
The Face of Another (1966)
: Hiroshi Teshigahara ♥♥♥♥
วิศวกรเคมี Mr. Okuyama (รับบทโดย Tatsuya Nakadai) เสียโฉมจากอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน โชคดีว่าเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ สามารถสร้างหน้ากากมนุษย์ขึ้นมาทดแทน แต่เมื่อสวมใส่กลับทำให้ตัวตน(เก่า)ค่อยๆเลือนหาย อันเนื่องจากรูปลักษณ์ใหม่ทำให้ทุกสิ่งอย่างปรับเปลี่ยนแปลงไป
The Face of Another (1966) คือภาพยนตร์ที่ทำการทดลอง (Experimental) เพื่อค้นหาว่าภาพลักษณ์ รูปร่างหน้าตา เปลือกภายนอกของมนุษย์ สามารถสร้างอิทธิพลต่อตัวเราเอง (Personal Identity) และส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง (Social Identity) มากน้อยเพียงไหน?
แต่ความลุ่มลึกของหนังยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สามารถขยับขยายไปถึงอัตลักษณ์ของประเทศชาติ (National Identity) ผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดนิวเคลียร์ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียรูปโฉม และเมื่อกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน (มาสองทศวรรษ) ภาพลักษณ์ใหม่(ของญี่ปุ่น)จักมีหน้าตาเช่นไร?
ความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Woman in the Dunes (1964) ทำให้ใครต่อใครเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อผลงานเรื่องถัดไป ซึ่งเอาจริงๆผกก. Teshigahara และเพื่อนนักเขียน Kōbō Abe (รวมถึงนักแต่งเพลง Toru Takemitsu) รังสรรค์สร้าง The Face of Another (1966) ที่มีความสุดโต่งไม่แพ้กัน แต่ทว่าในมุมชาวตะวันตกกลับรู้สึกว่ามันมากเกินไป?
While a success in Japan, The Face of Another was largely dismissed by Western critics at the time of its release, perhaps for its modernist style, which was becoming increasingly unfashionable, its “extravagantly chic … abstruse exploration of psychological symbolism” (Noël Burch)—a backlash that would also make Bergman and Antonioni figures of derision.
James Quandt นักวิจารณ์จาก Criterion Collection
It talks too much and too foolishly for its own good, like someone who can only be reassured by the sound of his own voice… When Okuyama receives what is, in effect, a facial transplant, the new face takes over the old personality for eventually fatal results. As fiction it’s too fanciful to be seriously compelling and too glib to be especially thought-provoking.
Vincent Canby นักวิจารณ์จาก The New York Times
ตอนผมเห็นชื่อหนัง The Face of Another (1966) บังเกิดความสับสนกับ Eyes Without a Face (1960) โคตรหนัง Horror สัญชาติฝรั่งเศส ที่ก็เกี่ยวกับการเสียโฉม (ปลูกถ่าย)ใบหน้าใหม่ แต่เคลือบแฝงนัยยะเสียหน้า (Losing Face) ที่หมายถึงสูญเสียความนับน่าถือตา
หนังอีกเรื่องที่ผมนึกถึงคือ Seconds (1966) กำกับโดย John Frankenheimer แต่เรื่องนี้ออกไปทาง Psychological Thriller ตัวละครไม่ได้เสียโฉม เพียงต้องการแสร้งตาย ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้เบื้องหลัง ปรับเปลี่ยนรูปโฉม เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ … ส่วน Face/Off (1997) อย่าไปพูดถึงมันเลยนะครับ
Hiroshi Teshigahara, 勅使河原 宏 (1927-2001) ศิลปิน ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Chiyoda, Tokyo เป็นบุตรของ Sōfu Teshigahara ผู้ก่อตั้ง Sōgetsu-ryū (草月流) โรงเรียนสอนศิลปะการจัดดอกไม้ (Ikebana หรือ Japanese Floral Art), ตั้งแต่เด็กมีความสนใจด้านศิลปะ โตขึ้นเข้าศึกษาจิตรกรรม Tokyo Fine Arts School (ปัจจุบันคือ Tokyo University of the Arts หรือ Tokyogeidai) เป็นลูกศิษย์ของ Okamoto Taro จิตรกร/นักแกะสลักผลงาน Abstract ค้นพบความชื่นชอบจิตรกรอย่าง Antoni Gaudí, Pablo Picasso, รวมถึงผู้กำกับภาพยนตร์ Luis Buñuel, Jean Cocteau ฯ จบออกมาทำงานเป็นจิตรกรอยู่สักพัก จับพลัดจับพลูมีโอกาสเขียนบท กำกับสารคดีเกี่ยวกับงานศิลปะ ก่อนเข้าร่วมกลุ่ม Century Society รับรู้จักว่าที่เพื่อนนักเขียนขาประจำ Kōbō Abe
การมาถึงของ Japanese New Wave ในช่วงทศวรรษ 60s นำโดย Shōhei Imamura, Nagisa Ōshima ฯ แยกตัวออกระบบสตูดิโอที่ยึดครองวงการภาพยนตร์ตลอดทศวรรษ 50s เพื่อรังสรรค์ผลงานที่เป็นส่วนตัว ไม่ถูกควบคุมครอบงำโดยใคร นั่นทำให้ผกก. Teshigahara เล็งเห็นโอกาสสรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Pitfall (1962), ติดตามด้วย Woman in the Dunes (1964)
สำหรับภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่สาม 他人の顔 อ่านว่า Tanín no Kao ใช้ชื่ออังกฤษ The Face of Another ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Kōbō Abe ตีพิมพ์ครั้งแรกลงนิตยสาร Gunzo ฉบับเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 ก่อนรวมเล่มตีพิมพ์เดือนกันยายนปีเดียวกัน
I have only just caught a glimpse of the terror of others. My continued struggle with other people and discovering new paths to new others… seems to be a theme related to my very existence.
Kōbō Abe
นวนิยายเล่มนี้ถูกเขียนออกมาในลักษณะเรื่องเล่าบุคคลที่หนึ่ง (First Person Narrative) แบ่งออกเป็นอารัมบท, สมุดบันทึกสามเล่ม (Black, Gray และ White) ก่อนทิ้งท้ายบทสรุปจากจดหมายของภรรยา
เกร็ด: Kōbō Abe ให้คำเรียกไตรภาค Disappearance Trilogy ประกอบด้วยนวนิยาย The Woman in the Dunes (1962), The Face of Another (1964) และ The Ruined Map (1967)
They are about people escaping, running away from the city, in search of a face, or looking for a missing person who himself is escaping. Of course they cannot escape; they always come hack to the same place. The works are also tied together by their concern with the city. You see, the city is the place where people first had to deal with the stranger who is not an enemy. I think they still have not succeeded completely.
การดัดแปลงนวนิยายเล่มนี้ถือว่ามีความท้าทายไม่น้อย แตกต่างจากสองเรื่องก่อนที่สามารถใช้ตัวช่วยสถานที่ถ่ายทำ เหมืองถ่านหิน ท้องทะเลทราย นำมาร้อยเรียงแปะติดปะต่อ สร้างสัมผัสกวีภาพยนตร์, The Face of Another ดำเนินเรื่องทั้งหมดในกรุง Tokyo แถมยังเต็มไปด้วยข้อความบรรยายความครุ่นคิดตัวละคร พร่ำเพ้อโน่นนี่นั่น ตั้งคำถามนั่นโน่นนี่
เกร็ด: ต้นฉบับนวนิยายไม่ได้มีการระบุชื่อตัวละคร เพียงใช้สรรพนามเรียกตนเองว่าฉัน (I) ส่วนภรรยาก็คือภรรยา (Wife) ส่วนภาพยนตร์จำเป็นต้องตั้งชื่อเลยใช้ Mr. & Mrs. Okuyama (แปลว่า Remote Mountain), ส่วนหมอใช้ชื่อเรียก Doctor K. (คาดว่าน่าจะเพื่อเคารพคารวะนักเขียน Franz Kafka)
เกิดอุบัติเหตุในโรงงานผลิตสารเคมี ทำให้วิศวกร Mr. Okuyama (รับบทโดย Tatsuya Nakadai) ต้องสูญเสียรูปโฉม ต้องใช้ผ้าพันแผลปกปิดใบหน้า แม้แต่ภรรยา Mrs. Okuyama (รับบทโดย Machiko Kyō) ยังปฏิเสธเหลียวแหลมอง สร้างความทุกข์ทรมาน อัดอั้นตันใจ
นั่นทำให้เขาติดต่อหาจิตแพทย์ Doctor K. (รับบทโดย Kyōko Kishida) เรียกร้องให้สร้างหน้ากากมนุษย์ ครุ่นคิดที่จะคบชู้ภรรยา เพื่อทำการโต้ตอบ ล้างแค้น และพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่พอทำสำเร็จเมื่อต้องเปิดเผยความจริง กลับทำให้เขาตกอยู่ในสภาพหมดสิ้นหวัง
Tatsuya Nakadai, 仲代 達矢 ชื่อจริง Motohisa Nakadai, 仲代 元久 (เกิดปี ค.ศ. 1932) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo, ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถส่งบุตรชายเข้าโรงเรียน เลยทำงานเป็นเสมียนก่อนมีโอกาสพบเจอผู้กำกับ Masaki Kobayashi รับบทเล็กๆในภาพยนตร์ The Thick Walled Room (1956) [ถ่ายทำก่อน ออกฉายล่าช้าสามปี], กลายเป็นขาประจำร่วมงานกันถึง 11 ครั้ง เริ่มจากไตรภาค The Thick-Walled Room (1953), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Enjō (1958), The Human Condition (1959-61), Odd Obsession (1959), When a Woman Ascends the Stairs (1960), Yojimbo (1961), Sanjuro (1962), Harakiri (1962), High and Low (1963), Kwaidan (1964), The Face of Another (1966), Kagemusha (1980), Ran (1985) ฯ
รับบทวิศวกรเคมี Mr. Okuyama หลังประสบอุบัติเหตุทำให้สูญเสียรูปโฉม กลายเป็นคนครุ่นคิดมาก พร่ำเพ้อโน่นนี่นั่น ไม่สามารถหวนกลับมาทำงาน/ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ปรึกษาจิตแพทย์ Doctor K. ร้องขอให้ช่วยทำหน้ากากมนุษย์เพื่อทดลองบางอย่างสิ่ง แต่เมื่อสวมใส่ตัวตน(เก่า)กลับค่อยๆเลือนหาย
