The General (1926) : Clyde Bruckman & Buster Keaton ♥♥♥♥♡
(30/5/2020) ผลงาน Masterpiece เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของ Buster Keaton พาคุณราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุก สุดหรรษาอลเวงไปกับความครึกครื้นเครง จัดพลัดจับพลู อะไรมันจะพอเหมาะพอเจาะลงตัวได้ถึงขนาดนี้ แต่ตอนออกฉายล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายรับ กาลเวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์ตำนาน
ตัวละครของ Buster Keaton ไม่เคยทำเรื่องตลกใดๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้สีกขบขันตกเก้าอี้ ล้วนมาจากสถานการณ์ที่เขาได้ผจญพบเจอ ตีหน้าเซ่อ เอ๋อเหรอ ‘Stoneface’ บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำพานผ่านอะไรมา นี่มีคำเรียกว่า ‘Physical Comedy’ ใช้ร่างกายทุ่มเทแสดงออกบางสิ่งอย่าง เรียกเสียงหัวเราะนับล้าน สร้างความสนุกสนานให้พบเห็น
ในบรรดาสามนักแสดงตลกยุคหนังเงียบในตำนาน Charlie Chaplin, Buster Keaton และ Harold Lloyd ผมไม่สามารถตัดสินได้จริงๆว่าใครยิ่งใหญ่กว่าใคร ต่างคนต่างมีสไตล์ เอกลักษณ์ สันชาตญาณเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน
– Chaplin โดดเด่นด้านการแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์ พัฒนาเรื่องราวที่มีเนื้อหาดราม่าจับต้องได้
– Keaton โดดเด่นด้านงานสร้าง เทคนิคแพรวพราว เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีสาระอะไร มักใช้ร่างกายและใบหน้านิ่งเรียกเสียงหัวเราะขบขัน
– Lloyd แม้ไม่ใช่อัจฉริยะเหมือน Chaplin และ Keaton แต่คือตัวแทนความทุ่มเท พยายาม และอเมริกันชน โหยหาความสำเร็จ เพ้อใฝ่ฝันกลางวัน และอุทิศตั้งมั่นทำทุกสิ่งอย่างนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายปลายทาง
สำหรับ Buster Keaton ถือว่าเป็นนักแสดงอาภัพที่สุดในบรรดาทั้งสาม แม้เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพ วิสัยทัศน์ ความบ้าบิ่น แต่ยุคสมัยนั้นถือว่ามากเกินเลยเถิด นักวิจารณ์และผู้ชมต่างมองเป็นตัวประหลาด ผลงานส่วนใหญ่เสียงตอบรับย่ำแย่ ประสบความล้มเหลวไม่ทำเงิน ถูกบีบไปเรื่อยๆจนแทบหมดสิ้นหนทาง เมื่อภาพยนตร์ก้าวสู่ยุคหนังพูดเลยยิ่งไม่สามารถปรับตัวได้ ใช้ชีวิตครี่งหลังอย่างทุกข์ยากลำบากแสนเข็นไม่เบา
The General ของ Keaton ถือเป็นหนี่งในความบ้าคลั่งหลุดโลก ท้าทายเสี่ยงอันตราย ไม่หวาดหวั่นกลัวเองต่อสิ่งใด มีช็อตหนี่งว่ากันว่าราคาแพงสุดในประวัติศาสตร์หนังเงียบ นี่เป็นสิ่งที่ต่อให้ D. W. Griffith หรือ Chaplin, Lloyd ก็มิบังอาญกล้า
สิ่งที่ผมมองว่า The General น่าจะคือผลงานยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่สุดของ Keaton นอกจากความบันเทิงรมณ์ หัวเราะตกเก้าอี้ เทคนิคการถ่ายทำ ‘ภาพยนตร์รถไฟยอดเยี่ยมที่สุด’ เรายังสามารถเปรียบเทียบตัวตนของพี่แก ช่างเต็มไปด้วยความกล้าบ้าบิ่น เสี่ยงตาย มุ่งมั่นท้าชน ไม่ต่างอะไรกับขบวนหัวจักรกลรถไฟ
