The Crowd (1928)
: King Vidor ♥♥♥♥
หนังที่มีเรื่องราวเรียบง่ายธรรมดาทั่วไปนี่แหละ มีความทรงพลังที่สุดแล้ว, ท่ามกลางฝูงชนในเมือง New York City ชายคนหนึ่งทำงาน แต่งงาน มีลูก ตกงาน ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้ แต่คือ Masterpiece “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนผมรับชมภาพยนตร์ลักษณะนี้ เชื่อว่าคงเอาหัวโขกข้างฝาไม่เข้าใจ (แบบที่ Benjamin ทำใน The Graduate) กับหนังที่แทบไม่มีเนื้อเรื่องอะไร แล้วมันจะมีอะไรได้ยังไง? … รับชมตอนนี้ต้องบอกว่า โอ้! มากมายมหาศาลเลยละ
คุณเป็นคนหนึ่งไหม? ใช้ชีวิตในเมืองทำงานบริษัท วันๆต้องรีบเร่งตื่นแต่เช้า ขึ้นรถแต่หัววันกลัวติด หรืออาจไปต่อรถไฟฟ้าสาธารณะ ถึงที่ทำงานก้มหน้าก้มตายิกๆ 4-5-6 โมงตรงจ้องดูนาฬิกา เปะปุ๊ปตอกบัตรออกงาน เฝ้าเก็บเงินรอคอยเสาร์อาทิตย์วันหยุด จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนจีบสาว วาดฝันแต่งงานมีบ้านรถหรู ประสบความสำเร็จก้าวหน้าร่ำรวย … ถ้าชีวิตคุณเป็นคล้ายๆแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ The Crowd ‘คนธรรมดาๆหนึ่งในฝูงชน’
King Wallis Vidor (1894 – 1982) ผู้สร้างภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Galveston, Texas ปู่ทวดเป็นผู้อพยพจาก Hungarian Revolution เมื่อปี 1848 ตัวเขาเอาชีวิตรอดผ่านเหตุการณ์พายุ Galveston Hurricane เมื่อปี 1900, เริ่มต้นทำงานเป็นตากล้อง freelance newsreel ได้รับโอกาสให้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Grand Military Parade (1913) เดินทางมา Hollywood เริ่มจากเป็นคนเขียนบท จนได้กำกับหนังยาวเรื่องแรก The Turn in the Road (1919) เซ็นสัญญาผูกพันธ์ระยะยาวกับ MGM ประสบความสำเร็จสูงสุดกับ The Big Parade (1925) หนังเงียบที่ทำเงินสูงสุดอันดับ 2 รองจาก The Birth of a Nation (1915)
เกร็ด: King เป็นชื่อนะครับไม่ใช่ศักดิ์, ส่วน Vidor อ่านว่า vee-dor
Vidor ถือเป็นหนึ่งในผู้กำกับประสบความสำเร็จที่สุดในยุคหนังเงียบ ซึ่งพอหนังพูดเริ่มเข้ามา ก็ยังคงมีผลงานประสบความสำเร็จต่อเนื่อง ได้เข้าชิง Oscar: Best Director ถึง 5 ครั้ง The Crowd (1928), Hallelujah! (1929), The Champ (1931), The Citadel (1938), War and Peace (1956) แต่ไม่เคยได้รางวัลทำให้ Academy ต้องมอบ Honorary Award ให้เมื่อปี 1979
สำหรับผลงานที่ได้รับการยกย่องสูงสุด ถือว่าเป็น Masterpiece ของผู้กำกับคือ The Crowd เรื่องนี้ ที่หลังจากประสบความสำเร็จล้นหลามกับ The Big Parade (1925) โปรดิวเซอร์ Irving Thalberg จึงถามว่าคิดจะทำโปรเจคอะไรต่อไป Vidor ตอบว่า ขอทำหนังเรื่องราวดราม่าเกี่ยวกับชีวิตธรรมดาๆทั่วไป ที่มีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเขามากมาย ‘ชีวิตก็คือการต่อสู้’ ไม่ใช่หรือ
“Well, I suppose the average fellow walks through life and sees quite a lot of drama taking place around him. Objectively, life is like a battle isn’t it?”