Nakadai คือหนึ่งในโคตรนักแสดงชาวญี่ปุ่น (เอาจริงๆอาจต้องถือว่า High-Profile กว่า Toshirô Mifune แต่ชื่อเสียงระดับนานาชาติโด่งดังไม่เทียบเท่า) เป็นบุคคลเอ่อล้นด้วย Charisma แม้ช่วงครึ่งแรกไม่พบเห็นใบหน้าตา เพราะผ้าพันแผลทั่วศีรษะ แต่น้ำเสียงมีความขึงขัง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แทบไม่ปรากฎความสิ้นหวังแทรกอยู่ในนั้น สามารถชี้นิ้วออกคำสั่ง บงการโน่นนี่นั่น ตั้งคำถามสิ่งต่างๆรอบข้างอย่างไม่หวาดกลัวเกรง ราวกับชีวิตไม่มีอะไรจะสูญเสีย
แต่สิ่งน่าอึ่งทึ่งกว่าน้ำเสียงพูด คือตอนสวมหน้ากาก ซึ่งมันก็ใบหน้าจริงๆของเขานะแหละ แต่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตัวละครกำลังสวมหน้ากาก แล้วยังละเล่นกับการขยับเคลื่อนไหวบนใบหน้า (Facial expression) ได้อย่างแนบเนียน สมจริงโคตรๆ
มันอาจเพราะผู้ชมต่างชาติฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง จึงไม่เข้าใจลีลาการใช้น้ำเสียงของ Nakadai ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึก ตัวตน ก้นเบื้อง ความซับซ้อนของตัวละคร นักวิจารณ์(ตะวันตก)ส่วนใหญ่เลยมองว่า Mr. Okuyama มีความตื้นเขิน เพียงพร่ำเพ้อ ตั้งคำถามเรื่อยเปื่อย ไม่สามารถแยกแยะความเปลี่ยนแปลงก่อน-หลังสวมใส่หน้ากากมนุษย์ ที่แทบจะราวกับคนละคน!
นั่นด้วยกระมังคือเหตุผลที่ทำให้ชื่อเสียงระดับนานาชาติของ Nakadai ไม่สามารถเทียบเคียง Toshirô Mifune เพราะผู้ชมตะวันตกเข้าไม่ถึงความซับซ้อนทางภาษา บทบาทส่วนใหญ่ที่ได้รับก็มักมีความเป็นญี่ปุ่นค่อนข้างสูง … อีกเหตุผลหนึ่งเพราะ Mifune มีจักรพรรดิ Akira Kurosawa เคียงคู่ตำนาน!
(สมัยวัยรุ่นผมดูอนิเมะมาเยอะ พอฟังภาษาญี่ปุ่นรู้เรื่องระดับหนึ่ง จึงสามารถเข้าถึงลีลาการใช้น้ำเสียงของนักแสดงได้พอสมควร)
Machiko Kyō, 京 マチ子 ชื่อจริง Machiko Kyō, 京 マチ子 (1924-2019) นักแสดงหญิง สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yano Motoko, Osaka บิดาทอดทิ้งครอบครัวไปตอนเธออายุห้าขวบ อาศัยอยู่กับมารดาและคุณย่า ตั้งแต่อายุ 12 ฝึกฝนด้านการเต้น ร้อง-เล่นตลกเสียดสี, โตขึ้นเข้าตาแมวมองสตูดิโอ Daiei Film แล้วอยู่ดีๆแจ้งเกิดโด่งดังกับ Rashomon (1950) ติดตามด้วย Ugetsu (1953), Gate of Hell (1953), The Teahouse of the August Moon (1956), Odd Obsession (1959), Floating Weed (1959), The Face of Another (1966) ฯ
รับบท Mrs. Okuyama ภรรยาของ Mr. Okuyama อาศัยอยู่กินกันมาหลายปี แต่อุบัติเหตุครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวจนมิอาจจ้องหน้าสบตา พยายามตีตนออกห่าง เลยถูกสามีใช้ถ้อยคำดูถูก หมิ่นแคลน สร้างความชอบช้ำ ระกำใจ สังเกตเห็นความผิดปกติของชายแปลกหน้า วันหนึ่งพยายามเข้าหา สามารถคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคือสามีสวมหน้ากาก จึงยินยอมให้โอกาสเขาครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะ…
Kyō คือนักแสดงหญิงที่เป็น ‘Sex Symbol’ คนแรกๆของญี่ปุ่น! ตอนสาวๆมีความสวย เซ็กซี่ เป็นที่หมายปองของใครๆ, บทบาท Mrs. Okuyama แม้เข้าสู่วัยกลางคนก็ยังระริกระรี้ ชอบทำโน่นนั่นนี่ ไม่ค่อยเห็นอยู่สุข เก่งเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ ปฏิเสธเข้าใกล้สามีหลังสูญเสียรูปโฉม … นั่นสร้างความเคลือบแคลง ฉงนสงสัย ฤาว่าเธอแอบคบชู้นอกใจ มันต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
หนังไม่ได้เปิดเผยว่าตัวละครนี้มีลับลมคมในอะไร หรือแค่เพียงสามีครุ่นคิดไปเอง แต่เมื่อตอนเธอพบเจอชายแปลกหน้า (สามีสวมหน้ากากแอบเข้าหา) ทุกสิ่งอย่างมันช่างรวดเร็วติดจรวดจนผิดสังเกต แถมหลายๆครั้งยังพูดเหมือนบอกใบ้ ให้สัญญาณอะไรบางอย่าง นั่นคงเพราะเธอสามารถคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเขาคือใคร ถึงอย่างนั้นอีโก้ของอีกฝ่ายกลับทำลายทุกสิ่งอย่าง!
บทบาทของ Kyō อาจไม่ได้โดดเด่น แต่เธอมี ‘ภาพจำ’ ที่ช่วยสร้างมิติให้กับตัวละคร อดีตเคยเป็น ‘Sex Symbol’ ตอนนี้แม้กลายเป็นหญิงวัยกลางคน แต่ยังคงระริกระรี้ ไม่น่าจะซื่อสัตย์ จงรักภักดี แถมสามีสูญเสียรูปโฉม ย่อมต้องโหยหาชายคนใหม่ สนองตัณหาความใคร่ ยินยอมไปกับชายแปลกหน้า One-Night Stand โดยไม่หวาดกลัวเกรงอะไร! … เพศหญิงในสังคมญี่ปุ่นมีสถานะช้างเท้าหลัง ต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ Kyō คือนักแสดงคนแรกๆที่กล้ารับบทหญิงสาวสมัยใหม่ ระริกระรี้แรดร่านผู้ชาย เลยกลายเป็นตำนานแห่งวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น หนึ่งใน “Greatest Japanese Actress of All-Time”
Mikijirō Hira, 平 幹二朗 (1933-2016) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hiroshima หลังเรียนจบมัธยมเข้าฝึกฝนการแสดงยัง Haiyuza Theatre Company มีผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Three Outlaw Samurai (1964), Sword of the Beast (1965), The Face of Another (1966), ให้เสียงพากย์ Grunwald อนิเมะ The Great Adventure of Horus, Prince of the Sun (1968), แต่ผลงานโดดเด่นส่วนใหญ่จะอยู่ฟากฝั่งละคอนเวที ถึงขนาดได้รับฉายา “Japan’s best Shakespearean actor”
รับบท Doctor K. ไม่เชิงว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง แต่คือจิตแพทย์ผู้สนใจในข้อเสนอแนะของ Mr. Okuyama เลยยินยอมสร้างหน้ากากมนุษย์ ติดตามผลการทดลองหลังสวมใส่ จักยังคงความเป็นตัวของตนเอง หรือค่อยๆสูญเสียจิตวิญญาณให้กับหน้ากากใหม่? … หน้าตาที่เปลี่ยนไปส่งผลกระทบต่อตนเอง-บุคคลรอบข้าง มากน้อยเพียงใด?
แม้ตัวละครนี้จะไม่มีภาพลักษณ์ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่การทดลองของเขาถือว่าขัดต่อสามัญสำนึก จรรยาบรรณแพทย์ สำแดงความกระตือรือล้น อยากรู้อยากเห็น จึงยินยอมตอบรับการทดลอง พยายามพูดคุยสอบถาม เก็บรายละเอียด กระบวนการทุกขั้นตอน … ราวกับว่าตัวละครนี้คือภาพสะท้อน Mr. Okuyama บุคคลที่สามารถแปรความครุ่นคิด (นามธรรม) ให้กลายเป็นรูปร่างจับต้องได้ (รูปธรรม)
ผมรู้สึกว่า Hira แสดงบทบาทนี้ได้ดี มีแนวทางการแสดงที่สร้างความโดดเด่น แต่ตัวละครขาดภาพลักษณ์ “สติเฟื่อง” เลยไม่มีความน่าจดจำสักเท่าไหร่ และความสัมพันธ์กับผู้ช่วยสาว (รับบทโดย Kyōko Kishida) รายละเอียดน้อยมากๆจนคาดเดาอะไรไม่ได้ แต่ก็น่าจะแอบคบชู้นอกใจ เพื่อสื่อถึง ‘หน้ากาก’ ของหมอที่ปกปิดบังตัวตนเอง … คือถ้าเป็นคนดีมีศีลธรรม คงไม่ยินยอมสร้างหน้ากากมนุษย์ให้กับ Mr. Okuyama ตั้งแต่แรกแล้ว!
ถ่ายภาพโดย Hiroshi Segawa, 瀬川浩 ผลงานเด่นๆ อาทิ Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964), The Face of Another (1966), Under the Flag of the Rising Sun (1972) ฯ
ในขณะที่ Pitfall (1962) และ Woman in the Dunes (1964) ต่างออกเดินทางไปยังถ่ายทำยังสถานที่จริง เหมืองถ่านหิน ท้องทะเลทราย บันทึกภาพทิวทัศน์ เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ผกก. Teshigahara เคยทำงานสารคดีมาก่อน เลยชอบบันทึกภาพไปเรื่อยเปื่อย แล้วนำมาร้อยเรียง แปะติดปะต่อ เน้นสร้างสัมผัสกวีภาพยนตร์
แต่ทว่า The Face of Another (1966) ปักหลักถ่ายทำในกรุง Tokyo และเกินกว่า 90% ล้วนเป็นฉากภายในบ้านพัก อพาร์ทเม้นท์ คลินิกหมอ ผับบาร์ ฯ สไตล์การถ่ายภาพจึงแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง! เปลี่ยนมาเก็บรายละเอียด ‘mise-en-scène’ ละเล่นกับทิศทาง มุมกล้อง ตำแหน่งตัวละคร ซ้อนทับใบหน้า การจัดแสง-ความมืด ขยับเคลื่อนไหลให้เข้ากับองค์ประกอบฉาก … บรรดาผลงานยุคแรกๆของผกก. Teshigahara ผมครุ่นคิดว่างานภาพของ The Face of Another (1966) มีความแพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ที่สุดแล้ว!
ภาพยนตร์ในญี่ปุ่นช่วงทศวรรษ 60s ส่วนใหญ่ถ่ายทำฟีล์มสี ด้วยระบบ TohoScope (หรือก็คือ CinemaScope) แต่ทว่าผกก. Teshigahara กลับถ่ายทำด้วยอัตราส่วน Fullscreen (4:3 หรือ 1.33:1) เท่ากับจอตู้โทรทัศน์ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพโคลสอัพใบหน้าได้อย่างเต็มตาเต็มใจ … แต่จะมีอยู่เพียงครั้งหนึ่งปรากฎภาพ Anamorphic Widescreen (2.35:1) เพื่อบ่งบอกว่านั่นคือภาพยนตร์ที่ตัวละครเคยได้รับชม ถึงอย่างนั้นซีนถัดๆไปที่ปรากฎฉากในหนังซ้อนหนังดังกล่าว กลับฉายด้วยอัตราส่วน Fullscreen แบบปกติทั่วไป
แม้เรื่องราวของหนังชักชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงรูปโฉม ใบหน้า การสร้างภาพ (ในเชิงรูปธรรมและนามธรรม) แต่ช็อตแรกๆของหนัง (ก่อนอารัมบท) กลับปรากฎภาพชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม ดวงตา หู จมูก นิ้วมือ (ถอดนิ้วกลางด้วยนะ) ไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่อนาคตจักหลงเหลืออะไรในร่างกายมนุษย์ที่เป็นของจริง?