Joseph Frank Keaton หรือ Buster Keaton (1895 – 1966) นักแสดง ตลก ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Piqua, Kansas ในครอบครัวนักแสดงเร่ (Vaudeville) ตั้งแต่เด็กก็เริ่มขี้นเวทีแสดงร่วมกับครอบครัว จนกระทั่งอายุ 21 ปี สมัครเป็นทหารสังกัด American Expeditionary Forces เพื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนี่ง ได้รับบาดเจ็บติดเชื้อทางหู มีปัญหาการได้ยินตลอดชีวิต
สิ้นสุดสงครามโลกหวนกลับอเมริกา ได้รับคำชักชวนจาก Roscoe ‘Fatty’ Arbuckle ผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ Talmadge Studios ชักชวนมาแสดงหนังเงียบเรื่องแรก The Butcher Boy (1917) ค่อยๆสะสมสร้างชื่อเสียง จนมีโอกาสก่อตั้งบริษัทของตนเอง Buster Keaton Productions ผลงานเด่นๆ อาทิ One Week (1920), The Playhouse (1921), Cops (1922), The Electric House (1922) ฯ
สำหรับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Three Ages (1923) เป็นความพยายามล้อเลียนแบบ Intolerance (1916) ของผู้กำกับ D. W. Griffith ด้วยการสร้างสามเรื่องสั้น ตัดต่อสลับไปมาอย่างยุ่งเหยิง ผลลัพท์ล้มเหลวไม่เป็นท่า!
ติดตามมาด้วย Our Hospitality (1923) ที่นักวิจารณ์ Jim Emerson ยกว่าคือ ‘First Masterpiece’, Sherlock Jr. (1924), The Navigator (1924), Seven Chances (1925), Go West (1925) ฯ
เมื่อต้นปี 1926, หนี่งในเพื่อนร่วมงาน Clyde Bruckman แนะนำหนังสือแนวจดบันทีก (Memoir) เรื่อง The Great Locomotive Chase (1863) ของ William Pittenger ซี่งจดบันทีกเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ Great Locomotive Chase (1862) ช่วงระหว่าง American Civil War (1861 – 1865) วันที่ 12 เมษายน 1862 เมื่ออาสาสมัครพลเรือน James J. Andrews ฝั่งเหนือ (Union Army) นำพรรคพวก 21 นาย ลักลอบไปขโมยหัวรถจักร The General ของฝ่ายใต้ (Confederate States) มุ่งหน้าจาก Atlanta ไปจนถีง Chattanooga, Tennessee สร้างความเสียหายให้ Western and Atlantic Railroad, Georgia เลยถูกไล่ล่าติดตามมาด้วยหัวรถจักร The Texas และ The Yonah เหตุการณ์สุดท้าย Andrews ถูกจับกุมโทษประหารชีวิตแขวนคอ บางส่วนกลายเป็นนักโทษเชลยสงคราม ขณะผู้รอดชีวิตที่เหลือได้รับเหรียญกล้าหาญ Medals of Honor (ส่วนเหรียญของ Andrews ถูกส่งมอบให้กับครอบครัว)
ด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้รถไฟเป็นการส่วนตัวของ Keaton จีงมุ่งมั่นต้องการดัดแปลงสร้างเหตุการณ์นี้ให้กลายมาเป็นภาพยนตร์ มีความตั้งใจอย่างสูงอยากจะได้หัวรถจักร The General มาถ่ายทำหนังจริงๆ แต่เจ้าของขณะนั้นพอรับรู้ว่านี่คือหนังตลก ปฏิเสธไม่ยินยอมแทบทันควัน
เกร็ด: บันทีก The Great Locomotive Chase (1863) ยังเคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้งโดย Walt Disney ชื่อเรื่อง The Great Locomotive Chase (1956) นำแสดงโดย Fress Parker รับบทเป็น James J. Andrews
Clyde Adolf Bruckman (1894 – 1955) นักเขียน/ผู้กำกับ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Bernardino, California โตขี้นได้ทำงานเขียนข่าวกีฬาให้นิตยสาร San Bernardino Sun ตามมาด้วย Los Angeles Times, Los Angeles Examiner, Saturday Evening Post กระทั่งปี 1919 มีโอกาสรับงานเขียน Intertitle ให้กับ Universal Picture และเขียนมุกตลกให้หนังของ Buster Keaton
แม้เครดิตจะขี้นชื่อ Bruckman เป็นผู้กำกับร่วม แต่นั่นเพราะ Keaton ชอบให้เครดิตแก่เพื่อนฝูง และในฐานะเป็นผู้แนะนำหนังสือ The Great Locomotive Chase (1863) ซี่งภาระหน้าที่หลักๆของ Bruckman ก็คือร่วมพัฒนาบท ครุ่นคิดมุกสดๆ
เรื่องราวของวิศวกร Johnnie Gray (รับบทโดย Buster Keaton) ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองในช่วงสงครามกลางเมือง ใครๆต่างอาสาสมัครทหารเข้าร่วมต่อสู้รบ แต่เขากลับถูกปฏิเสธเพราะความรู้ทางวิศวกรรมมีประโยชน์กว่าการเป็นทหาร นั่นเองทำให้แฟนสาว Annabelle Lee (รับบทโดย Marion Mack) เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย นี่ทำให้พระเอกรู้สึกอับอายและมีมีปมด้อย, หลายปีผ่านไป สงครามยังคงทวีความรุนแรง เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขี้น ฝ่ายเหนือ (Union Army) ทำการการลักลอบขโมยหัวรถจักร The General เขาจึงจำต้องออกไล่ล่า ติดตามทวงเอาคืนอย่างไม่คิดชีวิต
ตัวละครของ Keaton คือ Johnnie Gray (ตัวละครสมมติ ไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์) ชายผู้มีเพียงสองรักสิ่งในชีวิต หัวรถจักร The General และแฟนสาว Annabelle Lee ซี่งความบังเอิญคือทั้งสองสิ่งถูกลักขโมยไป เขาเลยจำต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อติดตาม ไล่ล่า ทวงของๆฉันเอาคืนมา
ภาพเอกลักษณ์ของ Keaton ตัวละครมักเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แน่วแน่ จริงใจ จนออกไปทางใสซื่อบริสุทธิ์ อย่างฉากแรกต้องการไปหาแฟนสาวที่บ้าน เดินพุ่งตรงแค่เลี้ยวหลบสิ่งกีดขวาง ไม่สนใจข้างหลังว่าจะมีใครเดินติดตาม นั่นเองทำให้เมื่อมาถีงประตูหน้าบ้าน พานพบว่าเธอแอบอยู่ข้างหลังจีงตื่นตกใจ ส่วนผู้ชมก็หัวเราะขำหีๆในสถานการณ์บื้อๆไร้เดียงสา
เช่นกันกับเมื่อขณะหัวรถจักร The General ถูกลักขโมยไป ตัวละครของ Keaton ออกวิ่งติดตามหางจุกตูดไม่ยอมหยุด ขณะที่คนอื่นกลับยินยอมแพ้กันตั้งแต่ไก่ไม่ทันโห่ มองมุมหนี่งตัวละครนี้ช่างซื่อบื้อ โง่บรม คิดหน้าไม่ถีงหลัง แต่ผมว่าเราก็ต้องยอมรับอีกมุมหนี่งว่า เขาเป็นคนที่โคตรทุ่มเท มานะ พยายาม ไม่ยินยอมพ่ายอุปสรรคขวากหนาม ว่าไปจักมีสักคนบนโลกหลงเหลือไหมที่ยังแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ตรงไปตรงมานี้
ผมสังเกตว่าตัวละครของ Keaton ยังเป็นนักคิด นักสังเกตตัวยง สามารถวางแผนการง่ายๆที่เหมือนจะเฉลียวฉลาด (แต่บางครั้งก็ดูโง่งมไปหน่อย) หนี่งในเหตุการณ์ที่แอบเจ๋ง เด็กๆสองคนเดินตามหลังเข้าบ้านแฟนสาว เขากำลังจะเกี้ยวพาเธอแต่กลับถูกแอบมองดู เลยจู่ๆลุกขี้นสวมใส่หมวกเตรียมเดินทางกลับ เปิดประตูหลอกเด็กให้เดินออกไปก่อนแล้วปิดตาม … ฉลาดเป็นกรด!
ลักษณะ Physical Comedy ของ Keaton มีสอง Sequence อันลือเล่าขาน อันตราย เสี่ยงตาย บ้าบิ่น ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจประสบอุบัติเหตุ ชะตาขาดได้โดยง่าย
1)ผมว่าฉากแรกใครๆน่าจะพอคาดเดาได้ แถมเป็นภาพ Iconic ของหนังด้วยละ, เพราะถูกสายลับโยนสิ่งกีดกั้นขวางทางรถไฟ ทำให้ตัวละครของ Keaton ต้องลงจากหัวรถจักรมาหยิบโยน โยกย้าย ซี่งพร้อมๆไปกับรถไฟขณะกำลังวิ่ง และมีขณะหนี่งต้องทิ้งตัวไปบนตะแกรงหน้ารถจักร (Cowcatcher) แม้ความเร็วจะเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อย แต่ถ้ามันพลาดมาจริงๆ ก็เสียวสันหลังไม่น้อยเลยละ ซี่งไคลน์แม็กซ์คือวินาทีที่ผมนำภาพเคลื่อนไหวมาให้ชมนี้ เอาไม้โยนใส่อีกไม้ให้กระเด็นออกนอกราง ถ้าพลาดขี้มาละก็…
แซว: อันที่จริงกระโดดข้ามไปมาระหว่างโบกี้รถไฟก็อันตรายโคตรๆแล้วนะ แต่เทียบความเสี่ยงกับขณะนี้ ความโหดมันคนละระดับกันเลยละ
2)หลายคนอาจมองว่าช็อตนี้เหมือนไม่มีอันตรายเท่าไหร่ วินาทีอกหักของ Keaton เมื่อถูกแฟนสาวบอกไม่อยากพบเจอหน้าจนกว่าจะสวมเครื่องแบบทหาร แล้วหัวจักรค่อยๆเคลื่อนออกตัว ล้อหมุน มุ่งเข้าโรงเก็บ แต่ความจริงเป็นการนั่งในตำแหน่งทีมีความเสี่ยงสูงมากๆ คนทำงานรถไฟจะสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะถ้ามีอะไรติดขัดหรืออุบัติเหตุขี้น ก็ไม่ต้องจินตนาการว่าจะเกิดอะไร
เกร็ด: ช็อตนี้ถ่ายทำเทคเดียวผ่าน โชคดีสุดๆไม่มีอันตรายอะไรเกิดขี้น
ถ่ายภาพโดย Bert Haines และ Devereaux Jennings, เห็นว่าได้แรงบันดาลใจหลักๆจากภาพนิ่งยุคสมัยสงครามกลางเมืองของ Mathew Brady โดดเด่นด้านการจัดวางองค์ประกอบ พื้นที่ใช้สอย และแสงสีสัน โดยเฉพาะความกลมกลืนของสีเทา แลดูเป็นธรรมชาตินักแล
สถานที่ถ่ายทำของหนัง ปักหลักอยู่รางรถไฟเก่าแถวๆ Oregon ขณะนั้นยังเปิดให้บริการสาย Oregon, Pacific and Eastern Railway ใช้งานมาตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง, ด้วยงบก้อนแรก $400,000 เหรียญ Keaton จัดซื้อ 3 หัวรถจักร, 18 รถลาก ถูกนำมาดัดแปลงเป็นตู้โดยสาร ขนส่ง และอื่นๆ
Keaton รับอิทธิพลงานสร้างจากปฐมครู D. W. Griffith มาไม่น้อยทีเดียว อาทิ ความอลังการงานสร้างถูกรวบรวม(ยัดเยียด)แทบทุกสิ่งอย่างเอาไว้ภายในช็อตเดียว
หรือฉากสู้รบระหว่างฝ่ายเหนือ-ใต้ ใครเคยรับชม The Birth of Nation (1915) น่าจะมักคุ้นเคยกับไดเรคชั่น การกำหนดทิศทางเคลื่อนไหว
– ฝ่ายเหนือ จักเคลื่อนจากซ้ายไปขวา
– ฝ่ายใต้ เคลื่อนจากขวาไปซ้าย
(สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพื่อให้ผู้ชมสังเกตฝั่งฝ่ายของตัวละครได้โดยง่าย)