ความต้องการของ Vidor คือคิดสร้างแนวทางใหม่ของเรื่องราว, การแสดง, และการถ่ายภาพ นำอิทธิพลแรงบันดาลใจ German Expressionist จาก Fritz Lang และ F.W. Murnau ทำให้ภาพยนตร์มีส่วนผสมของเรื่องราวแสนธรรมดาเรียบง่าย เกี่ยวกับต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอด, คัดเลือกนักแสดงยังไม่เป็นที่รู้จักโด่งดัง และ Visual Style อาทิ การเคลื่อนกล้อง (Moving Camera), โมเดลจำลอง (Scale Model) ฯ
สำหรับนักแสดงนำ ฝ่ายชาย James Murray (1901 – 1936) เกิดที่ The Bronx เดินทางตามความฝันนักแสดงสู่ Hollywood แต่กลับได้เป็นเพียงตัวประกอบของ MGM จนกระทั่งถูกค้นพบโดย Vidor แต่กลับไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้บทนำ วันที่นัดหมายหายตัวไป แต่ผู้กำกับไม่ยอมแพ้ตามล่าหาตัวจนพบ, นี่คือการแสดงนำจะเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Murray เพราะหลังจากนี้เขาก็ดื่มด่ำในความสำเร็จมากเกินไป ติดเหล้าอย่างหนักจนไม่เป็นทำการงาน ปี 1934 ระหว่าง Vidor เตรียมการสร้างหนังภาคต่อเรื่อง Our Daily Bread พบเจอ Murray เมาปลิ้นอยู่ข้างทาง ด้วยความเวทนาจึงชักชวนให้กลับมารับบทเดิม แต่เจ้าตัวบอกปัดปฎิเสธ ‘Just because I stop you on the street and try to borrow a buck you think you can tell me what to do. As far as I am concerned, you know what you can do with your lousy part.’
Murray เสียชีวิตด้วยอาการสำลักน้ำ ไม่รู้ว่าจากการฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม
รับบท John Sims ผู้ชายธรรมดาสามัญที่มีความฝันแต่ไร้ความกระตือรือล้นทะเยอทะยาน ชีวิตราวกับปลาตัวหนึ่งในกระแสน้ำเชี่ยวกราก (ระดับน้ำตกไนแอการา) ปล่อยตัวเองไหลตามกระแสธารไปเรื่อยๆ ไม่เคยคิดต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่งงาน มีครอบครัว มีลูกสองคน จนกระทั่งเมื่อชีวิตพบเจอกับโศกนาฎกรรม ไม่สามารถคิดทำอะไรต่อไปได้ กลายเป็นคนตกงาน หางานใหม่ไม่ได้ และขณะกำลังถูกภรรยาทอดทิ้ง ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ก็เริ่มรู้ตัวเอง วินาทีนั้นได้ลุกขึ้นต่อสู้ดิ้นรนด้วยลำแข้งของตนเองเป็นครั้งแรก
Eleanor Boardman (1898 – 1991) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา ภรรยาคนที่สองของ Vidor แต่งงานกันเมื่อปี 1926, เกิดที่ Philadelphia ชื่นชอบการแสดง ตั้งแต่เด็ก เริ่มจากเป็นนักแสดงละครเวที แต่เพราะอาการป่วยหรืออะไรสักอย่าง เสียงของเธอค่อยๆแหบหายจนพูดไม่ได้ ตัดสินใจผันตัวสู่วงการภาพยนตร์ยุคหนังเงียบ ก็สามารถแสดงได้ดี แต่พอถึงยุคหนังพูดก็จบกัน
รับบท Mary Sims หญิงสาวธรรมดาสามัญเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ตกหลุมรัก John เพราะความเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ แม้การงานจะไม่เอาไหนและไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองต่อครอบครัวเธอได้ แต่ความรักของเธอเกิดจากใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรก็สามารถให้อภัยได้ตลอด, จนกระทั่งเมื่อชีวิตพบเจอกับโศกนาฎกรรม เธอพยายามที่จะก้าวเดินต่อ แต่ไม่สำหรับสามี พยายามจนถึงที่สุดเพื่อให้เขาเข้าใจ สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจ…
การแสดงของทั้ง Murray และ Boardman สมจริงยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีกนะครับ คือสามารถถ่ายทอดความธรรมดาออกมาให้ยิ่งใหญ่ ไม่ค่อย Over-Acting มากนัก ผู้ชมสามารถสัมผัสจับต้องตัวละครของพวกเขาได้อย่างสมจริง
ถ่ายภาพโดย Henry Sharp ซึ่งคอนเซ็ปของหนังเรื่องนี้คือ ฝูงชนและการจัดระเบียบ การออกแบบแทบทุกอย่างเลยออกมาในลักษณะ ท่ามกลางและมีความสมมาตร, เห็นว่าฉากที่ถ่ายในเมือง New York City ผู้กำกับ Vidor ใช้วิธีการแอบถ่ายจากสถานที่จริง ฝูงชน รถติด ไม่ได้ใช่นักแสดงประกอบหรือสร้างฉากแต่อย่างใด (ยกเว้นช็อตที่ถ่ายกับตึกสูง ใช้การสร้างโมเดลจำลอง) ซึ่งจะมีฉากหนึ่งที่นายตำรวจเดินเข้าหาหน้ากล้องและขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ‘move alone’ นั่นคือพูดกับ Vidor ให้ทำการขยับกล้องหนี
เด็กชายกำลังเดินขึ้นบันได ดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย … จะมีบ้านใครออกแบบบันไดได้กึ่งกลางขนาดนี้ไหมเนี่ย
ตึกสูงยังมีความสมมาตร เรียกลักษณะนี้ว่า ‘assembly line’ เห็นเส้นตรง สี่เหลี่ยมจักเรียงอย่างเป็นระเบียบ และมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน, นี่เป็นการถ่ายจากโมเดลจำลองนะครับ ไม่ใช่สถานที่จริง
ไฮไลท์ช็อตที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดของหนัง คือสถานที่ทำงาน โต๊ะของ John Sims ถือเป็นหนึ่งในเหล่าฝูงชนที่ก็มีลักษณะเหมือนๆกันแทบทั้งนั้น ไม่มีความแตกต่างอะไรเลย
ช็อตนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจของหนังมากมาย อาทิ The Apartment (1960), The Trial (1962), Playtime (1967) ฯ
สำหรับการไปเที่ยวสวนสนุก กิจกรรม เกม เครื่องเล่นทั้งหลายมักมีลักษณะหมุนวนเวียนเป็นวงกลม มีนัยยะสะท้อนถึงการทำอะไรซ้ำๆซากๆ, Rat Race, การแข่งขัน และชีวิตที่วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่จบสิ้น
และสำหรับน้ำตกไนแอการา (Niagara Falls) เลือกสถานที่ฮันนีมูนได้สื่อความหมายถึงลักษณะของตัวละครได้ชัดเจน, ธรรมชาติของน้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ก็เหมือน John Sims ที่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ ไม่เคยคิดต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน เป็นหนึ่งในปลาน้อยที่ปล่อยตัวเองตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก
ตัดต่อโดย Hugh Wynn, หนังใช้การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ John Sims นำเสนอเฉพาะช่วงเวลาสำคัญๆของชีวิตเท่านั้น อาทิ ตอนเกิด, พ่อเสีย, เดินทางสู่ NYC, พบกับแฟนสาว, แต่งงาน, ฮันนีมูน, ภรรยาท้อง, ตกงาน ฯ