หลังปรากฎชื่อหนัง 他人の顔, The Face of Another ภาพถัดมาคือรูปวาดใบหน้าว่างเปล่า (ไร้ใบหน้า) แต่รอบข้างกลับมีเส้นขีดๆแนวยาวรายล้อมรอบ นี่ชวนให้ผมนึกถึง Opening Credit ของ Woman in the Dunes (1964) ที่ก็มีลักษณะคล้ายๆกันนี้ ลวดลายเส้นเปรียบเสมือนผนังกำแพง/ขนบกฎกรอบ ข้อบังคับโน่นนี่นั่นมากมาย ล้อมรอบตัวเราไม่ต่างจากการถูกคุมขัง จองจำ พันธนาการเหนี่ยวรั้ง จนแทบสูญเสียสิ้นอิสรภาพ
ผมไม่ค่อยแน่ใจภาพถัดมา แต่บรรดาตัวอักษรบนใบหน้าน่าจะคือคำอธิบายโหงวเฮ้งอะไรสักอย่าง (ศาสตร์ของการทำนายคุณสมบัติคนจากรูปลักษณ์ภายนอก (Chinese Physiognomy) บ่งบอกถึงสิ่งที่ดี-ไม่ดี พิจารณาจากลักษณะ 5 ประการ ได้แก่ จมูก ปาก หู คิ้ว และนัยน์ตา)
จากภาพถ่ายใบหน้ามนุษย์สองคน ค่อยๆเพิ่มปริมาณ ถอยหลังออกมาจนมากมายนับไม่ถ้วน ทีแรกผมนึกว่าจะกลายเป็นภาพ Photomosaic (นำเอาภาพถ่ายขนาดเล็กๆมาปะติดปะต่อกัน (คล้ายๆกระเบื้องโมเสก) แล้วพอซูมออกจักพบเห็นอีกภาพหนึ่ง) แต่กลับ ‘Cross Cutting’ เปลี่ยนเป็นภาพฝูงชน คาคลั่งไปด้วยผู้คน
ทั้งซีเควนซ์นี้นี่ก็ล้อกับ Woman in the Dunes (1964) ที่เริ่มจากจุลภาคเม็ดทราย ซูมออกไปเรื่อยจนพบเห็นท้องทะเลทราย, The Face of Another (1966) เริ่มจากบุคคลไร้ใบหน้า หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นสิบหก กลายเป็นฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วย ตัวแทนมหภาคของประชาชน สังคม ประเทศชาติ




ผมไม่ค่อยแน่ใจจะเรียกภาพนี้ว่าอะไร? เกิดจากการแสกน X-Ray? MRI? Ultrasound? Radionuclide? แต่เอาเป็นว่าสามารถบันทึกภาพภายในร่างกายมนุษย์ พบเห็นเส้นเลือด เค้าโครงกระโหลกศีรษะ ปากขยับระหว่างพูดคุยสนทนา Mr. Okuyama เล่าถึงอุบัติเหตุสารเคมีระเบิด อันเป็นเหตุให้ตนเองต้องสูญเสียใบหน้า รูปโฉม ถึงอย่างนั้นอวัยวะภายในกลับไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ … กล่าวคือ มันเป็นเรื่องทางจิตใจล้วนๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับกายภาพภายในของมนุษย์!
แซว: จะว่าไป Joker ก็เสียโฉมจากอุบัติเหตุสารเคมี นี่มันกลายเป็น ‘Stereotype’ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

หนังเต็มไปด้วย ‘mise-en-scène’ แทบจะทุกช็อตฉาก ทุกการเคลื่อนไหว ทุกมุมกล้องดำเนินไป ล้วนเคลือบแฝงนัยยะความหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งผมคงไม่สามารถลงรายละเอียดทุกสิ่งอย่าง แต่จะพยายามนำเสนอซีนที่มีความโดดเด่น แนวคิดน่าสนใจ
- Mr. Okuyama ขอให้ภรรยามานั่งเบื้องหน้าตนเอง แต่เธอกลับเดินวนไปวนมาอยู่ด้านหลัง แล้วนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงข้างเตียงนอน ปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับเขา
- มุมกล้องพยายามถ่ายเบื้องหน้าของ Mr. Okuyama แพนนิ่งติดตามภรรยาที่เดินไปเดินมาอยู่เบื้องหลัง มันช่างเต็มไปด้วยลับลมคมใน เหมือนเธอพยายามปกปิดซุกซ่อนบางสิ่งอย่างจากเขา
- Mr. Okuyama ขอให้ภรรยาปิดไฟ “ความมืดทำให้ชายไร้หน้าเป็นอิสระ” เงามืดปกคลุมใบหน้า นั่นถึงทำให้เธอยินยอมเข้ามานั่งเบื้องหน้า
- ระหว่างพูดอธิบาย “ใบหน้าคือประตูของหัวใจ” มีการลุกเดินไปตรงหน้าต่าง … จริงๆมันน่าจะแปลว่า “ใบหน้าคือหน้าต่างของหัวใจ” เพื่อให้สอดคล้องการกระทำดังกล่าว



เมื่อภรรยาพูดบอกสามี ไม่ใช่ตนเองที่ปิดประตูหัวใจ แต่คือเขาต่างหากที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่เคยครุ่นคิดถึงหัวอกคนอื่น “You closed the door yourself. No one’s stopping you from getting out.” วินาทีที่หันกลับมา สังเกตว่าเงามืดปกคลุมใบหน้าให้อยู่ในความมืดมิด เพื่อสื่อถึงการปิดกั้น ไม่ยินยอมรับฟังความคิดเห็น (เงามืด=ปิดประตูหัวใจ) และการกระทำของเขาต่อจากนี้ รี่ตรงเข้าหา ทิ้งตัวลงโอบกอด ลูบไล้ ต้องการจะร่วมเพศสัมพันธ์ นี่เช่นกันมีความเร่งรีบร้อน ไม่พยายามทำความเข้าใจภรรยา แถมพลันด่วนตัดสินว่าเธอปฏิเสธตนเองโดยสิ้นเชิง

Mr. Okuyama เดินทางมาพบเจอจิตแพทย์ Doctor K. ภาพแรกจับจ้องมองประติมากรรมที่มีการแกะสลักรูปหู แต่ครึ่งซีกหนึ่งยังทำไม่เสร็จ หรือจะมองว่าถูกทำลายก็ได้กระมัง ซึ่งสอดคล้องกับตัวละครที่สูญเสียรูปโฉม พยายามร่ำร้องขอหมอให้ช่วยทำหน้ากากมนุษย์ ตั้งคำถามความถูกต้อง-ผิดจรรยาบรรณ(แพทย์) เปรียบเทียบกับการตัดทิ้งอวัยวะที่มันสึกหรอ ผุผัง จะปล่อยทิ้งไว้(ให้มันเลวร้ายกว่าเดิม)หรือตัดทิ้งแล้วสร้าง(ของปลอมเข้ามาแทนที่)ใหม่
แซว: ชื่อหนังเกี่ยวกับใบหน้า The Face of Another แน่นอนว่าต้องมีการภาพถ่ายเกี่ยวกับใบหน้า ละเล่นกับตำแหน่ง ทิศทาง การซ้อนทับ คาดไม่ถึงเข้าฉายปีเดียวกับ Persona (1966) ภาพยนตร์เกี่ยวกับใบหน้าที่น่าจะโด่งดังที่สุดในโลกของของผกก. Ingmar Bergman



คลินิกของ Doctor K. มีการออกแบบที่แปลกประหลาด พิศดาร ราวกับว่าสิ่งข้าวของต่างๆสามารถขยับเคลื่อนไหว แทบไม่เคยพบเห็นมุมซ้ำเดิม มอบสัมผัสเหนือจริง (Surrealist) ท้าทายให้ผู้ชมขบครุ่นคิดว่าสถานที่แห่งนี้มีอยู่จริงหรือไม่? เห็นบางคนตีความว่าอาจเป็นโลกภายในจิตใจ/ใต้จิตสำนึกของ Mr. Okuyama
ออกแบบโดยสถาปนิก Arata Isozaki เพื่อนสนิทของผกก. Teshigahara มีการนำเอา Leonardo da Vinci: Vitruvian Man (สัดส่วนกายมนุษย์) และลวดลายเส้นผิวหนังที่เรียกว่า Langer’s Lines มาผสมผสาน ซ้อนภาพตัวละคร มนุษย์ในหลอดทดลอง



ภาพวาดบนฝาผนังนี้คือ Pablo Picasso: Minotauromachy (1935) เป็นภาพพิมพ์กัดกรด (Etching and Engraving) ลงบนพื้นผิวโลหะ เพื่อสร้างลวดลายแกะสลักโลหะ โดยรายละเอียดภาพประกอบด้วย Minotaur (สิ่งมีชีวิตในเทพปกรณัมกรีก ศีรษะเป็นโค กายเป็นมนุษย์ “กึ่งคนกึ่งโค”) เหมือนจะพุ่งเข้าชนหญิงสาวนักล่าวัวกระทิง (Matador) ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่บนหลังม้า วิ่งหนีมาจนถึงบ้านหลังหนึ่ง พบเห็นเด็กหญิงถือเทียนกับดอกไม้ ชายปีนป่ายขึ้นบันไดหลบหนี และหญิงสาว(กับนกพิราบ)จับจ้องมองลงจากหน้าต่างด้วยความฉงนสงสัย
Picasso เล่าว่ารังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ในช่วงเวลาย่ำแย่ที่สุดในชีวิต “Worst time in my life” ทำชู้รักตั้งครรภ์เลยถูกภรรยาฟ้องหย่า (แต่ไม่ยอมหย่า ไม่ยอมแบ่งสมบัติ) เลยขนย้ายข้าวของหนีออกจากบ้าน ไม่เคยหวนย้อนกลับมา … Minotaur คือภาพสะท้อนความรุนแรง/ขัดแย้งภายในจิตใจของ Picasso ระหว่างมนุษย์ vs. สันชาตญาณสัตว์ “Man vs. Beast”
ในบริบทของหนัง เราสามารถเปรียบเทียบ Mr. Okuyama = Picasso = Minotaur สื่อความหมายได้แบบเดียวกันเป๊ะ!


Mr. Okuyama เล่าให้ภรรยาฟังว่าเดินทางไปรับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ไม่มีการระบุชื่อ แต่มีลักษณะคือ ‘หนังซ้อนหนัง’ ซึ่งภาพแรกปรากฎขึ้นนั้น ถ่ายทำด้วยอัตราส่วนภาพ Anamorphic Widescreen (2.35:1) พบเห็นหญิงสาวกำลังก้าวเดินไปทำงาน แล้วมีวัยรุ่นตะโกนเรียกทักทาย
วินาทีที่เธอหันกลับมา อัตราส่วนภาพถ่ายจะกลับสู่ปกติ Fullscreen (เพื่อแปรสภาพจาก ‘หนังซ้อนหนัง’ กลายมาเป็นเหตุการณ์คู่ขนานกับเรื่องราวหลัก) มีการร้อยเรียงภาพนิ่ง พบเห็นริ้วรอยไหม้ แผลเป็นบนใบหน้าจากทิศทางต่างๆ (ล้อกับใบหน้าที่เสียโฉมของ Mr. Okuyama) บาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่สอง (เป็นการเปรียบเทียบอุบัติเหตุในโรงงานเคมี = ระเบิดนิวเคลียร์ช่วง WW2) สร้างความชะงักงันให้ผู้พบเห็น ตีตนออกห่างแทบจะโดยพลัน!
แซว: ลีลาการร้อยเรียงภาพนิ่งในสารพัดทิศทางเพื่อแนะนำตัวละคร ถ้าผมจำไม่ผิดมีจุดเริ่มต้นจาก Jules and Jim (1962) ของผกก. François Truffaut

ในโรงพยาบาลจิตเวช เต็มไปด้วยนักแสดงรับเชิญ (Cameo) อย่าง Hideo Kanze, Kunie Tanaka ฯ พวกเขาต่างรับบทผู้ป่วย PTSD (Post-traumatic stress disorder) ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากสงครามโลกครั้งที่สอง พบเห็นการทำวันทยาหัตถ์ สั่งให้ตั้งแถว พอบอกว่ามีการโจมตีทางอากาศ รีบนอนราบลงกับพื้นโดยพลัน … นี่เป็นการเชื่อมโยงเรื่องราวการเสียโฉม กับหายนะของสงครามโลกครั้งที่สอง
หนึ่งในผู้ป่วยจิตเวชพยายามจะข่มขืนหญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้า นี่สามารถสะท้อนถึง Mr. Okuyama พยายามจะร่วมรักภรรยา แต่เธอกลับปฏิเสธ ผลักไส และระหว่างวิ่งหลบหนีลงบันได กล้องถ่ายลงมาจากชั้นบน พบเห็นความเคี้ยวคด เลี้ยวลด วังวนสู่ขุมนรก จุดตกต่ำของสังคม รวมถึงญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง


Doctor K. สนทนากับนางพยาบาลผู้ช่วย (รับบทโดย Kyōko Kishida) มองผิวเผินเหมือนพวกเขาพูดคุยกันเรื่อง Mr. Okuyama แต่ถ้าสังเกตดีๆมันจะมีความสองแง่สองสองง่าม ที่สะท้อนความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างพวกเขา ภรรยาของหมอแอบฟังอยู่ … ขึ้นอยู่กับผู้ชมจะขบครุ่นคิดกันเอาเองนะครับ
มันจะมีวินาทีที่ Doctor K. ยืดตัวหลังพิงพนัก พูดเกี่ยวกับข้อจำกัดของชีวิต มนุษย์ไม่มีปีกโบยบิน ต่อให้พุ่งทะยานสูงเพียงใดประเดี๋ยวก็ตกหล่นกลับลงมา มุมกล้องเลือกถ่ายระหว่างช่องว่างผนังกระจก พบเห็นภาพสะท้อนใบหน้า นั่นรวมถึงข้อจำกัดของตนเองด้วยเช่นกัน!



ภาพวาดด้านหลังหัวหน้า (รับบทโดย Eiji Okada) แม้จะเป็นลวดลาย Abstract (ภาพนามธรรม) แต่ผมแอบรู้สึกเหมือนปราสาทญี่ปุ่น สถานที่สำหรับผู้นำ ชนชั้นปกครอง หรือก็คือ CEO เจ้าของบริษัทแห่งนี้
ซึ่งพอหัวหน้าเดินทางนั่งเคียงข้าง Mr. Okuyama รับฟังข้อเรียกร้องขอลดตำแหน่ง ทำงานน้อยลง เพื่อจะได้ไม่ต้องพบปะผู้คน เพียงติดต่อผ่านจดหมาย เอกสาร หรือพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ภาพทิวทัศน์ด้านหลังคือบ้านคน กลายเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ


Mr. Okuyama และ Doctor K. เสาะแสวงหาบุคคลต้นแบบหน้ากากมนุษย์ พบเจอชายพร้อมไฝ Man with Mole (รับบทโดย Hisashi Igawa นักแสดงนำภาพยนตร์ Pitfall (1962)) นั่งอยู่ในศูนย์อาหาร จับจ้องมองทิวทัศน์กรุง Tokyo ท้องถนนคาคั่งด้วยรถรา สะท้อนสภาพจิตใจเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกังวล กระอักกระอ่วนใจ
แต่ช็อตน่าสนใจของซีนนี้คือ Mr. Okuyama หันไปจับจ้องมองตึกกำลังก่อสร้าง สามารถเปรียบเทียบใบหน้าของเขาที่ก็กำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง (ใบหน้าตัวละคร = ภูมิทัศน์ของประเทศญี่ปุ่น)



สองสามครั้งก่อนหน้านี้ในบ้านพัก มันเหมือนมุมกล้องถูกจำกัดผ่านมุมมองของ Mr. Okuyama แต่หลังจากหน้ากากมนุษย์ใกล้เสร็จ พูดบอกกับภรรยาจะไปทำงานต่างเมืองสักอาทิตย์ จึงมีการสลับฟากฝั่งมุมกล้อง พบเห็นรายละเอียดโดยรอบห้อง (น่าจะด้วยเลนส์กว้างด้วยกระมัง)
อีกมุมกล้องที่เพิ่งพบเห็นครั้งแรกเช่นกัน ถ่ายด้านข้างเก้าอี้ประจำของ Mr. Okuyama พบเห็นชั้นวางของสะสม วัตถุน่าโบราณ สอดคล้องกับเรื่องเล่าภรรยา กำลังจะพูดอธิบายเหตุผล/ความเชื่อที่สตรีต้องแต่งแต้มเครื่องสำอางค์มาตั้งแต่โบราณกาล … สังเกตว่าภรรยานั่งฟากฝั่งตรงข้ามกับสามีโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ นั่นคงเพราะเธอเริ่มสามารถปรับตัว ยินยอมรับสภาพของเขาได้แล้ว และขณะพูดเล่าเรื่องราวดังกล่าว ยังนั่งหลังพิงพนักด้วยความผ่อนคลาย สบายใจ


ช่วงระหว่างการสวมใส่หน้ากาก ก็แพรวพราวไปด้วย ‘mise-en-scène’ แต่ผมเลือกมาอธิบายแค่สามภาพเท่านั้น!
- เมื่อตอนที่ Doctor K. นำหน้ากากมาให้เชยชม กล้องถ่ายผ่านผนังกำแพงใสที่มีลวดลายอะไรก็ไม่รู้ อยู่ในตำแหน่งบดบังหน้ากากจนแทบมองอะไรไม่เห็น ทำราวกับเป็นสิ่งชั่วร้าย อันตราย ผู้ชมไม่ควรพบเห็น
- การสลับสับเปลี่ยนหนวดเครา ถือเป็นอีกการทดลองถูกลองผิด ค้นหาเอกลักษณ์ให้กับหน้ากากใหม่ ตัวช่วยในการปลอมแปลงใบหน้าให้ดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
- ช่วงเวลาสุดท้ายที่ Doctor บอกให้ Mr. Okuyama ค่อยๆซึมซับ ปรับตัวเข้ากับใบหน้าใหม่ จู่ๆกล้องขยับเคลื่อนหมุน พลิกจากแนวตั้งสู่แนวนอน 90 องศา เพื่อสื่อถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างกลับทิศทาง ความตายของตัวตนเก่า แล้วฟื้นคืนชีพสู่บุคคลใหม่
- และเมื่อ Mr. Okuyama สามารถฉีกยิ้มแรกได้สำเร็จ กล้องจะพลิกกลับสู่มุมมองปกติ เสร็จสิ้นการสวมใส่หน้ากาก หวนกลับสู่ความเป็นมนุษย์



หลังเสร็จสิ้นการสวมใส่หน้ากาก Doctor K. นำพา Mr. Okuyama มายังผับบาร์เยอรมันแห่งหนึ่ง München (หรือก็คือ Munich) ทำไมต้องสถานที่แห่งนี้? อาจเพราะเป็นประเทศผู้พ่ายแพ้สงครามเฉกเช่นเดียวกันญี่ปุ่น กระมังนะ!
และระหว่างการสนทนาของทั้งสอง ลีลาถ่ายภาพถือว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก! กล้องค่อยๆเคลื่อนหมุน เก็บรายละเอียดโดยรอบร้าน แล้วจู่ๆภาพหยุดแน่นิ่ง (Freeze Frame) ตัดไปอีกภาพนิ่งก่อนเริ่มขยับเคลื่อนไหว … นี่อาจสอดคล้องกับช่วงเวลาความพ่ายแพ้สงคราม ทำให้ประเทศชาติราวกับถูกแช่แข็ง หยุดแน่นิ่งอยู่สักพัก ก่อนทุกสิ่งอย่างจักดำเนินต่อไป ราวกับไม่เคยไม่อะไรบังเกิดขึ้น




เมื่อ Doctor K. ลุกจากที่นั่งไป พบเห็นภาพชัดๆของชายคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง บุคคลนั้นคือ Tōru Takemitsu ผู้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้!

เรื่องราวของ Yo-Yo Girl (รับบทโดย Etsuko Ichihara) ผมยังครุ่นคิดไม่ออกว่าโยโย่เคลือบแฝงนัยยะอะไร? เธอเป็นคนหัวขบถ นิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจ แต่สามารถจดจำ Mr. Okuyama ไม่ว่าจะสวมหน้ากากหรือไม่! นั่นเพราะเด็กหญิงไม่ได้จดจำใบหน้าของเขา อาจจะน้ำเสียง กลิ่นอาย กิริยาท่าทาง ฯ สำหรับคนช่างสังเกต หรือมีความอ่อนไหว ย่อมแยกแยะรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย (สรรพสัตว์ส่วนใหญ่ มักจดจำมนุษย์ด้วยกลิ่นมากกว่ารูปร่างหน้าตา)

คนไข้ของ Doctor K. นั่งท่าครุ่นคิด (Thinker) บนประติมากรรมอะไรสักอย่าง แล้วพูดบอกว่า “It’s up to no good.” คาดว่าน่าจะสอดคล้องเข้ากับปฏิกิริยาของ Mr. Okuyama หลังถูก Yo-Yo Girl จดจำได้ว่าตนเองคือบุคคลเดียวกัน
ส่วนภรรยาของ Doctor K. เธอกำลังเช็ดถูอะไรบางอย่างบนเตียง แต่ที่โคตรๆน่าพิศวงคือภาพพื้นหลังฉายตึกสูงใหญ่ เคลื่อนเข้า-ออก ราวกับโยโย่? ล่องลอยไปมา ก็ไม่รู้เธอมีอาการทางจิตอะไรหรือเปล่า ถึงชอบสอดแนม/แอบฟังสามีระหว่างทำงาน?


สองภาพที่นำมานี้คือก่อน-หลัง, ครั้งแรก-ครั้งสองที่ Mr. Okuyama และ Doctor K. เดินทางมาดื่มด่ำในผับบาร์ München
- ครั้งแรก Mr. Okuyama สวมใส่สูทเข้ม สีหน้าบึงตึง เคร่งขรึม ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับหน้ากากเพิ่งสวมใส่
- ลีลาการดำเนินเรื่องในช่วงนี้ เวลาหันมองไปทิศทางไหนมักเต็มไปด้วย Freeze Frame เต็มไปด้วยความหวาดระแวง วิตกจริต เหมือนกลัวการถูกค้นพบ จับได้ว่ากำลังสวมหน้ากาก
- ครั้งหลังนั่งสลับตำแหน่งกับ Doctor K. ทั้งยังเปลี่ยนมาใส่สูทขาว รวมถึงสามารถปลดปล่อยตนเอง เพลิดเพลินบรรยากาศในร้าน ยกเบียร์ขึ้นมาเฉลิมฉลอง ดื่มด่ำกับอิสรภาพที่ได้รับ
- คราวนี้ได้ยินบทเพลง Waltz ขับร้องโดย Bibari Maeda สร้างบรรยากาศสนุกสนาน ครึกครื้นเครง ชวนลุกขึ้นมาโยกเต้นเริงระบำ


วินาทีที่ Mr. Okuyama เล่าความตั้งใจต้องการแก้เผ็ดภรรยา สังเกตภายในผับบาร์ München จะปกคลุมด้วยความมืดมิดโดยพลัน เพื่อสื่อว่าแผนการดังกล่าวไม่ใช่สิ่งถูกต้อง อาจนำพาหายนะให้บังเกิดขึ้น แม้แต่ตัวของ Doctor K. ยังก้มหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่
มาครุ่นคิดดูเหตุผลที่ Doctor K. ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาจเพราะตัวเขาก็อยากทำบางสิ่งอย่างกับภรรยา แต่ด้วยจิตสามัญสำนึกและจรรยาบรรณแพทย์ เลยต้องหักห้ามใจตนเอง … ที่ผมครุ่นคิดเช่นนี้เพราะมองว่า Doctor K. อาจคือภาพสะท้อนของ Mr. Okuyama นั่นทำให้พฤติกรรมสอดรู้สอดเห็นของภรรยา ย่อมต้องเคลือบแฝงลับลมคมใน ความสัมพันธ์ที่แตกร้าว คล้ายๆคลึงกัน


แผนการของ Mr. Okuyama คือแอบติดตาม พยายามเข้าหา เกี้ยวพาราสีภรรยา พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจง่าย ยัยแพศยา! ซึ่งสถานที่ที่ทั้งสองพากันมาเที่ยวเล่นคือริมชายหาด โขดหินขรุขระ นี่อาจจะสะท้อนความสัมพันธ์อันหยาบกระด้างของพวกเขา เพื่อให้ได้หนึ่งค่ำคืน One-Night Stand (ONS)


คลินิกของ Doctor K. เริ่มต้นด้วยการจุมพิตกับผู้ช่วยสาว แต่พอเห็นภรรยา(สวมกิโมโน)เดินอยู่ด้านหลังลิบๆ ทั้งสองก็รีบแยกตัวออกจากกัน จากนั้นเธอผ่านประตูที่เปิดออก พบเห็นทรงผมลอยละล่องริมหาดทราย … นี่เป็นซีนที่ผมเองยังมึนตึง ครุ่นคิดไม่ออกว่าจะสื่อถึงอะไร แค่รับรู้สึกว่าภรรยาของ Doctor K. (ที่สวมกิโมโนเดินอยู่ด้านหลัง) อาจกระทำอัตวินิบาต ฆ่าตัวตาย เดินลงทะเลแล้วลอยกลับมาเกยตื้นริมชายหาด (แบบเดียวกับหญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้า)

มันอาจไม่ถึงขั้นช็อตต่อช็อต แต่หนังพยายามเปรียบเทียบเหตุการณ์คู่ขนาน ‘หนังซ้อนหนัง’ หญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้ายินยอมให้พี่ชายร่วมเพศสัมพันธ์ (พี่ชายแท้หรือไม่แท้ก็ไม่รู้ แต่การ ‘Incest’ ถือเป็นเรื่องต้องห้าม) = Mr. Okuyama ที่สูญเสียโฉม สวมใส่หน้ากากมนุษย์ แอบสานสัมพันธ์คบชู้ภรรยา (การคบชู้นอกใจก็ถือเป็นเรื่องต้องห้าม เช่นกัน!)
ในส่วนของสถานที่พื้นหลัง โรงแรม-ห้องพัก ต่างถ่ายติดทิวทัศน์ภายนอก
- หญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้ากับพี่ชาย เข้าพักยังโรงแรมติดทะเล สถานที่คาบเกี่ยวระหว่างชีวิต-ความตาย คลื่นลมซัดพาไม่หลงเหลืออะไร
- ส่วน Mr. Okuyama กับภรรยา พบเห็นตึกรามบ้านช่องในกรุง Tokyo พวกเขาทั้งสองไม่มีใครตาย แต่จักถูกกลืนกิน จิตวิญญาณสูญหาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกยุคสมัยใหม่




Mr. Okuyama ผู้เต็มไปด้วยความอึดอัดอั้น รับไม่ได้ต่อพฤติกรรมสำส่อนภรรยา ทุกสิ่งอย่างมันเร็วเกินไป! หลังเสร็จกามกิจออกมาพ่นควันบุหรี่ คละคลุ้งจนปกคลุมใบหน้าตนเอง นั่นแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่พร่าเลือนลาง มองไม่เห็นความจริงเบื้องหน้า เอาแต่หมกมุ่นยึดติดกับความครุ่นคิดของตนเอง
บุหรี่ยังไม่ทันหมดมวน รีบตรงกลับไปห้องนอน กระชากผ้าผ่อนของภรรยา พบเห็นหน้าอก เรือนร่างเปลือยเปล่า จุดประสงค์เพื่อเปิดโปงตัวตนแท้จริง ตีตราหญิงสำส่อน ยัยโสเภณี


แต่ระหว่างที่ Mr. Okuyama กำลังกระชากหน้ากากของตนเอง เธอบอกกับเขา “You think I didn’t know?” คำพูดดังกล่าวทำให้สามีเกิดอาการชะงักงัน ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตรจากที่ครุ่นคิดวางแผนเอาไว้ จากนั้นภรรยาลุกขึ้นมาแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้า (นัยยะเดียวกับการสวมหน้ากาก ปกปิดบังเรือนร่างกายตนเอง สร้างกำแพงขึ้นมากีดกั้นขวางสามี) พร้อมอธิบายโน่นนี่นั่น เหตุผลของการแต่งหน้า หน้ากากของสามี-ภรรยา ถ้าใครคนหนึ่งกระชากมันออกมา ความสัมพันธ์เราสองจึงขาดสะบั้นลงทันตา
In love, people try to unmask one another. But I thought we must strive to keep the masks on.
Mrs. Okuyama
ตรรกะของตัวละครมันอาจฟังดูเพี้ยนๆ ผมมองเหตุผลที่ Mrs. Okuyama ยินยอมรับสามีขณะนี้ไม่ได้ เพราะเขาเอาแต่ปิดกั้น ปิดประตูหัวใจ สร้างสถานการณ์นี้มาเพื่อใส่ร้ายสีตนเองว่าเป็นคนสำส่อน ใจง่าย มันใช่เรื่องที่ไหน? หน้ากากสวมใส่มันหลอกลวงภรรยาที่ครองรักกันมาหลายปีได้อย่างไร? (คือจับผิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว) ยินยอมร่วมเพศสัมพันธ์ครั้งนี้เพราะเห็นแก่ความทุ่มเท นึกว่าต้องการทำ(หน้ากาก)เพื่อเธอ แต่กลับจะโทษว่ากล่าวความผิด นั่นคือสิ่งที่รับไม่ได้ ไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัว!


ตอนจบของหนังซ้อนหนัง นำเสนอความตายของหญิงสาว (ที่มีรอยไหม้บนใบหน้า) และพี่ชาย นี่ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์พี่-น้อง (Incest) แต่คือการแสดงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ได้รับ ผลกระทางจากสงครามโลกครั้งที่สอง
- หญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้า ก้าวเดินลงทะเลจนจมมิดศีรษะ จากนั้นกล้องเคลื่อนเลื่อนไปยังภาพพระอาทิตย์ น่าจะสื่อถึงจิตวิญญาณมอดไหม้
- ขณะที่พี่ชายมองเห็นความตายของน้องสาว ถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ทำให้ร่างกายมอดไหม้ หลงเหลือเพียงเนื้อติดกระดูกอยู่ริมหน้าต่าง


ในขณะที่ Mrs. Okuyama กักขังตนเองอยู่ในบ้านพัก ร่ำร้องไห้ไม่หยุดหย่อน, สามีก้าวออกเดินเรื่อยเปื่อย ล่องลอยไปตามท้องถนน รถราขับสวนไปมา (จิตใจที่เต็มไปด้วยความสันสนวุ่นวาย) จากนั้นซ้อนภาพใบหน้ากับตรอกซอกซอยว่างเปล่า (จิตวิญญาณล่องลอย ตัวตนค่อยๆเลือนหาย) และตอนรำพัน “I’m no one.” มีการตัดภาพ Jump Cut กระโดดไปกระโดดมา (เดี๋ยวมีตัวตน เดี๋ยวไม่มีตัวตน)



Mr. Okuyama ในสภาพจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย จู่ๆพยายามข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่ง เพราะเชื่อว่าหน้ากากสวมใส่จักช่วยปกปิดบังตัวเอง ไม่มีใครรับรู้ว่าฉันเป็นใคร แต่ตำรวจก็สามารถสืบค้นจากนามบัตร ติดต่อหา Doctor K. เดินทางมาประกันตัวออกไป … ถือเป็นการทดลองที่ล้มเหลว ในสถานการณ์เช่นนี้หน้ากากไม่ช่วยอะไร!

หลังจาก Mr. Okuyama ได้รับการปล่อยตัวจากโรงพัก นี่เป็นซีนที่แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผู้ช่วยของ Doctor K. กำลังชำระล้างมือในอ่าง? ผมมองในเชิงสัญลักษณ์ สื่อถึงจุดสิ้นสุด จุดแตกหัก เสร็จสิ้นการทดลอง (ล้างมือหลังเสร็จงาน) ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างให้ดำเนินไปตามครรลอง

Mr. Okuyama เดินติดตาม Doctor K. จนกระทั่งสวนทางกับบรรดาฝูงชนที่ต่างสวมใส่หน้ากาก ภาพนี้ต้องการสื่อว่ามนุษย์ทุกคนในโลกยุคสมัยใหม่ ใครต่อใครล้วนสวมใส่หน้ากาก ปกปิดบังตัวตนเองด้วยกันทั้งนั้น! ทั้งสองพยายามจะเดินสวนทาง ว่ายทวนกระแสน้ำ … ผมขอเปรียบเทียบถึงผกก. Teshigahara และนักเขียน Kōbō Abe ที่ต่างเต็มไปด้วยอคติต่อการสวมใส่หน้ากาก ไม่ต้องการดำเนินตามวิถีทางดังกล่าว

ทำไม Mr. Okuyama ถึงลงมือฆาตกรรม Doctor K? ไม่พึงพอใจอีกฝ่ายที่อีกฝ่ายเดินทางมาประกันตัวกับตำรวจ เมื่อฆ่าปิดปากก็จักไม่หลงเหลือใครจดจำเขาได้อีก กลายเป็นบุคคลไร้ตัวตน กลมกลืนเข้ากับวิถีโลกยุคสมัยใหม่
สำหรับคนที่มองว่า Doctor K คืออีกตัวตนของ Mr. Okuyama การฆ่ากรรมคือสัญลักษณ์ของการทำลายอดีต กำจัดสิ่งที่เป็นปมด้อย Trauma บาดแผลทางร่างกาย(และจิตใจ) ให้สามารถถือกำเนิด เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้แทบเท้า เพื่อก้าวเดินต่อไป