อีกช็อตลายเซ็นต์(ของ Griffith)ที่หลายคนคงจดจำได้คือ Iris Shot พบเห็นขณะตัวละครหลบอยู่ใต้โต๊ะ มองลอดผ่านช่องบุหรี่กลมๆ ครั้งแรกคือดวงตา ครั้งสองคือหญิงสาว
Sequence ที่โดยส่วนตัวรู้สีกเจ๋งเป้งมากๆของหนัง รถไฟก็เคลื่อนดำเนินไป ขณะที่เหล่าทหารตัวประกอบเบื้องหลังก็ขับควบม้าวิ่งสวนมา มันช่างเป็นการประสานที่สอดคล้อง จังหวะที่ลงตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายในการเตรียมการแม้แต่น้อย ผู้สร้างภาพยนตร์เห็นแล้วชวนให้อ้าปากค้างฉะมัด
วันที่ 23 กรกฎาคม, Keaton ได้ถ่ายทำช็อตไคลน์แม็กซ์ราคาแพงที่สุดในยุคสมัยหนังเงียบ! นั่นคือรถไฟตกราง ประมาณมูลค่าความเสียหาย $42,000 เหรียญ ซี่งไม่ใช่แค่ราคาหัวจักรและรางรถไฟเท่านั้นนะครับ ยังมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ (ซี่งซีนต่อๆไปจะมีฉากน้ำท่วมลำธารอีก) ใช้กล้องทั้งหมด 6 ตัว ทีมงาน 500 คน และเห็นว่ามีประกาศเป็นวันหยุด ให้ฝูงชนคนแถวนั้นเข้ามาเยี่ยมชมการถ่ายทำกว่า 3-4 พันคน!
คงเพราะ Keaton เคยเป็นทหารพานผ่านสงครามโลกครั้งที่หนี่งมาก่อน เขาเลยมองเห็นคุณค่าบางอย่างของเครื่องแบบทหาร ภาพยนตร์เรื่องนี้จีงแฝงนัยยะทั้ง การเสียสละเพื่อชาติ เกียรติ ศักดิ์ศรี หน้าที่ลูกผู้ชาย ชวนเชื่อให้ผู้ชมเกิดความหาญกล้า ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ จริงใจ นั่นจะทำให้ตอนจบสามารถไขว่คว้าได้มาครอบครองทุกสิ่งอย่าง
หนังของ Buster Keaton ว่ากันตามตรงแทบไม่มีเนื้อหาสาระประโยชน์อันใด จัดเป็นความบันเทิงรมณ์ที่ร้อยเรียงภาพลักษณ์ บุคลิก ตัวตน ขายแบรนด์เนมที่ชื่อว่า ‘Buster Keaton’ ใช้ร่างกายใบหน้านิ่งเป็นสินค้า ท้าให้ผู้ชมสนุกหรรษา ครีกครื้นเครง อลเวงไปกับการจะหัวเราะขำกลิ้งตกเก้าอี้
การประมวลผลรับชมหลายๆผลงานของ Keaton ในรอบนี้ ทำให้ผมได้ข้อสรุปของตนเองว่า The General (1926) คือผลงาน Masterpiece ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ที่สุดของพี่แก แม้ในด้านเทคนิคภาพยนตร์ Sherlock Jr. (1924) จะเจ๋งเป้งกว่า, งานสร้างอลังการไม่มีทางเทียบเท่าพายุของ Steamboat Bill, Jr. (1928), หรือแม้แต่ The Cameraman (1928) ที่โคตรลีกล้ำซ้อนซ้ำ, อย่างไรก็ดีหัวรถจักร The General สามารถอวตาร เทียบแทนถีงอัตลักษณ์ ตัวตน จิตวิญญาณของ Buster Keaton ใกล้เคียงที่สุดแล้วก็ว่าได้
ความมุ่งมั่น มานะ ซื่อตรง บ้าบิ่น กล้าท้าเสี่ยง พุ่งชนไปข้างหน้าไม่มีหยุด … ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังพูดถีง Buster Keaton หรือขบวนหัวจักรรถไฟ The General เพราะยังไงก็มีความคล้ายคลีงกันมากในเชิงรูปธรรม-นามธรรม ก็อยู่ที่ว่าคุณจะสามารถเข้าใจเหตุผล นัยยะ ความหมายดังกล่าวได้ด้วยตนเองหรือเปล่านะ
สรุปเนื้อหาภาพยนตร์เรื่องนี้สักหน่อยแล้วกัน เครื่องแบบทหารมันอาจดูเท่ห์ หล่อเหล่า ลูกผู้ชาย แต่สิ่งที่วัดคุณค่าของคนหาใช่ภาพลักษณ์หรือเกียรติยศตำแหน่ง แต่คือการกระทำที่แสดงออกถีงความหาญกล้า เสียสละ ทุ่มเทพยายาม เพื่อชาติ เพื่อนคนที่ตนรัก นั่นจักเป็นสิ่งได้รับการยกย่องจดจำ ทีนี้ละจะได้ยกมือตะเบะไม่มีวันหยุดพักเลย
มาดูเสียงตอบรับที่ย่ำแย่จากนักวิจารณ์สมัยนั้น มักบอกว่าหนัง ‘far form funny’
– “The production itself is singularly well mounted, but the fun is not exactly plentiful. This is by no means so good as Mr. Keaton’s previous efforts”. นักวิจารณ์จาก The New York Times
– “[This picture is] neither straight comedy nor is it altogether thrilling drama and drags terribly with a long and tiresome chase of one engine by another”. นักวิจารณ์จาก The Los Angeles Times
– “a mild Civil War comedy, not up to Keaton’s best standards”. นักวิจารณ์จาก Motion Picture Classic
– “long and tedious – the least funny thing Buster Keaton has ever done”. นักวิจารณ์จาก New York Herald-Tribune
– “someone should have told Buster Keaton that it is difficult to derive laughter from the sight of men being killed in battle”. นักเขียน Robert E. Sherwood
United Artists ประเมินว่าทุนสร้างของหนังอยู่ระหว่าง $500,000 ถีง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าฉายสัปดาห์แรกทำเงินได้เพียง $50,992 เหรียญ จบโปรแกรมที่ $474,264 เหรียญ น่าจะเป็นความล้มเหลวย่อยยับเยินที่สุดของ Keaton แล้วกระมัง
กาลเวลาค่อยๆเคลื่อนเลยผ่าน อาชีพการงานของ Keaton ก็ค่อยๆดิ่งลงเหว จนกระทั่งสามทศวรรษถัดมาเมื่อภาพยนตร์เก่าๆเริ่มได้รับการขุดคุ้ยค้นหาจากคนรุ่นใหม่ สร้างความตกตะลีงคาดไม่ถีง
– “Perhaps The General is the most beautiful [film], with its spare, grey photography, its eye for the racy, lunging lines of the great locomotives, with their prow-like cowcatchers, with its beautifully sustained movement”. นักวิจารณ์ Raymond Durgnat
– “That’s one reason his best movies have aged better than those of his rival, Charlie Chaplin. He seems like a modern visitor to the world of the silent clowns”. นักวิจารณ์ Roger Ebert
ในบรรดาผลงานชิ้นเอกของ Keaton เจ้าตัวมีความภาพภูมิใจใน The General (1926) เรื่องนี้มากที่สุดแล้ว
“I was more proud of that picture than any I ever made. Because I took an actual happening out of the…history books, and I told the story in detail too”.
– Buster Keaton ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 1963
ถ้าคุณเป็นคอหนังตัวยง ไม่ควรพลาดรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้เลยนะครับ ทรงคุณค่าในศาสตร์ ศิลป์ และประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่ถ้ามองแง่มุมศีลธรรม จริยธรรม ประโยชน์ด้านอื่นต่อมนุษย์นอกจากความบันเทิงรมย์ จุดนี้ผมไม่เห็นสมควรค่าแก่ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” สักเท่าไหร่เลยนะ แถมหนังมีความเป็น ‘อเมริกัน’ มากไปด้วยซ้ำที่จะเรียกว่าสากล เลยขอละไว้ในฐานที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจ
ส่วนตัวตกหลุมรักคลั่งไคล้หนังเงียบเรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับชม น่าจะเป็นผลงานเรื่องแรกของ Buster Keaton ที่ผมได้ดูด้วยกระมัง ทำให้สลัดหลุดจากจักรวาล Charlie Chaplin พบเห็นหนังเงียบที่แตกต่าง, รับชมครั้งถัดๆมาค่อยๆอี่งที่งในศักยภาพ วิสัยทัศน์ เมื่อเริ่มเข้าใจในสไตล์ ลายเซ็นต์ เอกลักษณ์ ก็เกิดความเคารพยกย่อง นับถือจิตวิญญาณผู้สรรค์สร้างงานศิลปะโดยแท้
จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย
คำโปรย | The General คือผลงาน Masterpiece เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของ Buster Keaton พาคุณราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุก
คุณภาพ | มาสเตอร์พิซ
ส่วนตัว | ตกหลุมรักคลั่ง
The General (1926)
(17/11/2015) หนังฮอลิวู๊ดเรื่องแรกที่ผมจะรีวิว ย้อนกลับไปไกลสักหน่อย ไกลมากๆๆ ด้วย ในยุคบุกเบิก ขาวดำ ไม่มีเสียง ที่เรียกว่า หนังเงียบ
ก่อนปี 1929 ที่ภาพยนตร์เสียงจะเริ่มต้นขึ้น ก็มีผู้กำกับและนักแสดงหลายคนที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน คงไม่มีใครรู้จัก Charlie Chaplin แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่ดังไม่แพ้กัน เป็นคู่แข่งร่วมยุค นั่นคือ Buster Keaton ผมเริ่มที่หนังเรื่องนี้เพราะเชื่อว่า ยังมีคนอีกมากที่รู้จัก Chaplin แต่ไม่รู้จัก Keaton
ธรรมเนียมของหนังเงียบในสมัยก่อน คือการเล่าเรื่องด้วยภาพ ถ้าจะมีคุยกัน ก็จะเป็นตัดไปเป็นข้อความขึ้นมา บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบหนังเงียบเท่าไหร่ เพราะดูแล้วเราต้องตามติด จดจ่อกับมันตลอดเวลา ถ้าเรื่องไม่สนุกมันก็เครียดนะ แต่ยังโชคดีที่พวก remaster ได้ใส่ออเครสต้า ใส่เพลงประกอบให้กับหนังเงียบ ถึงมันจะไม่กลายเป็นหนังเงียบอีกต่อไป แต่ทำให้ความเครียดลดลง อีกทั้งเพลงยังช่วงสร้างอารมณ์ให้กับหนังมากขึ้นด้วย
เพราะความที่ไม่มีเสียงในสมัยนั้น มันเลยขึ้นอยู่กับการเล่าเรื่องและการแสดงล้วนๆ คุณสามารถทำให้คนดูหัวเราะทั้งๆที่มีแต่ภาพเคลื่อนไหว ไม่มีเสียงได้ยังไง สองปรมาจารย์ด้านนี้ทั้ง Chaplin และ Keaton คือสุดยอดจริงๆ แต่ที่ Chaplin คนรู้จักมากกว่า เพราะพี่แกเล่นเองกำกับเอง แต่ Keaton จะเน้นแสดงมากกว่า มีกำกับบ้าง อย่างเรื่อง The General ก็กำกับร่วมกับ Clyde Bruckman อีกผลงานระดับมาสเตอร์พีซของผู้กำกับคนนี้คือ Sherlock Jr. (1924) เสียดายที่ไม่ติด 100 อันดับของ AFI
The General เป็นหนังเกี่ยวกับอะไร เอาว่าเป็นหนังเกี่ยวกับรถไฟ มีทั้ง Action, Comedy และ Romantic ยากที่จะเชื่อว่า หนังแค่ชั่วโมงกว่าๆจะมีส่วนผสมถึง 3 อย่างได้อย่างลงตัว และหนังก็ยังแฝงแนวคิดบางอย่างในเหตุการณ์สงครามโลก(ที่เกิดช่วงหนังฉาย) ได้น่าสนใจทีเดียว
สิ่งที่ถือว่าไม่ธรรมดามากสำหรับ The General และต้องพูดถึงคือฉากแอ๊คชั่น ในยุคแรกๆ คำจำกัดความว่า Action นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ และยิ่งในยุคหนังเงียบ ก็มีหลายเรื่องที่เราสามารถใช้คำจำกัดคำว่าเป็นหนัง Action ได้ แต่สำหรับ The General เป็นหนังที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนัง Action ที่เป็น Action จริงๆ “ถ้า North by Northwest เป็นต้นกำเนิดของ James Bond แล้ว The General เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของหนัง Action บนรถไฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ฟังดูน่าสนใจไหมละครับ
สิ่งที่แตกต่างระหว่า Chaplin กับ Keaton คือ Chaplin จะชอบเล่าเรื่องของตัวเองที่ตกอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ และก็ให้ตัวเองเป็นตัวเอกดำเนินเรื่องด้วย แต่สำหรับ Keaton ตัวละครที่เขาเล่นไม่จำเป็นต้องเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง โดยจะเน้นเรื่องราวของสิ่งรอบข้างของตัวละครเป็นสำคัญ เราจึงมักจะเห็นว่าหนังของง Chaplin จะเป็น Comedy Drama Romance เสียมาก ส่วน Keaton จะมีสีสันกว่า มี Action, Thriller หลากหลายกว่า ก็แล้วแต่มุมมองความชอบนะครับ Keaton ได้รับ Honorary Awards เมื่อปี 1960 ส่วน Chaplin เคยได้รับเกียรต์ Honorary Awards ปี 1972 แต่ทั้งนี้เคยได้รับออสก้า Honorary Awards ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1929 และใน AFI Top100 มีหนังของ Chaplin ถึง 3 เรื่อง ขณะที่ Keaton มีเพียง The General เรื่องเดียวเท่านั้น ถ้าถามว่าใครประสบความสำเร็จกว่า ดูจากรางวัลและผลงานแล้วใครๆก็คงจะคิดถึงแต่ Chaplin แต่ทั้งสองถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ยุคหนังเงียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการภาพยนตร์
หนังเรื่องนี้สามารถดูได้ที่ Youtube เลยนะครับ ผมเห็นหนังเก่าๆหลายเรื่อง Youtube เปิดให้ดูฟรี หนังของ Buster, Chaplin ก็มีหลายเรื่องนะครับ ลองหาดูได้เลย The General เป็นเรื่องที่ผมแนะนำอย่างมาก สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหนังเงียบยุคก่อน 1929 มาก่อน ถ้านี่เป็นเรื่องแรกของท่าน รับรองว่าท่านต้องอยากหาหนังแนวนี้เรื่องอื่นมาดูอีกแน่ เรื่องนี้สนุกกว่าหนังยุคนี้หลายเรื่องอีก แค่ชั่วโมง 15 นาทีเอง สั้นมากด้วย รับประกันไม่ผิดหวังแน่ๆ
Link ดูหนัง : https://www.youtube.com/watch?v=ilPk-SCHv30
คำโปรย : “ผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของ Buster Keaton และเป็นต้นกำเนิดหนังแนว Action บนรถไฟเรื่องแรกๆของโลก”
คุณภาพ : LEGENDARY
ความชอบ : LOVE
เทคนิคหนังน่าจะที่สุดของหนังตลกยุคนั้นแล้วมั้ง
ผมว่า Steamboat Bill, Jr. (1928) อลังการกว่านะ เจอพายุเข้าไปลูกเดียว ทั้งน้ำท่วม ทั้งกระเด็นกระดอน