เห็นว่าตอนจบของหนังมีประมาณ 7 – 9 ฉบับ ต้นเหตุเกิดจาก Louis B. Mayer หนึ่งในผู้ก่อตั้ง MGM ไม่ประทับใจตอนจบดั้งเดิม จึงทำการยื้อหนังไว้กว่าปีไม่นำออกฉาย เพื่อให้หาตอนจบใหม่ที่น่าประทับใจกว่า จนสุดท้ายเหลือเพียง 2 แบบ คือ ต้นฉบับของ Vidor (John ได้งานใหม่ ขณะที่ภรรยากำลังจะย้ายออกจากบ้านแต่ไปไม่ไกลกว่านั้น) และอีกตอนจบ Happy Ending ที่ John หางานใหม่สำเร็จ ทุกคนในครอบครัวรวมตัวกันแสดงความยินดีในวันคริสต์มาส
สำหรับ Title Card ออกแบบโดย Joseph Farnham เจ้าของรางวัล Oscar: Best Writing, Title Writing คนแรกคนเดียวของสาขานี้ (ตอนประกาศรางวัลไม่ได้ระบุว่าหนังเรื่องไหน แต่คาดการณ์กันว่า The Crowd เรื่องนี้แหละ) ประโยคเด็ดๆ อาทิ
– You’ve gotta be good in that town if you want to beat the crowd.
– The poor sap! And I bet his father thought he would be President!
– We do not know how big the crowd is, and what opposition it is… until we get out of step with it.
ประโยคสุดท้ายของหนังถือว่าคือไฮไลท์เลย “The crowd laughs with you always… but it will cry with you for only a day”
ในหนังช่วงท้ายจะเห็นแผ่นเสียงบทเพลง There’s Everything Nice About You (1926) ขับร้องโดย Johnny Marvin เป็นแนว Jazz, Pop นำมาแถมให้ฟัง เพราะคงไม่มีใครเคยได้ยินแน่ (ก็หนังเงียบนิน่ะ) คุณภาพเสียงก็ตามอรรถภาพนะครับ
หนังใช้ชื่อ Working Title ว่า One of the Mob เรื่องราวเกี่ยวกับ American Dream ความฝันและการต่อสู้เอาตัวรอดของ ‘มนุษย์คนหนึ่ง’ ในป่าคอนกรีต (Concrete Jungle) แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น The Crowd ที่แปลว่าฝูงชน ซึ่งไม่เป็นการเจาะจงใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นการพูดเหมารวม เพราะมนุษย์คนนั้นล้วนแต่เป็นใครก็ได้ในโลกความจริง
‘ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ชนะ’ ตอนจบของหนังกล้องเคลื่อนออกจากครอบครัว Sims ค่อยๆเลือนหายไปในฝูงชนที่กำลังหัวเราะไม่ลืมหูลืมตา, สิ่งที่คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆสามารถทำได้กับชีวิต ก็คือยิ้มร่า สนุกสนาน เพลิดเพลิน เต็มที่กับมัน แต่อย่าไปเคร่งเครียดคิดมากเอาเป็นเอาตายอย่างบ้าคลั่ง สุขกับสิ่งที่มี รู้จักคำว่า’เพียงพอ’ และชีวิตจะน่าพึงพอใจ
หนังเรื่องนี้ต้องบอกว่าอาจคือจุดเริ่มต้นของอิทธิพล แรงบันดาลใจให้กับหนังแนว Neorealist
– Vittorio de Sica บอกว่าหนังเรื่องนี้คือหนึ่งในแรงบันดาลใจสร้าง Bicycle Thieves (1948) โดยเฉพาะไคลน์แม็กซ์ของ Umberto D (1952)
– Roberto Rossellini ก็เช่นกัน หลงใหลในความธรรมดาอันสมจริงของเรื่องราว
ครั้งหนึ่งนักข่าวสัมภาษณ์ถาม Jean-Luc Godard หลังจากสร้างภาพยนตร์ในยุค French New Wave ประสบความสำเร็จมาหลายเรื่อง ‘ทำไมไม่สร้างหนังที่เกี่ยวกับคนธรรมดาบ้าง’ Godard ตอบว่า “Why remake The Crowd? It has already been done.”
ตอนที่หนังออกฉาย ยังอยู่ในช่วง Great Depression หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นเวลาที่ผู้คนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าทั้งกายใจ เศรษฐกิจถดถอยฝืดเคืองงานการไม่มี เงินทองหายาก, วิธีการหนึ่งที่ผู้ชมสมัยนั้นนิยมกันก็คือ ‘escapist’ พยายามหาหลีกลี้หนีความจริง ร่ำสุราเมามาย ติดหญิงติดยา หนึ่งในนั้นคือรับชมภาพยนตร์, The Crowd เป็นหนังที่เลือกเวลาออกฉายได้เหมือนจะไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แต่ไปๆมาๆกลับถูกใจผู้ชมสมัยนั้น เพราะนี่แหละความจริงของชีวิต ปรากฎว่าหนังประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จะไม่เทียบเท่า The Big Parade ผลงาน Blockbuster ก่อนหน้าของ Vidor แต่ได้กลายเป็นที่สนใจจากทั้งผู้คนและนักวิจารณ์
ในงานประกาศรางวัล Oscar ครั้งที่ 1 หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิง 2 สาขา ประกอบด้วย
– Best Picture, Unique and Artistic Production (พ่ายให้กับ Sunrise)
– Best Director, Dramatic Picture (พ่ายให้กับ Frank Borzage จากเรื่อง 7th Heaven)
ว่ากันตามตรง The Crowd เทียบไม่ได้เลยกับ Sunrise ในด้านคุณภาพ/เทคนิค/เรื่องราว ฯ ทุกสิ่งอย่าง ขนาดว่าผ่านมาเกือบจะร้อยปีก็ไม่มีวี่แววจะเอาชนะเหนือกว่าได้ ถือเป็นความพ่ายแพ้ที่หมดรูปจริงๆ, แต่หนังก็มีความยิ่งใหญ่ในมิติของตนเอง คือถือว่าเป็น Masterpiece โดยแท้ของ King Vidor ได้รับการยกย่อง และมีอิทธิพลต่อภาพยนตร์ยุคถัดมามากมาย ถือเป็นส่วนหนึ่งในคอลเลคชั่น “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ถึงหนังไม่มีอะไร แต่ก็มีอะไรมากมายให้ครุ่นคิดพูดถึง
อิทธิพลที่เห็นได้ชัดจากการจัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
– ติดอันดับ 45 นิตยสาร Cahiers du cinéma: Top 100 of all time
– ติด 1 ใน 100 นิตยสาร TIME: All-TIME 100 Movies
ส่วนตัวแค่ชอบหนังเรื่องนี้ เหตุผลตามย่อหน้าก่อน คือเมื่อเทียบกับ Sunrise ที่ผมชอบมากกว่า ความรู้สึก ความประทับใจ คุณภาพ คุณค่า มันเทียบกันไม่ได้เลย แต่เพราะหนังมีความสมบูรณ์แบบในมิติของตนเอง ก็สมควรที่อย่างน้อยจะได้รับการยกย่องในความมีคุณค่าของมันเอง
แนะนำกับคอหนังเงียบทั้งหลาย ชื่นชอบเรื่องราวเรียบง่ายกินใจ แนว Realist สมจริงจัง, รู้จักผู้กำกับ King Vidor หรือตามติดมาจากหนังที่ได้แรงบันดาลใจไป เช่น The Apartment (1960), The Trial (1962), Playtime (1967) รับชมหนังเรื่องนี้การันตีความคุ้มค่าแน่นอน
จัดเรต pg กับบรรยากาศความสมจริง
Leave a Reply