ภาพสุดท้ายของหนัง Mr. Okuyama ยกมือขึ้นมาสัมผัสจับต้องใบหน้าของตนเอง ผมรู้สึกเหมือนเป็นการตั้งคำถามของตัวละคร รวมถึงผู้ชม คุณกำลังสวมหน้ากากปกปิดบังตัวตนอยู่หรือไม่? นี่คือใบหน้าแท้จริงของฉันรึเปล่า? ในบริบทนี้หน้ากากของ Mr. Okuyama อาจแปรสภาพกลายเป็นใบหน้าแท้จริงแล้วก็ได้! (คือสูญเสียตัวตนเองให้กับวิถีโลกยุคสมัยใหม่)
แซว: นี่เป็นช็อตที่เต็มตาเต็มใจ ใช้ประโยชน์จากอัตราส่วนภาพ Fullscreen (4:3) และยังสอดคล้องชื่อหนัง The Face of Another จบลงได้อย่างสมบริบูรณ์

ตัดต่อโดย Yoshi Sugihara, 杉原よ志 ผลงานเด่นๆ อาทิ Stray Dog (1949), Twenty-Four Eyes (1954), The Ballad of Narayama (1958), This Year’s Love (1962), Pale Flower (1964), The Face of Another (1966) ฯ
หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองตัวละคร Mr. Okuyama หลังประสบอุบัติเหตุทำให้สูญเสียรูปโฉม ไม่พึงพอใจภรรยาแสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ จึงร่ำร้องขอให้ Doctor K. ช่วยทำหน้ากากมนุษย์ เพื่อที่จะปลอมแปลงตนเองคบชู้กับภรรยา
- คำถามชีวิตของ Mr. Okuyama ภายหลังประสบอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียรูปโฉม
- Opening Credit และคำถามชีวิตของ Mr. Okuyama
- Mr. Okuyama ทำการทดลองกับภรรยา Mrs. Okuyama
- เดินทางไปยังบริษัท พูดคุยกับนายจ้าง ขอลาหยุดงานสักพัก
- เดินทางไปหาจิตแพทย์ Doctor K. เรียกร้องขอให้ทำหน้ากากมนุษย์
- หน้ากากมนุษย์
- เริ่มต้นด้วยการทำโมเดลใบหน้าของ Mr. Okuyama
- จากนั้นเดินทางไปหาเช่าอพาร์ทเม้นท์
- หวนกลับไปหา Doctor K. พูดเล่าแผนการ ยืนยันในสิ่งที่อยากกระทำ
- กลับมาบ้านพบเจอภรรยา ดูเธอเต็มไปด้วยลับลมคมใน
- (เหตุการณ์คู่ขนาน) หญิงสาวที่มีรอยไหม้บนใบหน้า เดินทางไปทำงานยังโรงพยาบาลจิตเวช แล้วถูกคนไข้รายหนึ่งพยายามข่มขืน
- Doctor K. และผู้ช่วยกำลังทำหน้ากากมนุษย์
- (เหตุการณ์คู่ขนาน) หญิงสาวทำงานโรงงานกับพี่ชาย
- Mr. Okuyama เดินทางมาที่บริษัท ขอลดตำแหน่งงานกับหัวหน้า
- Mr. Okuyama และ Doctor K. ติดต่อขอซื้อใบหน้าจากชายคนหนึ่ง
- Mr. Okuyama กับหน้ากากใหม่
- Doctor K. สวมใส่หน้ากากใหม่ให้กับ Mr. Okuyama
- Doctor K. นำพา Mr. Okuyama มายังผับบาร์ พูดคุยสอบถามความรู้สึก
- Mr. Okuyama (สวมหน้ากากใหม่) เดินทางมาเช่าอาร์ทเมนท์
- Mr. Okuyama กับเด็กหญิงเล่นโยโย่
- Mr. Okuyama เดินทางมาพูดคุยกับ Doctor K. พร่ำบ่นถึงเด็กหญิงเล่นโยโย่ที่ยังจดจำเขาได้
- Mr. Okuyama เดินทางไปบริษัท แต่เลขานุการกลับจดจำเขาไม่ได้
- (เหตุการณ์คู่ขนาน) หญิงสาวมาเฝ้ารอคอยพี่ชายริมชายหาด
- Mr. Okuyama นัดพบ Doctor K. ยังผับบาร์ พูดคุยถึงความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้น และเล่าถึงแผนการสุดท้าย
- Mr. Okuyama และ Mrs. Okuyama
- Mr. Okuyama พยายามหาโอกาสเข้าไปพูดคุยทักทาย เกี้ยวพาราสี Mrs. Okuyama
- (เหตุการณ์คู่ขนาน) หญิงสาวร่วมรักหลับนอนกับพี่ชาย
- Mr. Okuyama นำพา Mrs. Okuyama ขึ้นห้องเช่า ร่วมรักหลับนอน
- หลังเสร็จกามกิจ Mr. Okuyama เปิดเผยตนเอง แต่ทว่า Mrs. Okuyama รับรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร
- (เหตุการณ์คู่ขนาน) หญิงสาวตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทอดทิ้งพี่ชาย
- Mr. Okuyama พยายามข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่ง Doctor K. มาช่วยประกันตัว
- ท้ายที่สุด Mr. Okuyama ต่างพบเห็นทุกคนที่เดินสวนทาง ต่างสวมใส่หน้ากากเหมือนกับตนเอง
(เหตุการณ์คู่ขนาน) คือลักษณะของ ‘story within story’ ภาพยนตร์ซ้อนภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนเรื่องราวหลัก มีจุดเริ่มต้นจาก Mr. Okuyama เล่าให้ภรรยาหลังรับชมในโรงภาพยนตร์ จากนั้นปรากฎแทรกแซมเข้ามาอยู่หลายครั้ง นำเสนอเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นคู่ขนาน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง แต่ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างคาดไม่ถึง
เพลงประกอบโดย Tōru Takemitsu, 武満 徹 (1930-96) คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Hongō, Tokyo ก่อนย้ายไปเติบโตยัง Dalian, Liaoning (ประเทศจีน) ถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่อายุ 14 แม้ได้รับประสบการณ์อันขมขื่น แต่ทำให้มีโอกาสรับฟังเพลงตะวันตก, หลังสงครามโลกกลับมาญี่ปุ่น ทำงานในกองทัพสหรัฐ (ที่เข้ามายึดครองชั่วคราว) แม้ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรี แต่เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ 16 โอบรับแนวคิดเครื่องดนตรีไฟฟ้า แนวทดลอง สไตล์ Avant-Garde ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Experimental Workshop (実験工房 อ่านว่า Jikken Kōbō) ที่พยายามผสมผสานไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังสรรพเสียง และศิลปะแขนงอื่นๆคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Kōbō Abe และ Hiroshi Teshigahara ที่ต่างก็แนวคิดทิศทางเดียวกัน โด่งดังกับระดับนานาชาติกับผลงาน Requiem for String Orchestra (1957), ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน Harakiri (1962), Pitfall (1962), Pale Flower (1964), Kwaidan (1964), Woman in the Dunes (1964), The Koumiko Mystery (1965), The Face of Another (1966), Samurai Rebellion (1967), Scattered Cloud (1967), Double Suicide (1969), Dodes’ka-den (1970), Under the Blossoming Cherry Trees (1975), Ballad of Orin (1977), Empire of Passion (1978), Ran (1985), Black Rain (1989) ฯ
หลังจากรับชม Pitfall (1962) และ Woman in the Dunes (1964) ผมแอบคาดหวังว่าจะได้ยินบทเพลงสไตล์ Avant-Garde แต่ระหว่าง Opening Credit กลับกลายเป็นท่วงทำนอง Waltz ที่ชวนให้นึกถึง Sergei Prokofiev: Cinderella Suite และ Aram Khachaturian: Masquerade Suite
(ตลอดทั้งเรื่องยังได้ยินบทเพลงสไตล์ Avant-Garde เสียงประหลาดๆ ดังขึ้นแล้วเงียบหาย ฟังดูเหมือนเป็นการ ‘Improvised’ คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่เพราะความโด่งดังของ Takemitsu’s Waltz อะไรอย่างอื่นเลยถูกกลบเกลื่อนไปโดยสิ้นเชิง!)
ลักษณะของท่วงทำนอง Waltz จะมีความเคลื่อนคล้อย ล่องลอย อยากลุกขึ้นมาโยกเต้น เริงระบำ ฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราวเครียดๆของหนัง แต่อีกครั้งที่ได้ยินคือหลังจาก Mr. Okuyama สวมใส่หน้ากากมนุษย์ นั่งดื่มกับ Doctor K. (รอบสอง) ท่าทางดูผ่อนคลาย หายกังวล ใบหน้าใหม่สร้างความสุขสม อมยิ้ม อิ่มเอมหฤทัย ตื่นขึ้นจากฝันร้าย ราวกับได้ถือกำเนิด เริ่มต้นชีวิตใหม่
เกร็ด: บทเพลงชื่อว่า Waltz แต่งโดย Tôru Takemitsu, คำร้องภาษาเยอรมันโดย Tatsuji Iwabuchi, ขับร้องโดย Bibari Maeda (นักร้องในบาร์)
คำร้องเยอรมัน | คำแปลอังกฤษ |
---|---|
Ich schau dir ins Gesicht, das vor mir steht, doch erkenn ich dich nicht mehr. Wo bist du, wo bist du, von gestern du. Einst im Nebel, sah ich dich so, wie hinter milchiges Glas gestellt. Du warst mir nah und doch weit entfernt. Einst im Mondschein, sahst du grad aus, wie in gläserne Haut gesteckt. Du warst mir gut, doch entfremdet. Einst im Lenze dachte ik fest, dass du zu mir gehörst, zu mir. Wir waren eins, ja, im Herzen fest. Einst im Garten nam ich Abschied, doch fühlte ich dich nah dabei, obwohl wir uns trennen mussten. Lange hab’ ich ganz vergessen, dass du mir plötzlich fremd werden könntest. Heute siehst du wieder starr aus, als ob du des andern Maske trügst. | I look into your face, which is in front of me, but I do not recognize you anymore. Where are you, where are you from yesterday you. Once in the fog, I saw you as if placed behind milky glass. You were close to me and yet far away. Once in the moonlight, you just looked like stuck in glassy skin. You were good to me, alienated. Once in Lenze, I thought that you belonged to me, to me. We were one, yes, stuck in the heart. Once in the garden I said goodbye, but I felt you close, although we had to part. For a long time I forgot that you could suddenly become a stranger to me. Today you look stiff again, as if you deceive the other mask. |
จะว่าไปเนื้อคำร้องบทเพลงนี้ มันช่างสอดคล้องเข้ากับเหตุการณ์ขณะนั้น ใบหน้าใหม่ของ Mr. Okuyama ทำให้ตัวตนเก่าค่อยๆเลือนหาย เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจดจำไม่ได้ ซึ่งพอเพลงจบเขาก็พูดเล่าถึงเป้าหมายสุดท้าย ทดลองคบชู้กับภรรยาตนเอง นั่นทำให้แสงสว่างรอบข้าง รวมถึงสีหน้าของ Doctor K. มืดหม่นลงพลัน!
มนุษย์สวมหน้ากากทำไม? ปกปิดบังใบหน้า ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะ (ถ้าปัจจุบันยังมีเหตุผลสวมหน้ากากเพื่อป้องกันโรคติดต่อ) หรือสำหรับนักแสดงสวมบทบาทกลายเป็นตัวละครนั้นๆ ตามประเพณีวัฒนธรรม รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง กล้ากระทำบางสิ่งอย่างโดยไม่รู้สึกหวาดกลัวเกรง ฯ
สารพัดความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นจากการสวมหน้ากาก แสดงถึงอิทธิพลต่อสภาพจิตใจ/จิตวิทยาของมนุษย์ รับรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง กลายเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา จึงเกิดความหาญกล้า สามารถกระทำสิ่งต่างๆโดยไม่รู้สึกเหนียงอาย ตะขิดตะขวงใจ คงไม่มีใครจดจำเราได้ … ก็เหมือนตัวตนในสังคมออนไลน์ ใช้ชื่อปลอม รูปภาพปลอม แอคเคาน์ปลอม แสดงความคิดเห็นโดยไม่สนห่าเหวอะไร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะจดจำเราได้ กลายเป็นนักเลงคีย์บอร์ด เก่งอยู่แต่ด้านหลังจอมอนิเตอร์
หน้ากากมนุษย์ในภาพยนตร์ The Face of Another (1968) ก็ไม่ได้แตกต่างจากหน้ากากทั่วๆไป หรือผู้หญิงแต่งแต้มเครื่องสำอางค์บนใบหน้า พอตัวละครสวมใส่ทำให้ค่อยๆสูญเสียตัวตน(เก่า)ที่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง (อันเนื่องจากอุบัติเหตุทำให้เสียโฉม ภรรยามองหน้าไม่ติด) ราวกับได้ถือกำเนิด กลายเป็นบุคคลใหม่ รู้สึกผ่อนคลาย หายกังวล ไม่หวาดกลัวเกรงอะไรอีกต่อไป
การทดลองสุดท้ายของ Mr. Okuyama ต้องการพิสูจน์ใจภรรยาด้วยการปลอมตัว แสร้งทำเป็นบุคคลแปลกหน้า เข้ามาตีสนิท เกี้ยวพาราสี ชักชวนขึ้นห้องหอ ร่วมรักหลับนอน เชื่อมั่นว่านั่นสามารถใช้เป็นหลักฐาน บ่งบอกความไม่จริงใจ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอรับรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ที่ยินยอมครั้งนี้ก็เพื่อให้โอกาสครั้งสุดท้าย
บทสรุปที่ Mr. Okuyama ได้รับจากการสูญเสียทุกสิ่งอย่าง คือเรียนรู้ว่ามนุษย์ในโลกยุคสมัยใหม่ ทุกคนล้วนสวมใส่หน้ากาก(มนุษย์) พยายามสร้างภาพให้สวย-หล่อ ฉันเป็นคนดี มีเกียรติศักดิ์ศรี ปกปิดบังตัวตน สันดานธาตุแท้จริง … ยุคสมัยที่ ‘หน้าตา’ กำลังจะกลายเป็นทุกสิ่งอย่าง!
ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งสอง ทิ้งร่องรอยบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถเปรียบเทียบกับตัวละครสูญเสียรูปโฉม (อุบัติเหตุสารเคมีระเบิด = หายนะจากนิวเคลียร์) ต้องใช้เวลานานนับทศวรรษกว่าจักสามารถฟื้นฟูบูรณะ ก่อร่างสร้างทุกสิ่งอย่างขึ้นใหม่ แต่ผลลัพท์กลับก็ไม่ต่างจากการสร้างหน้ากากมนุษย์ขึ้นมาสวมใส่ เพียงปกปิดอดีตเลวร้าย(ที่ไม่มีวันลบเลือนหาย) ซึ่งนั่นจักทำให้ค่อยๆสูญเสียอัตลักษณ์ ก่อนแปรสภาพสู่(ญี่ปุ่น)ยุคสมัยใหม่
ผมคงไม่เขียนถึง The Man Without a Map (1968) ปิดไตรภาค ‘Disappearance Trilogy’ ครั้งสุดท้ายของการร่วมงานระหว่างผกก. Teshigahara และนักเขียน Kōbō Abe ตั้งคำถามถึงหน้าตา/ภูมิทัศน์ญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่ ต่อยอดไปถึงภาวะวิกฤตการมีชีวิตอยู่ (Existential Crisis) อดีตลบเลือนหาย ปัจจุบัน(ญี่ปุ่น)กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้
หลังเสร็จสร้าง The Man Without a Map (1968) ก็ถือเป็นการปิดฉากผลงานยุคแรกของผกก. Teshigahara ค่อยๆเลือนหายจากวงการภาพยนตร์ หันเหความสนใจไปทำงานศิลปะอย่างอื่น รวมถึงสืบทอดกิจการโรงเรียนสอนจัดดอกไม้ของบิดา (ที่เสียชีวิตปี ค.ศ. 1979) กว่าจะมีผลงานโดดเด่นอีกครั้งก็ Antonio Gaudi (1984) และ Rikyu (1989) ต่างก็เป็นหนังอัตชีวประวัติ ไม่ได้มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับสังคม การเมือง อนาคตของญี่ปุ่นอีกต่อไป
สำหรับนักเขียน Kōbō Abe หลังจากผลงาน The Ruined Map (1967) ก็เริ่มเขียนนวนิยายน้อยลง หันเหความสนใจไปยังฟากฝั่งละคอนเวที ก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่น Abe Studio เขียนบท-กำกับการแสดง ทำออกมาในลักษณะ ‘Avant-Garde Theater’ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์อีกต่อไป
เมื่อตอนหนังเข้าฉายญี่ปุ่น ใช้วิธีการออกทัวร์ (Roadshow) ตระเวนไปตามหัวเมืองใหญ่ๆ คงตั้งใจรอคอยเสียงตอบรับต่างประเทศเพื่อสร้างกระแส แต่ปรากฎว่านักวิจารณ์ตะวันตกกลับเงียบกริบ ไม่ค่อยประทับใจหนังสักเท่าไหร่ ถึงอย่างพอได้ค่ายจัดจำหน่าย Toho ออกฉายพร้อมกันทั่วประเทศ ผลลัพท์ประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง! … กลายเป็นหนังขายได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
เกร็ด: The Face of Another (1966) ได้รับการโหวตติดอันดับ #5 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมแห่งปีจากนิตยสาร Kinema Junpo
ปัจจุบันหนังยังไม่ได้รับการบูรณะ เพียงแค่ ‘digital transfer’ คุณภาพ High-Definition ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2007 รวบรวมอยู่ในดีวีดีคอลเลคชั่น Three Films by Hiroshi Teshigahara (Pitfall (1962), Woman in the Dunes (1964) และ The Face of Another (1966)) ของค่าย Criterion Collection
ส่วนตัวชื่นชอบหนังอย่างมากๆ เต็มไปด้วยสิ่งมากมายที่ชักชวนให้ครุ่นคิดตาม แพรวพราวด้วยลูกเล่น การแสดง องค์ประกอบศิลป์ และเพลงประกอบสร้างความหลอกหลอน ดูยากและซับซ้อนกว่า Woman in the Dunes (1964) แต่ความลุ่มลึกล้ำยังห่างไกลกับจักรวาล
เอาจริงๆผมไม่อยากเปรียบเทียบ Woman in the Dunes (1964) และ The Face of Another (1966) ทั้งสองเรื่องมีความโดดเด่นเฉพาะตัว แตกต่างกันอย่างมากๆ แต่เพราะสร้างโดยผกก. Teshigahara มันจึงเกิดการเปรียบเทียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ … ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้รับชมห่างๆ และอย่างไปสนใจว่าผู้กำกับคนเดียวกัน ลดทอนความคาดหวัง แล้วอาจพบเห็นสรวงสวรรค์ (หรือขุมนรกหว่า?)
จัดเรต 15+ กับความอัปลักษณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
Leave a Reply