ได้ไปเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ และได้เจอกับ Mononoke สิ่งมีชีวิตต่างๆที่อ้างอิงมาจากความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนที่มีอยู่จริงในญี่ปุ่น Miyazaki นำเสนอเรื่องราวที่หนังคนแสดงไม่สามารถนำเสนอได้ ภาพการเคลื่อนไหว สเปเชียลเอ็ฟเฟ็ก ซึ่งต่อให้มีการดัดแปลงเรื่องนี้เป็น 3d ก็ไม่อาจเทียบเท่าความสวยงามของภาพที่มีแค่ 2d ได้

โดยเฉพาะสิ่งที่แฝงไว้ เรื่องราว การต่อสู้ และการแก้ปัญหา คนสมัยนี้อาจจะรู้สึกว่า Princess Mononoke ออกแฟนตาซีมาก แต่กระนั้นคนดูก็ยังสามารถตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ธรรมชาติในโลกได้เปลี่ยนไปมากแค่ไหน สะท้อนภาพ ความเป็นจริงด้วยอนิเมชั่น นี่คือ Miyazaki ครับ

Princess Mononoke ไม่ได้พูดถึงแต่แนวคิดเรื่องธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังพูดถึงชีวิต คนกลุ่มชนชั้นต่างๆ แม่ที่อุ้มลูกกระโตงกระเตงไปทำงาน เรากำลังเหยียบย้ำพื้นแผ่นดินที่ให้พื้นที่ยืนอยู่ พูดถึงความโลภของมนุษย์ ความอยากได้ การได้ครอบครอง การแสวงหามาเพื่อได้เป็นเจ้าของ หนังของ Miyazaki ทุกฉาก ทุกเรื่อง ทุกตอน ทุกรายละเอียดในหนังของเขา มีความหมายแฝง มีปรัชญาซ่อนเร้นอยู่เสมอ ดูแต่ละครั้งเราจะได้แนวคิดที่ไม่ซ้ำเดิม ได้อะไรใหม่ๆไม่น้อยหน้าหนัง Classic ดีๆฝั่ง hollywood นะครับ

พูดถึงนักพากย์สักนิด Miyazaki มักจะใช้นักพากย์เจ้าประจำที่เขาเชื่อฝีมือบ่อยๆ เช่น Yōji Matsuda ที่เคยพากย์ใน Nausicaä  ก็มาพากย์บทนำใน Princess Mononoke หรือ Sumi Shimamoto ที่ร่วมพากย์หนังของ Miyazaki อาทิ Nausicaä, Tororo แต่ก็มีนักพากย์ใหม่ๆอยู่นะครับ เช่น Yuriko Ishida เธอเน้นสายการแสดงมากกว่า แต่ก็กลับมาพากย์กับ Ghibli อีกครั้งตอน From up on Poppy Hill

งานอนิเมชั่นระดับ masterpiece พบกับงานเพลงระดับ masterpiece ถ้าท่านรู้จัก Hayao Miyazaki แต่ไม่รู้จัก Joe Hisaishi ก็ไม่ใช่แล้วนะครับ ทั้งสองทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ Nausicaä of the Valley of the Wind ผลงานกำกับเองชิ้นที่ 2 ของ Miyazaki จนถึงผลงานสุดท้าย งานเพลงของ Hisaishi ขึ้นชื่อเรื่องความไพเราะ กลมกล่อม เข้ากับผลงานของ Miyazaki ที่สุดแล้ว เป็นงานที่เนิบนาบ แต่หนักแน่น อ่อนหวาน แฝงความรู้สึก ปรัชญา สอดคล้องกับเรื่องราวในหนังอนิเมะของ Miyazaki ทุกเรื่อง สำหรับ Princess Mononoke แล้ว ผมอยากให้ฟังเพลงนี้กัน

เพลง Theme ของ Princess Mononoke สไตล์ของ Hisashi มักจะมีเปียโน ซึ่งพี่แกก็มักจะเล่นเองด้วย เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงหวาน ให้อารมณ์พริ้วไหว และในจังหวะที่ต้องการเน้นอารมณ์ เสียงเปียโนอ่อนๆ คลอเข้ากับเสียงของออเครสต้าอื่นๆ เพลงนี้ไว้ฟังก่อนนอนหลับฝันดีเชียวละ ผมฟังเพลงของ Hisaishi มาก็เยอะ ผมว่าเพลงนี้แหละที่เป็นตัวแทนสไตล์เพลงของ Joe Hisaishi ได้ตรงที่สุด

ตอนผมดู Princess Monoke 2 ครั้งแรก หลับกลางเรื่องทั้งสองครั้งเลย ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจภาษาภาพยนตร์เท่าไหร่ หนังมันอืด ยืด ง่วง ดูแล้วได้หลับทุกที จนผมยอมแพ้ละครับ เพิ่งได้กลับมาดูอนิเมะเรื่องนี้เมื่อ 1-2 ปีก่อน คราวนี้ผมสามารถดูจนจบได้ และรู้สึกชอบทันที (โดยเฉพาะตอนจบ ที่ผมไม่เคยดูถึงตอนจบสักที) ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่อง แต่ยังเป็นการนำเสนอภาพ วิธีการเคลื่อนไหว และเพลงประกอบที่เร้าอารมณ์ไปจนถึงที่สุดได้ ณ จังหวะนั้น แนวคิดแฝง ภาพสะท้อน สังคมเสียดสี วิถีชีวิต ไอเดียของหนังอนิเมะเรื่องนี้ได้หลังไหล่เข้ามาเป็นเทน้ำเทท่า อะไรที่ Miyazaki แฝงไว้ เข้าใจ ตีความได้ไม่ยากเลย เรื่องนี้ถือว่าย่อยง่าย ถ้าตัดอคติเรื่องที่มันเป็นหนังอนิเมชั่นออกไป นี่เป็นหนังที่ผู้ใหญ่ดูแล้วจะสะอึกเลยละครับ สารสาระของมันมากกว่าหนังสารคดีบางประเภทอีก

คำโปรย : “Hayao Miyazaki กับ Joe Hisaishi ใน Princess Mononoke คงไม่มีอะไรกล่าวมากกว่า สุดยอด สุดยอด สุดยอด”
คุณภาพLEGENDARY
ความชอบFAVORI

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: