The Brood

The Brood (1979) Canadian : David Cronenberg ♥♥♥

หลังหย่าร้างภรรยา ผู้กำกับ David Cronenberg พัฒนาบทภาพยนตร์ The Brood (1979) เพราะความหวาดกลัวว่าบุตรสาวจะต้องตกอยู่ในการเลี้ยงดูของมารดาที่ … โดยไม่รู้ตัวสร้างขึ้นปีเดียวกับ Kramer vs. Kramer (1979) แต่มีความสม(เหนือ)จริงกว่าไหนๆ

The Brood was my version of Kramer vs. Kramer. I was really trying to get to the reality which is why I have disdain for Kramer. I think it’s false, fake, candy. There are unbelievable, ridiculous moments in it that to me are emotionally completely false, if you’ve ever gone through anything like that. I’m not being facetious when I say I think it’s more realistic, even more naturalistic than Kramer.

David Cronenberg

แซว: คำว่าสมจริง (Realistic) ของผกก. Cronenberg มันคือเหนือจริง (Surrealistic) สำหรับผู้ชมทั่วไปนะครับ … ความจริงของเรานั้นไม่เท่านั้น

ผมตัดสินใจเลือก The Brood (1979) ผลงานลำดับหกที่นักวิจารณ์บางคนยกให้คือ Masterpiece เรื่องแรกของผกก. Cronenberg มาเริ่มต้น ‘สัปดาห์ Cronenberg’ เพราะการถูกอ้างอิงถึงใน Possession (1981) ของผู้กำกับ Andrzej Żuławski เลยอยากรับชมว่ามีความละม้ายคล้ายกันแค่ไหน

บรรยากาศของ The Brood (1979) อาจไม่ได้เกรี้ยวกราดคลุ้มบ้าคลั่งระดับเดียวกับ Possession (1981) แต่ลีลาการนำเสนอ ‘สไตล์ Cronenberg’ สร้างความวาบหวิว สยิวกาย สั่นสะท้านทรวงใน ส่วนตัวรู้สึกชื่นชอบมากกว่า แต่เพราะทั้งสองเรื่องต่างมีลักษณะ Misogyny (เกลียดชังผู้หญิง) ละม้ายคล้ายกันมากๆ เลยสร้างความห่อละเหี่ยวใจพอสมควร

สำหรับคนจะหารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำให้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิดนะครับ ฉากฆาตกรรมมันอาจไม่ได้น่าสยดสยอง แต่สิ่งมีชีวิตที่ลงมือกระทำ และบุคคลประสบพบเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น จักสร้างความขนลุกขนพอง แทบจะคลุ้มบ้าคลั่ง! … ผมเลือกเอาช็อตที่รู้สึกว่าหลอกหลอนสุดในหนังมาให้ดูแบบงงๆกันก่อน ใครดูหนังแล้วน่าจะพอเข้าใจเหตุผลได้กระมัง

The Brood

David Paul Cronenberg (เกิดปี 1943) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Canadian เกิดที่ Toronto, Ontario บิดาเป็นนักเขียน/นักตัดต่อ พยายามเสี้ยมสอนบุตรชายให้หลงใหลในสื่อภาพยนตร์ แต่เขากลับชื่นชอบอ่านนวนิยาย Science-Fiction ในตอนแรกเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ University of Toronto ก่อนเปลี่ยนมาคณะวรรณกรรมภาษาอังกฤษ จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสรับชม Winter Kept Us Warm (1966) ถึงเริ่มค้นพบความสนใจในภาพยนตร์ กำกับหนังสั้น 16mm ร่วมก่อตั้ง Toronto Film Co-op กับเพื่อนสนิท Ivan Reitman, ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Stereo (1969), Crimes of the Future (1970), พัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ ‘body horror’ เริ่มตั้งแต่ Shivers (1975), Rabid (1977)

ผกก. Cronenberg ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกภาพยนตร์แนว ‘body horror’ ด้วยความพยายามทำให้เรือนร่างกายมนุษย์มีความผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ (Transformation) มักจากเทคโนโลยีล้ำยุคสมัย ไม่ก็ติดเชื้อโรคบางอย่าง ซึ่งสามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์ จิตวิเคราะห์ ผลงานส่วนใหญ่จึงมีลักษณะ Sci-Fi Horror แต่บางครั้งก็สรรค์สร้างแนว Psychological Thriller, Gangster Film ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง คลุ้มบ้าคลั่ง

ผลงานเด่นๆ อาทิ The Brood (1979), Scanners (1981), Videodrome (1983), The Dead Zone (1983), The Fly (1986), Dead Ringers (1988), Naked Lunch (1991), Crash (1996), A History of Violence (2005), Eastern Promises (2007) ฯลฯ

ช่วงปลายปี 1978, ผกก. Cronenberg มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับภรรยาคนแรก Margaret Hindson (แต่งงานปี 1972-79) กำลังอยู่ในช่วงเจรจาหย่าร้าง ต่อรองสิทธิ์ในการเลี้ยงดูแลบุตรสาว Cassandra Cronenberg (เกิดปี 1972) ขณะนั้นอายุเพียง 5-6 ขวบ โอกาสได้รับชัยชนะช่างริบหรี่ นำเอาประสบการณ์ดังกล่าวมาพัฒนาเป็น The Brood (1979)

เกร็ด: Kramer vs. Kramer (1979) เข้าฉายทีหลังจาก The Brood (1979) แต่เพราะคว้ารางวัล Oscar: Best Picture เลยเป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่ามากๆ


เรื่องราวของ Frank Carveth (รับบทโดย Art Hindle) สังเกตเห็นบุตรสาว Candice มีสภาพบอบช้ำจากการถูกทำร้ายร่างกาย ครุ่นคิดว่าคือฝีมือของอดีตภรรยา Nola Carveth (รับบทโดย Samantha Eggar) ขณะนั้นเป็นผู้ป่วยจิตเวช อาศัยอยู่สถาบัน Somafree Institute ดำเนินการโดยนักจิตบำบัด Dr. Hal Raglan (รับบทโดย Oliver Reed) ผู้ครุ่นคิดวิธีการรักษาเรียกว่า ‘psychoplasmics’

ระหว่างที่ Frank พยายามหาหนทางให้ตนเองมีสิทธิ์เลี้ยงดูแลบุตรสาว Candice แต่เพียงผู้เดียว! กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหลายอย่าง Juliana (มารดาของ Nola) ถูกเข่นฆาตกรรมโดยไม่ทราบสาเหตุ, ติดตามด้วย Barton (อดีตสามีของ Juliana), อีกทั้งครูประจำชั้น Ruth Mayer ก็ประสบโชคชะตาเดียวกัน ก่อนค้นพบว่าฆาตกรคือกลุ่มเด็กที่มีความผิดปกติทางร่างกาย แต่พวกเขาเหล่านี้มาจากไหน? มีจุดประสงค์อะไร?

หลังจากที่ Dr. Raglan รับรู้เหตุการณ์ฆาตกรรมบังเกิดขึ้น จึงสั่งปิดสถาบันของตนเองโดยไม่ทราบสาเหตุ Frank จึงเดินทางไปพบเจอ เผชิญหน้า ทำให้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับอดีตภรรยา และต้นกำเนิดเด็กๆที่มีความผิดปกติเหล่านั้น สุดท้ายเขาจะสามารถช่วยเหลือบุตรสาว Candice ได้สำเร็จหรือไม่?


Art Hindle นักแสดงชาวแคนาดา เกิดที่ Halifax, Nova Scotia อาศัยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า โตขึ้นเริ่มทำงานเป็นโมเดลลิ่ง แขกรับเชิญรายการโทรทัศน์ ตัวประกอบภาพยนตร์ เริ่มมีชื่อเสียงจาก The Pround Rider (1971), Black Christmas (1974), Invasion of the Body Snatchers (1978), The Brood (1979) ฯลฯ

รับบท Frank Carveth ชายวัยกลางคนผู้มีความเกรี้ยวกราด โกรธเกลียด สะสมอัดอั้นอยู่ภายใน พยายามทำตัวเป็นสามีที่ดี บิดาที่ดี แต่ชีวิตก็มีแต่เรื่องวุ่นๆวายๆ เคยต้องการให้อภัยภรรยา แต่เมื่อพบเห็นภาพบาดตาบาดใจ ก็ไม่สามารถยินยอมรับสิ่งอัปลักษณ์ที่บังเกิดจากตัวเธอ

ตัวละครนี้ก็คืออวตารของผู้กำกับ Cronenberg ที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ฉันก็แค่ชายคนหนึ่ง โหยหาสิ่งถูกต้องดีงาม ไม่สามารถยินยอมรับความชั่วช้าสามาลย์ของภรรยา จึงต้องกระทำบางสิ่งอย่างเพื่อสนองอารมณ์ ระบายความอึดอัดอั้นของตนเอง

นั่นเองทำให้ผมรู้สึกว่านี่เป็นตัวละครน่าเบื่อสิ้นดี การแสดงของ Hindle ก็เฉกเช่นกัน ดูเห็นแก่ตัวเอาแต่ใจ มองโลกแคบ ยึดถือมั่นอุดมคติ ไม่เคยพยายามรับฟัง ทำความเข้าใจหัวอกผู้อื่น เรียกว่าสะท้อนสันดานธาตุแท้ นิสัยแย่ๆของผู้กำกับ Cronenberg แต่ครุ่นคิดว่าฉันถูกที่สุด


Victoria Louise Samantha Marie Elizabeth Therese Eggar (1939-) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Hampstead, London วัยเด็กแม้เติบโตขึ้นในอารามชี แต่ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดง ได้รับทุนการศึกษา Royal Academy of Dramatic Arts กลับเลือกเรียนแฟชั่นที่ Thanet School of Art แล้วค่อยมาเรียนต่อ Webber Douglas Academy of Dramatic Art จากนั้นมีผลงานละครเวที, ภาพยนตร์เรื่องแรก Dr. Crippen (1962), โด่งดังจาก The Collector (1965) เข้าชิง Oscar: Best Actress, ผลงานเด่นๆ อาทิ Walk, Don’t Run (1966), Doctor Dolittle (1967), The Brood (1979) ฯลฯ

รับบท Nola Carveth อดีตภรรยาของ Frank เลิกราเพราะอาการผิดปกติทางจิต ทำให้ไม่สามารถแยกแยะตัวตน ควบคุมอารมณ์(ทางเพศ) เลยกลายเป็นหนูทดลองของ Dr. Hal Raglan รักษาด้วยวิธี ‘psychoplasmics’ แต่เธอกลับให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตเรียกว่า The Brood และยังสามารถควบคุมเด็กๆเหล่านั้นให้กระทำสิ่งสนองความต้องการของตนเอง

แม้ปรากฎตัวแค่ไม่กี่ฉาก ใช้เวลาถ่ายทำแค่ 3-4 วัน Eggar ก็เต็มไปด้วยความประทับใจที่ได้ทำสิ่งบ้าๆบอๆในกองถ่ายชายล้วน สวมบทบาทเดี๋ยวเป็นแม่ เดี๋ยวเป็นลูกสาว เดี๋ยวเป็นภรรยา ระบายอารมณ์คลุ้มคลั่ง ทั้งท่าสยายปีกและเลียทารกน้อย เล่าว่าได้แรงบันดาลใจจากลูกแมว/ลูกสุนัขที่เพิ่งคลอดลูก

It’s sugar water, colored like blood. I just thought that when cats have their kittens or dogs have puppies (and I think at that time I had about 8 dogs), they lick them as soon as they’re born. Lick, lick, lick, lick, lick…

Samantha Eggar

ตัวละครนี้คือตัวแทนภรรยา Margaret Hindson ในมุมมองของผู้กำกับ Cronenberg มีพฤติกรรมบ้าๆบอๆ พูดคุยสนทนาไม่รู้เรื่อง แถมยังคบชู้สู่ชาย นอกใจตนเอง ไม่ต่างจากปีศาจ สิ่งชั่วร้าย บุคคลอันตราย ครั้งหนึ่งเคยครุ่นคิดจะให้อภัย แต่เมื่อเผชิญหน้ากลับแสดงสันดานธาตุแท้ออกมา ผู้หญิงแบบนี้สมควรถูกเข่นฆ่าให้ตกตาย … นี่คือลักษณะของ Misogyny (เกลียดชังผู้หญิง) ที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก!


Robert Oliver Reed (1938-99) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Wimbledon, London มีศักดิ์เป็นหลานของผู้กำกับ Carol Reed, ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างไร้หลักแหล่ง รับจ้างทำงานทั่วไป เคยเป็นนักมวย คนขับแท็กซี่ บริกรโรงพยาบาล จนกระทั่งอาสาสมัครทหาร Royal Army Medical Corps ทำให้ค้นพบความสนใจด้านการแสดง เริ่มจากเป็นตัวประกอบภาพยนตร์ ซีรีย์โทรทัศน์ เป็นที่รู้จักจาก Sword of Sherwood Forest (1960), รับบทนำครั้งแรก The Curse of the Werewolf (1961), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Trap (1966), Oliver! (1968), Women in Love (1969), The Devils (1971), The Three Musketeers (1973), Tommy (1975), The Brood (1979), Lion of the Desert (1981), Castaway (1986), The Adventures of Baron Munchausen (1988), Funny Bones (1995), Gladiator (2000) ฯลฯ

รับบท Dr. Hal Raglan นักจิตบำบัดผู้ก่อตั้งสถาบัน Somafree Institute ทำการทดลองรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการ ‘psychoplasmics’ ปลูกถ่ายบางสิ่งอย่างเข้าไปในร่างกายมนุษย์ เพื่อให้เจ้าสิ่งนั้นงอกเงยความผิดปกติทางจิตใจออกมา สำหรับผู้ป่วย Nola Carveth สิ่งที่เป็นปัญหาคือการให้กำเนิดบุตร ผลลัพท์ทำให้เธอคลอด The Brood สิ่งมีชีวิตที่มีความอัปลักษณ์ น่ารังเกียจ ไม่แตกต่างจากนางพญาผึ้ง (Queen Bee)

แม้ผมค่อนข้างรำคาญในเรือนร่างอันอวบอ้วนของ Reed แต่การแสดงยังถือว่านิ่งเงียบ เฉียบคม สงบสยบทุกการเคลื่อนไหว เต็มไปด้วย Charisma สร้างความโดดเด่นให้ตัวละคร ดูเฉลียวฉลาด อัจฉริยะภาพ สามารถเล่นละคอนเป็นทั้งพี่ชาย พ่อ-ลูก-สามี (เพื่อรักษาผู้ป่วยในสังกัด) แม้หนังพยายามทำเหมือนเขาคือตัวร้าย เย่อหยิ่งทะนงตน แท้จริงกลับพยายามช่วยเหลือทุกคน ยึดถือมั่นจรรยาบรรณอย่างแรงกล้า ถึงขนาดยินยอมเสียสละตนเอง ต้องการรักษาคนไข้ให้หายป่วยอย่างแท้จริง

หลายๆผลงานของผกก. Cronenberg จะต้องมีบทเกี่ยวกับด็อกเตอร์ ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญสำหรับอธิบายปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติที่บังเกิดขึ้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ Dr. Raglan นักจิตวิทยาสติเฟื่อง ผู้ให้กำเนิด และเฉลยปริศนาเกี่ยวกับ The Brood


ถ่ายภาพโดย Mark Irwin (1950-) สัญชาติแคนาดา สำเร็จการศึกษาด้านภาพยนตร์จาก York University ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ David Cronenberg ตั้งแต่ Fast Company (1979) จนถึง The Fly (1986)

หลายคนอาจมองอย่างผิวเผินว่า ‘สไตล์ Cronenberg’ เพียงเน้นขาย Special Effect สิ่งมีชีวิตสุดอัปลักษณ์ น่าขยะแขยง แต่เอาจริงๆลีลาการนำเสนอเต็มไปด้วยภาษาภาพยนตร์ที่ผ่านการครุ่นคิดโดยละเอียด โดยเฉพาะทิศทางมุมกล้อง ระยะภาพค่อนข้างประชิดใกล้นักแสดง Medium Shot, Close-Up ละเล่นกับการจัดแสง-สีสัน และใช้สภาพแวดล้อมสร้างบรรยากาศอันหนาวเหน็บ

ไฮไลท์คือการสร้างความลึกลับ ที่จะค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดออกทีละลำดับขั้นตอน เริ่มต้นจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง (รับชมการรักษาผู้ชม) พบเห็นสิ่งบังเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง (รอยฟกช้ำของบุตรสาว) ตามด้วยภาพบางส่วน (เห็นการกระทำของฆาตกรจากด้านหลัง) สักกลางๆเรื่องถึงค่อยเปิดเผยใบหน้าตัวตน ลักษณะทางกายภาพ ก่อนเฉลยที่มาที่ไปเมื่อถึงไคลน์แม็กซ์ของหนัง

ปักหลักถ่ายทำอยู่ Toronto, Ontario ช่วงระหว่างพฤศจิกายน-ธันวาคม 1978 โดยสถานที่ที่ใช้เป็น Somafree Institute คือ Kortright Centre for Conservation พื้นที่อนุรักษ์ชานเมือง ทางตอนเหนือของ Toronto


You see, weakness is more acceptable in a girl.

Dr. Hal Raglan

ชาวตะวันตกมักหมกมุ่นอยู่กับความแข็งแกร่ง-อ่อนแอ ต้องการเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง เพื่อสามารถกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ ดำเนินตามวิถีห่วงโซ่อาหาร คำพูดของ Dr. Hal Raglan (เหมือนออกมาจากปากผกก. Cronenberg) สะท้อนแนวคิดของสังคม ‘ชายเป็นใหญ่’ ใครอ่อนแอก็ต้องพ่ายแพ้กันไป … ให้ครุ่นคิดถามตัวเองนะครับว่านั่นคือสิ่งถูกต้องหรือเปล่า?

แนวคิดวิธีการรักษาจิตบำบัดแบบ ‘psychoplasmics’ คือการปลูกถ่ายบางสิ่งอย่างเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย เพื่อให้เจ้าสิ่งนั้นงอกเงยความผิดปกติออกมา (นำเอาอาการป่วยทางจิตที่เป็นนามธรรม ปรากฎออกมาในเชิงรูปธรรม)

  • Mike Trellan เป็นคนโหยหาการยินยอมรับจากครอบครัว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง น่าจะกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบำบัด จึงพบเห็นเพียงร่องรอยตะปุ่มตะป่ำ (เหมือนอีสุกอีใส) ขึ้นเต็มตัว
  • Jan Hartog ล้มป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) เข้าบำบัดด้วยวิธีการ psychoplasmics แม้เหมือนว่าจะรักษาหาย แต่ก็ทำให้เนื้องอกลุกลามออกมาที่ลำคอ ไม่สามารถหวนกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
  • Nola Carveth มีความวิตกจริต ต้องการสิทธิ์รับเลี้ยงดูแลบุตรสาว เมื่อเข้าบำบัดด้วยวิธีการ psychoplasmics เลยคลอดสิ่งมีชีวิตที่เหมือนเด็กออกมามากมาย

Psychoplasmics ไม่ใช่วิธีการจิตบำบัดที่มีอยู่จริงนะครับ แต่นักจิตวิทยาแสดงความคิดเห็นว่ามีลักษณะละม้ายคล้ายแนวคิดของ Gestalt Therapy เพียงแค่ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นจากร่างกายเท่านั้น

เกร็ด: Gestalt Therapy คือจิตบำบัดแขนงหนึ่ง ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้ารับการบำบัดบังเกิดสติ (Self Awareness) ตระหนักรู้ถึงตัวตน ในฐานะปัจเจกบุคคล ลดการพึ่งพาผู้อื่นมารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน ขจัดความตึงเครียด กระวนกระวาย อันมีสาเหตุจากความบอบช้ำทางอารมณ์ ปมขัดแย้งจากอดีต เพื่อแก้ปัญหาในการเข้าสังคม

ผมเห็นช็อตนี้แล้วนึกถึง Citizen Kane (1941) แต่ในทิศทางกลับตารปัตร! เพราะเรื่องนั้นบุคคลยืนชิดใกล้หน้ากล้อง จะถือว่ามีอำนาจ อิทธิพล ความสำคัญเหนือกว่าใครอื่นที่อยู่ลำดับถัดไป, ภาพนี้เด็กหญิงนั่งอยู่เบื้องหน้า ผู้ใหญ่สองคนคุยกันตรงโซฟา เพื่อจะสื่อว่าทุกสิ่งอย่างอยู่ในมุมมอง สายตา ฉันรับรู้พบเห็นทุกสิ่งอย่าง (ที่พวกผู้ใหญ่แสดงออกมา)

กล้องถ่ายมุมเงยกับเด็กหญิง ระหว่างพบเห็นการเสียชีวิตของย่า Juliana เหมือนต้องการสื่อถึงความไม่พึงพอใจของเธอ มองลงมาด้วยสายตาดูถูก เหยียดหยาม เต็มไปด้วยอคติ สมควรตาย!

การเสียชีวิตของทั้ง 3-4 ตัวละครในหนัง ล้วนมีลักษณะคล้ายๆกันคือสะท้อนอคติ ความไม่พึงพอใจของ Nola จึงทำการออกคำสั่ง The Brood ให้เข่นฆาตกรรมเป้าหมาย

  • (มารดา) Juliana เหมือนกำลังเล่าเรื่องโกหกให้กับ Candice ถึงเหตุผลที่สมัยเด็กๆ Nola ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง (สังเกตว่าขณะเล่าเรื่อง เธอก็จิบเหล้าไปด้วย คุยกับเด็กมันเครียดขนาดนั้นเชียวรึ?) แท้จริงแล้วผมครุ่นคิดว่าเธออาจเคยใช้กำลังรุนแรงกับบุตรสาวบ่อยครั้ง (เพื่อล้อกับ Nola ใช้ความรุนแรงกับ Candice)
  • (บิดา) Barton เป็นคนชอบดื่มเหล้า มึนเมา และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกาย นั่นน่าจะคือสาเหตุให้เลิกราหย่าร้าง Juliana (รวมถึงน่าจะเคยใช้ความรุนแรงกับ Nola ด้วยเช่นกัน เลยถูกฆาตกรรมโดยการทุบศีรษะ)
  • ครูประจำชั้น Ruth Mayer ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชู้รักของ Frank
  • Dr. Raglan ต้องการให้ความช่วยเหลือ Nola แต่กลับยิ่งทำให้ทุกสิ่งอย่างเลวร้ายลง จนต้องยินยอมรับผลของการกระทำ

ความมืดมิดอย่างผิดปกติ ก่อนการถูกฆาตกรรมของ Barton นี่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการสื่อนัยยะถึงอะไร (ความตายคืบคลานเข้ามา) แต่สถานที่เสียชีวิตคือในห้องนอน บริเวณข้างๆเตียง และโดนลูกแก้วทุบศีรษะ … รายละเอียดเหล่านี้ ผู้ชมอย่างเราๆก็ได้แค่คาดเดาความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่สำหรับผู้กำกับ Cronenberg ผมเชื่อว่ามันอาจมีเหตุผลความเป็น ‘ส่วนตัว’ มากกว่านะครับ

มันมีเฉดสีสันมากมายที่จะใช้สร้างบรรยากาศในห้องชันสูตรศพ แต่หนังกลับเลือกสีชมพูเข้มๆ เพื่อสร้างสัมผัสเหนือธรรมชาติ ผิดแผกแปลกประหลาด สอดคล้องกับคำบรรยายสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จะเรียกมนุษย์ดีหรือเปล่า (deform children) และเหมือนว่ามันจะตาบอดสีด้วยกระมัง (ก็เลยเลือกใช้สีของคนตาบอดสี)

ความตายของครูประจำชั้น Ruth Mayer ผมครุ่นคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องอารมณ์อิจฉาริษยาล้วนๆ เพราะเมื่อ Nola โทรศัพท์หาอดีตสามียามค่ำคืน แล้วเธอคือคนรับสาย (เพียงมารับประทานอาหารเย็น และเฝ้าบ้านให้ Frank) ผลลัพท์เลยทำให้ถูกเข่นฆาตกรรม และกระดาษาปกปิดใบหน้าศพเธอนั้นขึ้นข้อความ

We plant pumpkin seeds.

คำว่าเมล็ดพันธุ์ (seeds) ในบริบทนี้สามารถสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Frank กับครูประจำชั้น ที่ยังไม่ทันงอกเงยก็ถูกตัดไฟตั้งแต่ต้นลม (โดย Nola)

ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน ครุ่นคิดว่าการเสียชีวิตแบบงงๆของฆาตกร/เด็กผิดปกติ (Deform Children) หลังจากสองศพแรก ก็คงทำให้หนังใกล้จบลง แต่จู่ๆกลับมีเด็กอีกสองคนขนาบซ้ายขวา กำลังพา Candice เดินทางกลับบ้าน (ยังสถาบัน Somafree Institute) ท่ามกลางหิมะตก สภาพอากาศหนาวเหน็บ ย่อมสร้างความเย็นเยือก สั่นสะท้านทรวงในแก่ผู้ชมอย่างแน่แท้!

เกร็ด: บรรดาเด็กๆ The Brood แท้จริงแล้วคือนักกีฬายิมนาสติก หน้าตาเป็นปกติทั่วไป ได้รับการแต่งหน้าแต่งตาให้ดูอัปลักษณ์พิศดารเท่านั้นนะครับ

The Brood

Nola สยายปีกเหมือนนางพญา หนังให้คำนิยาม ‘queen bee’ ราชินีผู้ให้กำเนิดผึ้งงาน ให้กำเนิดแบบแตกหน่อ ไม่ต้องผสมพันธุ์ (parthenogenetically) อันเกิดจากวิธีการจิตบำบัด ‘psychoplasmics’ แปรสภาพความผิดปกติที่อยู่ภายในจิตใจ จากนามธรรมสู่รูปธรรม

ส่วนการเลียทารกน้อยนั้น อย่างที่อธิบายไปแล้วว่านักแสดง Samantha Eggar ได้แรงบันดาลใจจากหมาแมว ที่มักทำการเลียลูกๆเพื่อแสดงความรัก และทำความสะอาดร่างกาย … นี่แสดงถึงพฤติกรรมของตัวละคร แสดงออกไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

The Shining (1980)??? แต่จริงๆแล้วผกก. Stanley Kubrick ได้แรงบันดาลใจจากโคตรหนังเงียบ Broken Blossoms (1919) และ The Phantom Carriage (1921) ต่างก็มีฉากขวานทุบประตูคล้ายๆกัน

หลังจากเข่นฆาตกรรมภรรยา Frank ก็ไม่รู้จะพูดบอกอะไรยังไงกับบุตรสาว Candice เพียงนั่งเงียบอยู่ในรถ ปกคลุมด้วยเงามืดมิด และช็อตสุดท้ายของหนังถ่ายให้เห็นตุ่ม เนื้องอกเงยออกมาจากผิวหนัง ซึ่งสื่อถึงลักษณะของจิตบำบัด ‘psychoplasmics’ ความผิดปกติภายในจิตใจของเด็กหญิง กำลังจะปรากฎเป็นรูปเป็นร่างออกมา

ตัดต่อโดย Alan Collins,

การดำเนินเรื่องของหนังไม่ได้นำเสนอผ่านมุมมองตัวละครหนึ่งใด มีลักษณะเป็น ‘story driven’ กระโดดไปมาระหว่าง Frank กับ Dr. Raglan และเมื่อกำลังจะเกิดเหตุฆาตกรรม มักต้องมีบุตรสาว Candice เป็นผู้พบเห็นทุกสิ่งอย่าง

  • ความผิดปกติของ Candice
    • Frank เดินทางมารับบุตรสาวที่สถาบัน Somafree Institute
    • พบเห็นความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นกับบุตรสาว
    • พยายามพูดคุยต่อรอง Dr. Raglan และขอคำปรึกษาจากนักกฎหมาย
  • คดีฆาตกรรม Juliana (มารดาของ Nola)
    • Frank ฝากบุตรสาวไว้กับ Juliana (มารดาของ Nola) แต่แล้วเธอกลับถูกเข่นฆาตกรรมโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • Dr. Raglan พูดคุยกับ Nola เหมือนเข้าใจว่าเธอคือสาเหตุของทุกสิ่งอย่าง
  • คดีฆาตกรรม Barton (อดีตสามีของ Juliana)
    • Barton เดินทางมาร่วมงานศพอดีตภรรยา พบเจอ Dr. Raglan เรียกร้องอยากพบเจอหน้าบุตรสาว Nola
    • Frank เดินทางไปพบเจออดีตผู้ป่วยสถาบัน Somafree Institute เพื่อมองหาสิ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชั้นศาล
    • ค่ำคืนนั้น Barton ต้องการบุกเข้าไปหา Nola แต่กลับถูกเข่นฆาตกรรม
    • Frank เดินทางมาช่วยไม่ทัน แต่ก็ได้พบเจอฆาตกร The Brood
  • คดีฆาตกรรมครูประจำชั้น Ruth Mayer
    • เริ่มต้นจาก Nola โทรศัพท์หา Frank แต่บุคคลที่รับคือ Ruth Mayer เลยเกิดความอิจฉาริษยา
    • Dr. Raglan ตัดสินใจปิดสถาบัน Somafree Institute โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ
    • Frank พบเจอกับผู้ป่วยจาก Somafree Institute ซักถามถึงเหตุผลการสั่งปิดสถาบัน
    • เช้าวันถัดมา Frank พาบุตรสาวไปส่งโรงเรียน แต่กลับเกิดเหตุฆาตกรรมครูประจำชั้น Ruth Mayer
  • ตัวตนแท้จริงของ Nola Carveth
    • Frank เดินทางไปสถาบัน Somafree Institute เผชิญหน้า Dr. Raglan
    • จากนั้น Frank เผชิญหน้าภรรยา Nola และ Dr. Raglan ต่อสู้กับ The Brood

‘สไตล์ Cronenberg’ โดดเด่นด้านการตัดต่อที่เต็มไปด้วยลึกลับ ลำดับเรื่องราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เร่งรีบร้อนเฉลยทุกสิ่งอย่าง ค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดออกทีละเล็ก (ทั้งเรื่องราว และหน้าตาสัตว์ประหลาด) เพื่อสร้างความอยากรู้อยากเห็น ชักชวนให้อยากติดตามหนังไปเรื่อยๆจนถึงตอนจบ

นอกจากความลึกลับ ยังเด่นในเรื่องการสร้างความลุ้นระทึกขวัญ อย่างไคลน์แม็กซ์ของหนังทำการตัดต่อสลับไปมาระหว่าง Frank (เผชิญหน้าภรรยา) และ Dr. Raglan (เผชิญหน้า The Brood เพื่อช่วยเหลือ Candice) บางครั้งก็แทบจะช็อตต่อช็อต รอดไม่รอด ตัวละครจะครุ่นคิดตัดสินใจเช่นไร!


เพลงประกอบโดย Howard Leslie Shore (เกิดปี 1946) นักแต่งเพลงชาว Canadian เกิดที่ Toronto, Ontario ค้นพบความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ มีความสามารถเล่นดนตรีได้หลากหลาย เลยเข้าเรียนต่อ Berklee College of Music จากนั้นเป็นสมาชิกวงดนตรี Lighthouse แนว Jazz Fusion, ต่อด้วย Music Director ให้รายการโทรทัศน์อย่าง Saturday Night Live, สำหรับภาพยนตร์ได้รับคำชักชวนจาก David Cronenberg เริ่มต้นครั้งแรก The Brood (1979), The Dead Zone (1983), The Fly (1986), Dead Ringers (1988), Naked Lunch (1991), Crash (1996), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Silence of the Lambs (1991), Ed Wood (1994), Se7en (1995), The Game (1997), The Lord of the Rings trilogy (2001-03) ** คว้ารางวัล Oscar ทั้งหมด 3 ครั้ง, Gangs of New York (2002), The Aviator (2004), Hugo (2011) ฯลฯ

อาจเพราะเพิ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก ผมเลยรู้สึกว่างานเพลงของ Shore ยังขาดความเป็นตัวตนเองอยู่พอสมควร ท่วงทำนองเต็มไปด้วยกลิ่นอาย Bernard Herrmann ใช้เครื่องสายสร้างสัมผัสกรีดกราย แทนความรู้สึกกระวนกระวาย ส่งสัญญาณเตือนภยันตราย บางสิ่งอย่างชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา

ความโดดเด่นในสไตล์เพลงของ Shore คือการสร้างความลึกลับ สลับซับซ้อน ด้วยสัมผัสอันนุ่มลึก สั่นสยิวกาย สะท้านทรวงใน ไม่แสดงออกทางอารมณ์อย่างโจ่งแจ้งเหมือน Main Theme แต่การบรรเลงด้วยเชลโล่ (นาทีที่ 4:30) ต้องชมเลยว่าบีบเค้นคั้น ทำเอาผมกลั้นหายใจโดยไม่รับรู้ตัว

เกร็ด: Howard Shore ถึงขนาดว่าจ้างนักดนตรีมืออาชีพมาบรรเลงเพลงประกอบให้กับหนัง จึงสามารถมอบสัมผัสทางอารมณ์ที่ทรงพลังมากๆ

This is a movie about how parents, and divorce, deform multiple generations. And perhaps, too, a parable about how the more men try to control women, the more it has the opposite outcome.

Carrie Rickey

เริ่มจากรุ่นแม่ Juliana (มารดาของ Nola) หย่าร้าง Barton ส่งอิทธิพลต่อมายัง Nola หย่าร้าง Frank ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในสายตาเด็กหญิง Candice เช่นนั้นแล้วอนาคตลูกหลานเหลนรุ่นถัดๆไป คงจะมีแต่เสื่อมถดถอย ทั้งร่างกาย-จิตใจ (deform generation) จนอาจไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์สืบไป

นั่นคือความหวาดกลัวของผู้กำกับ Cronenberg ว่าบุตรสาว(ในวัยกำลังเริ่มรู้เดียงสา)เมื่อสามารถเข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าว จะกลายเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางร่างกาย-จิตใจ ได้รับอิทธิพลแย่ๆ รายล้อมรอบด้วยสิ่งชั่วร้าย ถูกควบคุมครอบงำจากอารมณ์เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้ายของมารดา เลยพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้มีสิทธิ์เลี้ยงดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว

Nola Carveth ก็คืออวตารของอดีตภรรยา Margaret Hindson เมื่อก่อนคงเคยรักมาก แต่พอหย่าร้างก็รังเกียจเข้ากระดูกดำ สรรค์สร้างตัวละครนี้ให้มีความอัปลักษณ์ทั้งร่างกาย-จิตใจ ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตรูปร่างน่ารังเกียจขยะแขยง แถมผู้กำกับ Cronenberg เคยให้สัมภาษณ์บอกว่ารู้สึกสะใจเมื่อได้เข่นฆ่ายัยนี่ให้ตกตายไป

The Brood ในบริบทของหนังคือคำเรียกกลุ่มเด็กๆที่มีความผิดปกติทางร่างกาย (deform children) ถือกำเนิดขึ้นจาก Nola Carveth ระหว่างเข้ารักษาจิตบำบัดด้วยวิธีการ psychoplasmics … กล่าวคือเด็กๆพวกนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความผิดปกติทางจิตใจของ Nola Carveth จึงสามารถควบคุมครอบงำ ใช้อารมณ์ชี้ชักนำพาให้พวกเขาเหล่านั้นกระทำสิ่งต่างๆตอบสนองความต้องการส่วนตน

เกร็ด: Brood (กริยา) แปลว่ากกไข่ ฟักไข่ (มักใช้กับสัตว์ปีก) หรืออาการหนักอกหนักใจ, (คำนาม) แปลว่าครอก ลูกไก่ สัตว์สำหรับสืบพันธุ์ (breeding animal)

ผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายทุกครั้งเวลารับชมภาพยนตร์ที่นำเสนอการเหยียด (Racism) รังเกียจ เดียดฉันท์ผู้อื่น ใช้งานศิลปะสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง นั่นคือสันดานของคนไร้สามัญสำนึก เห็นแก่ตัวเอาแต่ใจ เก๋าเจ้ง ชาติหมา ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า … แถมรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้เข่นฆ่าอวตารของอดีตภรรยาให้ตกตายไป ใครกันแน่ที่อัปลักษณ์ทั้งร่างกาย-จิตใจ

The Brood (1979) เป็นหนึ่งในผลงานมีความเป็นส่วนตัว ‘personal film’ ที่สุดของผู้กำกับ Cronenberg ระบายความอึดอัดคับข้องทรวงใน แม้ไม่สามารถค้นพบหนทางออกของปัญหา ก็ได้แต่คาดหวังและอธิษฐานว่าบุตรสาวจะไม่เติบโตขึ้นกลายเป็นแบบอดีตภรรยา เนื้อหาสาระของหนังก็แค่นี้ละ!


ด้วยทุนสร้าง C$1.5 ล้านดอลลาร์แคนาดา หลังจากนำฉายเพียงสองหัวเมือง Toronto และ Chicago ภายในสิบวันทำเงินได้ $685,000 เหรียญสหรัฐ รวมตลอดโปรแกรมฉายเกินกว่า $5 ล้านเหรียญ

เสียงตอบรับเมื่อตอนออกฉายแม้มีทั้งดีเยี่ยมและยอดแย่ แต่กาลเวลาทำให้หนังได้รับการวิเคราะห์ ตีความ แพร่หลายในวงกว้าง ถือเป็นผลงานทรงอิทธิพลต่อแนว ‘Body Horror’

The films of Cronenberg, particularly The Brood, are of a genre that examines these fears – ones that are subconscious and unknown until we’re shown them – in gloriously unsubtle metaphors that are hard to forget, even 40 years later.

นักวิจารณ์ Millicent Thomas ในบทความ Fear of the feminine in David Cronenberg’s The Brood

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ คุณภาพ 2K ภายใต้การดูแลของผู้กำกับ Cronenberg แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2015 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray และรับชมออนไลน์ได้ทาง Criterion Channel

ส่วนตัวชื่นชอบความลึกลับ บรรยากาศสยิวๆ สั่นสะท้านทรวงในมาจนถึงไคลน์แม็กซ์ คำตอบของปริศนาทั้งหมดทำให้ผมค่อนข้างหัวเสียพอสมควร และการกระทำของพระเอกเป็นตอนจบที่น่าเศร้าใจ สะท้อนตัวตนผู้กำกับ Cronenberg อัปลักษณ์ไม่ต่างจาก The Brood

แนะนำคอหนัง (Body) Horror สะท้อนปัญหาครอบครัว ความน่าสะพรึงกลัวของการหย่าร้าง (ในมุมมองบุรุษเพศ/ผู้กำกับ Cronenberg), ชื่นชอบการขบครุ่นคิด จิตวิเคราะห์ ค้นหานัยยะเชิงสัญลักษณ์ของ The Brood, โดยเฉพาะจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ศึกษาแนวคิดของ ‘psychoplasmic’ (มันอาจไม่ใช่เทคนิคที่มีอยู่จริง แต่ก็ชวนให้ครุ่นคิดถึงความน่าจะเป็นได้)

จัดเรต 18+ เหตุการณ์ฆาตกรรม ภาพความอัปลักษณ์ สั่นสะเทือนจิตวิทยา

คำโปรย | The Brood ของผู้กำกับ David Cronenberg ให้กำเนิดภาพยนตร์ที่มีความอัปลักษณ์ สร้างความหวาดสะพรึงกลัว และจุดจบที่น่าขยะแขยงสิ้นดี!
คุณภาพ | อัปลักษณ์
ส่วนตัว | ขยะแขยง

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: