Thelma & Louise

Thelma & Louise (1991) hollywood : Ridley Scott ♥♥♥♡

การออกเดินทางท่องเที่ยวพักร้อนของสองสาว Susan Sarandon และ Geena Davis เริ่มต้นด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน ก่อนค่อยๆถลำลึกสู่อาชญากรรม แต่ในมุมมองพวกเธอ การกระทำเหล่านั้นคือ ‘อิสรภาพ’ มีมั่งไหมผู้ชายดีๆสักคน

Thelma & Louise แม้จะคือภาพยนตร์สูตรสำเร็จของแนว Road Movie แต่การใช้ตัวละครหลักดำเนินเรื่องคือหญิงสาวสองคน นั่นเป็นสิ่งไม่เคยบังเกิดขึ้นมาก่อนในวงการ และยังได้รับการยกย่องคือเสาหลัก ‘Milestone’ ต้นสำคัญของการเรียกเรียกร้องสิทธิสตรี (Feminist)

ลึกๆบอกเลยว่าผมไม่ค่อยชื่นชอบภาพยนตร์ Feminist ลักษณะนี้สักเท่าไหร่ (แนว Macho ก็เหมือนกันนะ) เหตุผลเพราะผู้กำกับเพศชาย มักนำเสนอมุมมอง ‘หญิงแกร่ง’ โดยใส่ความเกรี้ยวกราดสุดโต่ง ก้าวร้าวรุนแรง ขาดซึ่งความละมุนไม สง่างาม (Grace) ที่พบเห็นจากผลงานผู้กำกับเพศหญิงมากกว่า

แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า ทศวรรษ 80s – 90s บุรุษเพศยังคงเป็นใหญ่ในวงการภาพยนตร์ ซึ่งการจะให้หญิงสาวสองคนแบกหนังรับบทนำ ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา นี่ถ้าไม่เพราะ Ridley Scott เคยสร้างสรรค์ผลงานประสบความสำเร็จล้นหลามอย่าง Alien (1979), Black Rain (1989) ต้องการผลักดันโปรเจคให้เป็นรูปร่าง Thelma & Louise อาจมิได้บังเกิดขึ้นในทศวรรษก็เป็นได้

ซึ่งถ้าใครสังเกตสักหน่อย 10 นาทีสุดท้ายที่เต็มไปด้วยฉากไล่ล่า Action นั่นคือสิ่งการันตีความ ‘ขายได้’ ว่าหนังมีความตื่นเต้น น่าสนใจมากกว่าแค่ผู้หญิงสองคนออกทัวร์สหรัฐอเมริกา!


จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ มาจาก Carolyn Ann ‘Callie’ Khouri (เกิดปี 1957) นักเขียน/ผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์หญิง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Antonio, Texas แล้วไปเติบโตยัง Kentucky เข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรม Purdue University แต่ไม่นานหันเหความสนใจการแสดง มุ่งสู่ Lee Strasberg Theatre and Film Institute, Los Angeles ได้อาจารย์ Peggy Feury กระนั้นค้นพบว่าไม่ชอบให้ใครๆจับจ้องมองตนเอง เลยผันสู่เบื้องหลัง กลายเป็นโปรดิวเซอร์/ผู้ช่วยกำกับโฆษณา Music Video กระทั่งว่าเกิดแรงบันดาลใจเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรก Thelma & Louise

“Out of nowhere I thought, Two women go on a crime spree. That one sentence! I felt the character arcs—I saw the whole movie”.

–  Callie Khouri

เพราะ Khouri ไม่เคยเขียนบทอะไรมาก่อน จึงใช้เวลากว่าหกเดือนถึงกว่าจะพัฒนาบทร่างแรกเสร็จ โดยแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ส่วนตัว เธอเองค่อนข้างใสๆบริสุทธิ์เหมือน Thelma มีเพื่อนสนิท Pam Tillis นักร้อง/นักแต่งเพลงแนว Country เป็นแบบของ Louise ครั้งหนึ่งออกจากผับถูกชายแปลกหน้าลวนลามเข้าข้างหลัง

“If I’d had a gun, I’d have killed them”.

ในตอนแรก Khouri อยากกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตนเอง ตั้งงบประมาณไว้ $5 ล้านเหรียญ วาดฝัน Holly Hunter ประกบ Frances McDormand แต่นำไปเสนอสตูดิโอไหนต่างบอกปัดปฏิเสธ ความเห็นหนึ่งคือ ตัวละครก้าวร้าวเกินไป หาความน่าสงสารเห็นใจไม่ได้สักนิด

เพื่อนของเพื่อนของ Khouri ชื่อ Mimi Polk Gitlin ได้มีโอกาสอ่านบทหนังเรื่องนี้แล้วชื่นชอบมาก ด้วยความรู้จักสนิทสนมกับ Ridley Scott เลยนำโปรเจคไปพูดคุยนำเสนอ

“I saw what was unique about it immediately. Women tended to get parts as somebody’s girlfriend; this was about no one else but them. It had substance, it had a voice, and it had a great outcome, which you could never change. Their decision was courageous, to carry on the journey and not give in”.

– Ridley Scott

Sir Ridley Scott (เกิดปี 1937) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ South Shields, County Durham, พ่อเป็นทหารบกเดินทางไปรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาศัยอยู่กับแม่และพี่น้องสามคน ต้องคอยย้ายหนีหลบระเบิดไปตามเมืองต่างๆ จนหลังสงครามค่อยสามารถหวนกลับไปปักหลักยังถิ่นฐานบ้านหลังเก่า ตั้งแต่เด็กชื่นชอบอ่านนวนิยายไซไฟ โดยเฉพาะ H. G. Welles หลงใหลในการวาดภาพ โตขึ้นเข้าเรียน Royal College of Art จบออกมาเป็นนักออกแบบฉากให้ซีรีย์ฉายโทรทัศน์, จนได้รับโอกาสกำกับบางตอน, ร่วมกับน้องชาย Tony Scott ตั้งบริษัท Ridley Scott Associates (RSA) รับงานโฆษณาจนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดัง กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Duellists (1977) เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes คว้ารางวัล Best Debut Film, ตามด้วย Alien (1979), Blade Runner (1982), Black Rain (1989) ฯ

ในตอนแรก Scott ต้องการแค่เป็นโปรดิวเซอร์ สรรหาทุน ออกติดตามหาผู้กำกับน่าสนใจถึง 4 คน แต่ทั้งหมดบอกปัดปฏิเสธ เลยไปขอความช่วยเหลือจากโปรดิวเซอร์ขาประจำ Alan Ladd Jr. (เป็นคนหาทุนสร้างให้ Alien, Blade Runner) ซึ่งค้นพบว่า ลึกๆแล้ว Scott อยากกำกับโปรเจคนี้ แต่ความที่เป็นหนังของผู้หญิงเลยยังขาดความมั่นใจในตนเอง

“Ridley gave the script to me—he’d never done a women’s picture—and I loved it. We all loved it. We thought it was perfect. We kept coming up with directors, and Ridley kept saying, ‘No, I don’t think he’s right.’ I said, ‘Ridley, obviously you want to direct this movie.’”

– Alan Ladd Jr.

แม้จะถูกซี้เซ้า แต่ Scott ก็ยังไม่ตอบตกลงกำกับ ซึ่งระหว่างกระบวนการสรรหานักแสดง อาทิ Jodie Foster, Meryl Streep, Goldie Hawn กระทั่งว่า Michelle Pfeiffer แม้ติดโปรเจคอื่นแต่ก็บอกเขาว่า

“Come to your senses and direct it yourself.”

– Michelle Pfeiffer

นั่นทำให้ Scott ยินยอมตกลงปลงใจ กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตนเองเสียที

“I’d never had trouble letting women tell me what to do. All the years I’d run my company, I’d found that women were the best men for the job. Scott Free L.A. was run by a woman; Scott Free London was run by a woman. I could sit around and analyze the foolishness of men, since men are fundamentally the children in any relationship”.

– Ridley Scott

เรื่องราวของ Thelma Dickinson (รับบทโดย Geena Davis) และ Louise Sawyer (รับบทโดย Susan Sarandon) สองสาววางแผนขับรถท่องเที่ยววันหยุด พักอาศัยบ้านเพื่อน ตกปลาริมทะเลสาปยัง Arkansas แต่ค่ำคืนแรกตัดสินใจแวะเที่ยวยังบาร์แห่งหนึ่ง ถูกชายแปลกหน้าแสดงความสนอกสนใจ หว่านสายตา ลวงหลอกล่อ ลากพา Thelma ตั้งใจจะข่มขืนเธอ Louise พบเห็นเข้าชักปืนขึ้นมาจ่อยิงเสียชีวิต! ด้วยความหวาดกลัวจะถูกตำรวจจับกุม เลยตัดสินใจหลบหนีโดยมีเป้าหมายคือประเทศ Mexico ระหว่างทางพบเจอคนต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนมาร้าย และสามี/แฟนหนุ่มของสองสาว ต่างพยายามติดต่อ โน้มน้าว กล่อมเกลาให้พวกเธอกลับบ้าน … แต่เรื่องอะไรฉันต้องทำตาม


นำแสดงโดย Susan Abigail Sarandon (เกิดปี 1946) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Queens, New York City ลูกคนโตจากพี่น้อง 9 คน พ่อเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ จบการศึกษาด้านการแสดงจาก The Catholic University of America สู่วงการภาพยนตร์เรื่อง Joe (1970), เริ่มมีชื่อเสียงจาก The Rocky Horror Picture Show (1975), Atlantic City (1981), Bull Durham (1988), Thelma & Louise (1991), Dead Man Walking (1995)**คว้า Oscar: Best Actress

รับบท Louise Elizabeth Sawyer สาวเสิร์ฟที่เคยผ่านเหตุการณ์ถูกข่มขืนจากหนุ่ม Texas แปรสภาพเป็นคนก้าวร้าว ปากจัด กร้านโลก แม้จะมีแฟนหนุ่มนักดนตรี Jimmy Lennox (รับบทโดย Michael Madsen) แต่เขากลับไม่เคยคิดปักหลักขอแต่งงานเสียที, เพื่อนสนิทของเธอคือ Thelma ผู้มีสถานะดั่งนกในกรง เลยต้องการชักชวนมาท่องเที่ยว เปิดมุมมอง เรียนรู้จักโลกกว้าง ได้รับอิสรภาพ ไม่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวจากสามี ผู้ไม่ใคร่สนใจอะไรใครนอกจากตัวตนเอง

Sarandon ถือเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับหนัง ภาพลักษณ์/Charisma เหมือนคนผ่านอะไรๆมามาก เรียนรู้จักด้านมืดของโลก ทำให้ยังมีสติ พร้อมจัดแจง วางแผน ค้นพบเป้าหมาย แก้ปัญหาเอาตัวรอดอย่างรวดเร็วไว แต่ถึงกระนั้นตัวละครนี้ก็มีจุดอ่อน ไม่สามารถแบกรับความผิดหวังซับซ้อน ก็น่าสงสัยว่าทำไมแสดงอาการหมดเรี่ยวแรงจากแค่เงินหาย มันช่างขัดแย้งกันเองอยู่เล็กๆ (คงประมาณจะนำเสนอให้ Thelma มีวิวัฒนาการขึ้นมาเทียบเท่าเพื่อนสาวคนนี้กระมัง)

Virginia Elizabeth ‘Geena’ Davis (เกิดปี 1956) นักแสดง/โมเดลลิ่ง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Wareham, Massachusetts ตอนเด็กมีความสนใจด้านดนตรี ร่ำเรียนเปียโน ฟลุต ออร์แกน แต่พอโตขึ้นเปลี่ยนมาสายการแสดง Boston University ซึ่งระหว่างนั้นได้งานเป็นนางแบบ สมทบภาพยนตร์เรื่องแรก Tootsie (1982), ผลงานเด่นๆ The Fly (1986), Beetlejuice (1988), The Accidental Tourist (1988)**คว้า Oscar: Best Supporting Actress, Thelma & Louise (1991), A League of Their Own (1992), Stuart Little (1999) ฯ

รับบท Thelma Yvonne Dickinson แม่บ้านสาว นิสัยร่าเริงสดใส ซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่งงานกับ Darryl Dickinson (รับบทโดย Christopher McDonald) แต่กลับไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหน ถูกบีบบังคับ กดหัว ต้องทำตามคำสั่ง แถม Sex ห่วย ด้วยเหตุนี้เมื่อเพื่อนรัก Louise ชักชวนไปท่องเที่ยว ตัดสินใจออกเดินทางไม่บอกสามี ปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที แม้เกือบโดนข่มขืนแต่ไม่เห็นเข็ดหลาก ปล่อยตัวปล่อยใจกับ J.D. (รับบทโดย Brad Pitt) เติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน และเรียนรู้กลายเป็นอาชญากรรมเต็มตัว (แบบไร้เดียงสามากๆ)

Davis เป็นนักแสดงที่มีใบหน้ากลมๆใสๆ ดวงตาบ้องแบ้ว ช่างดูน่ารัก บริสุทธิ์ เวลาทำตัวบ้าๆบอๆ ก่ออาชญากรรม หรือเสียสติแตก สัมผัสไม่ได้ถึงความชั่วร้ายเคลือบแอบแฝงแม้แต่น้อย, เคมีกับ Sarandon ช่างแตกต่างตรงกันข้าม แต่เติมเต็มกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ (ถ้าหนังสร้างยุคสมัยนี้ มิตรภาพหวานฉ่ำของทั่งคู่คงสามารถสานต่อเป็นโรแมนติก เลสเบี้ยน ได้อย่างสบายๆ)

สำหรับนักแสดงสมทบ ขอกล่าวถึงโดยย่อแล้วกัน
– Harvey Keitel รับบท Detective Hal Slocumb นักสืบ/ตำรวจ/ผู้ชายเพียงคนเดียวในหนังที่พยายามครุ่นคิด ทำความเข้าใจ ต้องการช่วยเหลือสองสาว ไม่ให้ก้าวข้ามผ่านขอบเขตจำกัดทางสังคม … แต่โดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการพยายามควบคุม ครอบงำ เหนี่ยวรั้งอิสรภาพของอิสตรีเพศ!
– Michael Madsen รับบท Jimmy Lennox นักดนตรีที่เหมือนจะนิสัยดี ให้ความช่วยเหลือเงินทอง เชื่อมั่นต่อแฟนสาว Louise แต่กลับไม่ต้องการผูกมัด แต่งงาน ขอเพียง Sex พึงพอใจส่วนตนก็เพียงพอแล้ว นั่นทำให้เมื่อเริ่มตระหนักครุ่นคิดได้ ทุกอย่างก็สายเกินแก้
– Christopher McDonald รับบท Darryl Dickinson สามีของ Thelma อาชีพเซลล์แมน เป็นคนพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อครอบงำ ควบคุมภรรยา ให้ต้องอยู่ภายใต้บัญชาการของตนเองอย่างเคร่งครัด
– Brad Pitt รับบทจอมขโมยซีน J.D. หล่อรากดิน กล้ามเป็นมัดๆ หน้าใสๆ พูดสำเนียง Texas (อย่างเหน่อ!) มากด้วยลีลา เลิฟซีนเร้าใจ สาวไหนพบเห็นพลันต้องตกหลุมรักหลงใหล ก็นึกว่าจะมีดี แต่แท้จริงสนแค่แอ้มแล้วก็จากไป

เกร็ด: George Clooney เคยมาทดสอบหน้ากล้องตัวละคร J.D. อยู่ถึงห้าครั้ง แต่พ่ายให้กับ Brad Pitt ซึ่งกลายเป็นบทบาทสร้างชื่อโด่งดังให้เจ้าตัวเลยละ!


ถ่ายภาพโดย Adrian Biddle (1952 – 2005) สัญชาติอังกฤษ จากเคยทำงานเป็น Clapper Loader ในหนังเรื่อง The Duelists (1977) ก้าวขึ้นมาเป็น Focus Puller เรื่อง Alien (1979) จนได้รับโอกาสตากล้องถ่ายทำ Aliens (1986), The Princess Bride (1987), Thelma & Louise (1991), 101 Dalmatioans (1996), The Mummy (1999) ฯ

ถึงเรื่องราวจะมีพื้นหลังการเดินทางจาก Arkansas ถึง Grand Canyon แต่สถานที่ถ่ายทำทั้งหมด อยู่ในรัฐ California และ Utha อาทิ Shafer Overlook, Monument Valley, La Sal Mountains, La Sal Junction, Cisco, Old Valley City Reservoir, Thompson Springs, Arches National Park, Crescent Junction in Utah ฯ ขณะที่ Grand Canyon ถ่ายทำยัง Dead Horse Point State Park, Utah

แซว: ไม่ใช่ว่า Scott ไม่ออกตามหาสถานที่ถ่ายทำยัง Arkansas ถึง Grand Canyon นะครับ แต่ระหว่างทางครุ่นคิดได้พูดขึ้นว่า

“What the fuck are we doing here? It all looks the same to me. We can do this in the Valley, and I can go home every night. I can find the Grand Canyon in Utah”.

– Ridley Scott

หนังเลื่องลือชามากกับการถ่ายทำ Long Take ค่าเฉลี่ย Average Shot Length ประมาณ 6.3 วินาที ขณะที่ Median Shot Length ประมาณ 6.1 วินาที เทียบกับหนัง Action ยุคสมัยปัจจุบันถือว่านานมากๆ แต่ยังคงความตื่นเต้น รุกเร้าใจ (มันส์กว่าหนังสมัยนี้บางเรื่องเสียอีกนะ!)

Opening Credit เริ่มต้นด้วยภาพช็อตนี้ ผมไม่แน่ใจว่าที่ไหนแต่โคตรคุ้นเลย คาดคิดว่าคงพบเห็นในหนัง Western หลายๆเรื่อง ให้สัมผัสเหมือน The Wizard of Oz (1939) หนทางสู่ Emerald City ปลายทางของสองสาว ที่จักได้รับอิสรภาพชั่วนิรันดร์

รถสี Teal ที่ใช้ในหนังรุ่น 1966 Thunderbird มีทั้งหมด 5 คัน ประกอบด้วย คันหลัก ‘Star Car’, คันหนึ่งติดกล้อง, คันหนึ่งสำรอง, อีกสองสำหรับโลดโผน ‘Stunt Cars’

ขณะที่ฉากไคลน์แม็กซ์ ใช้รถตำรวจ 24 คัน (พังไปหลายคันทีเดียว) และเฮลิคอปเตอร์อีก 3 ลำ

Brad Pitt ตอนยังหนุ่มแน่นหล่อจริง! ว่ากันว่า Sex Scene กับ Geena Davis ผู้กำกับเตรียมนักแสดงแทนไว้ให้เข้าฉาก แต่พอรับรู้ความตั้งใจ เธอไม่ยินยอม ขอเข้าฉากนี้ด้วยตนเอง ผลลัพท์ออกมาโรแมนติกซาบซ่าน แฝงนัยยะถึงการเปิดมุมมอง/โลกทัศน์ทางเพศของหญิงสาว ให้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ โบยบินอิสระเสรีดั่งนกในกรง

รถบรรทุกน้ำมัน มีลักษณะใหญ่ยาวดูเหมือนลึงค์/อวัยวะเพศชาย ซึ่งการที่มันถูกสองสาวยิงระเบิดกระจุยกระจาย นั่นคือสัญลักษณ์ของการทำลายล้าง อิสรภาพ ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุรุษเสมอไป!

ความตั้งใจของ Scott ต้องการถ่ายช็อตนี้เป็น Long Take เพื่อว่าขณะรถบรรทุกระเบิด จะพบเห็นปฏิกิริยาอันตื่นตกใจของสองสาว แต่ปรากฎว่าพวกเธอกลับอ้ำอึ้ง คาดไม่ถึง นั่งช็อค ไม่แสดงอะไรออกมา เสียกระบวนท่าความตั้งใจของผู้กำกับโดยสิ้นเชิง และเนื่องจากไม่มีรถคันใหม่ให้ระเบิด เป็นเหตุต้องถ่ายทำเพิ่ม Re-Action Shot จับภาพเฉพาะใบหน้าพวกเธออีกที

ฉากเล็กๆที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้ แต่ถ้าใครล่วงรู้ประวัติของ Deep South ความขัดแย้งที่มีมานมนานของคนขาว-ชาวผิวสี จะตระหนักรับรู้ได้เลยว่า การกระทำของพี่มืดนักปั่นจักรยานคนนี้ เมื่อรับรู้พบเห็นนายตำรวจ(ผิวขาวแน่) ถูกจับยัดใส่กระโปรงหลังรถ เทียบภาษาอังกฤษตรงๆก็ ‘Kiss My Ass’ เรื่องอะไรจะยอมให้ความช่วยเหลือกันละ!

Jason Beghe นักแสดงที่รับบทนายตำรวจ ทีแรกก็มีลักษณะ Stereotype จำพวก ‘Bad Cop’ ทั่วไป แต่เจ้าตัวอยากจะได้รับการจดจำเลยสร้างสรรค์โอกาสให้ตนเอง Improvise วินาทีร่ำร้องไห้ พูดพร่ำว่าตนเองมีลูกเมีย แสดงความปอดแหกออกมา … ต้องชมเลยว่า โคตรตราตรึง! เห็นแมนๆแบบนี้ก็แค่เปลือกนอก ภายในพอถูกย้อนแย้งโดนเข้ากับตัวบ้าง ก็หมาเลย!

เกร็ด: บทเพลงที่ดังขึ้นในวิทยุของนักปั่นผิวสีคนนี้คือ I Can See Clearly Now (1970) แต่ง/ขับร้องโดย Johnny Nash

ฉากตอนจบ การขับรถพุ่งทะยายเหินหาวสู่ Grand Canyon ให้มองในเชิงสัญลักษณ์จะมีความทรงพลังมากๆ สื่อความถึงการไม่ยินยอมให้บุรุษฉุดเหนี่ยวรั้ง พันธนาการ หรือกักขังตนเองไว้ในกรง อิสรภาพสำหรับพวกเธอคือสิ่งสำคัญที่สุด แม้นั่นอาจต้องแลกมากับความตาย ก็ไม่ขอยินยอมย้อนกลับไป

การ Freeze Frame ช็อตสุดท้ายนี้ รับแรงบันดาลใจจาก The 400 Blows (1959) ของผู้กำกับ François Truffaut ซึ่งมีใจความเกี่ยวกับเด็กชายหัวขบถ ต้องการดิ้นหลุดพ้นจากพันธการของสังคม แตกต่างกันที่เรื่องนี้เปลี่ยนเป็น Fade To White เหมือนอนาคตที่ว่างเปล่า แต่ก็สามารถมองได้ว่า ‘To Be Continue’ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

จริงๆการจบด้วยช็อตนี้ถือว่างดงามมากๆ แต่ความที่มันสั้นห้วนไม่กี่วินาที ดูเร่งรีบร้อนเกินไป มีนักวิจารณ์ลดคะแนนลงครึ่งดาว ให้ความเห็นว่า ถ้าปล่อยช็อตนี้ให้ยาวนานกว่าเดิมสัก 4-5 วินาที อารมณ์มันจะสมบูรณ์แบบขึ้นกว่าเดิมอีก

ปล. ผู้กำกับ Scott เคยครุ่นคิดเปลี่ยนตอนจบ ให้ Louise ผลัก Thelma ลงจากรถก่อนตนเองทะยานลงสู่ Grand Canyon นั่นทำให้เพื่อนสนิทรอดตาย ส่วนเธอ… ไม่รู้โชคชะตากรรมเป็นอย่างไร

ตัดต่อโดย Thom Noble สัญชาติอังกฤษ ผลงานเด่นๆ อาทิ Witness (1985), Thelma & Louise (1991), Reign of Fire (2002), The Mask of Zorro (1998) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านสองสาวเป็นหลัก Louise Elizabeth Sawyer และ Thelma Yvonne Dickinson แต่ก็มักแทรกอีกด้านหนึ่งของสามี/แฟนหนุ่ม และนักสืบ Hal Slocumb ที่ต่างพยายามฉุดเหนี่ยวรั้ง ดึงเธอกลับมาสู่สภาวะปกติ

แม้ว่าส่วนใหญ่ของหนังจะคือ Long Take แต่การตัดต่อต้องชมเลยว่ามีจังหวะลีลารุกเร้าใจ ฉากแอ๊คชั่นไม่ต้องห่วงมันส์ระเบิดเถิดเถิง! และหลายครั้งยังพบเห็นความพยายามเปรียบเทียบระหว่าง Thelma & Louise ตัดสลับเรื่องราว/เหตุการณ์กันไปมา ซ้อนทับใบหน้าพอดิบพอดี เป็นการบ่งบอกพวกเธอคือคู่หูเติมเต็มกันและกัน


สำหรับเพลงประกอบ Soundtrack ใช้บริการของ Hans Zimmer (เกิดปี 1957) นักแต่งเพลงสัญชาติ German ขณะนั้นกำลังโด่งดังกับ Rain Man (1988) ได้เข้าชิง Oscar: Best Original Score ครั้งแรก และเพิ่งร่วมงานกับ Scott เรื่อง Black Rain (1989) เรียกว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นกำลังโด่งดัง

เห็นว่าทีแรก Scott ตั้งใจจะไม่ให้มี Opening Credit แต่ประทับใจผลงานเพลงของ Zimmer อย่างยิ่งยวด เลยยินยอมให้เป็นกรณีพิเศษ! Thunderbird ด้วยลีลาลี๊ดกีตาร์ไฟฟ้า มอบสัมผัสอันเวิ้งว้างว่างเปล่า นำเสนอภาพธรรมชาติกว้างใหญ่ อนาคตห่างไกล โลกเราต่อไปจักเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเช่นไร ชาย-หญิงจะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหรือไม่

บทเพลง The Decision/End Credits เริ่มต้นด้วยความสิ้นหวังหดหู่ แต่เมื่อสองสาวตัดสินใจพุ่งทะยานมุ่งสู่ Grand Canyon นั่นหาใช่ดนตรีแห่งโศกนาฎกรรม แต่คือความหวัง โอกาส โลกใบใหม่ อนาคตที่ชาย-หญิง จะมีความเท่าเทียม เสมอภาค และทุกคนสามารถครุ่นคิด ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’

ที่เหลือของหนังคือ Diegetic Music นำจากเป็นบทเพลงมีชื่อ รวบรวมคล้ายๆอัลบัมเพลงฮิต ซึ่งมักมีคำร้องสอดคล้องกับเนื้อหาเรื่องราว บางครั้วทำเหมือน Music Video เพื่อสร้างสัมผัสคลาสสิกของ Road Movie เปิดรับฟังวิทยุตลอดทางได้ไม่เบื่อ
– Wild Night (1971) แต่งโดย Van Morrison, ขับร้องโดย Martha Reeves, สองตามเตรียมตัวออกเดินทาง สู่ช่วงเวลา/ค่ำคืนพักร้อนอันสุดเหวี่ยง
– House Of Hope (1991) แต่งโดย Toni Childs & David Ricketts, ขับร้องโดย Toni Childs, เมื่อตอนเริ่มออกเดินทาง
– เพลงในบาร์ Tennessee Plates (1988) แต่งโดย John Hiatt & Mike Porter, ขับร้องโดย Charlie Sexton
– สองสาวขับร้องระหว่างทาง The Way You Do The Things You Do (1989) แต่งโดย Smokey Robinson & Bobby Rogers, ขับร้องโดย The Temptations
– Sex Scene บทเพลง Kick The Stones (1991) แต่ง/ขับร้องโดย Chris Whitley
– ขับรถยามค่ำคืน The Ballad Of Lucy Jordan (1979) แต่งโดย Shel Silverstein, ขับร้องโดย Marianne Faithfull
– Don’t Look Back (1992) แต่งโดย Holly Knight & Grayson Hugh, ขับร้องโดย Grayson Hugh
ฯลฯ

Thelma & Louise นำเสนอก้าวย่างเดินทางสู่โลกกว้างของอิสตรีเพศ ในโลกที่เต็มไปด้วยบุรุษจอมฉกฉวยโอกาส ต้องการเพียง Sex สนผลประโยชน์พึงพอใจส่วนตนเท่านั้น! นั่นทำให้พวกเธอค่อยๆเรียนรู้จักดิ้นรนต่อสู้ แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ ย้อนแย้งเอาคืนทุกสิ่งอย่างที่บังเกิดขึ้น ปฏิเสธทุกการถูกฉุดเหนี่ยวรั้ง พันธนาการกักขัง หรือหวนกลับสู่กรงอีกครั้งหนึ่ง

ใจความ Feminist เป็นการชี้ชักนำพาอิสตรีให้เกิดความกล้าเผชิญหน้า ต่อสู้ ก้าวออกมาจากกะลาที่ถูกครอบงำโดยบุรุษเพศ เปิดโลกทัศน์มุมมองใหม่ มุ่งสู่อิสรเสรีภาพไร้ขอบเขตจำกัด แม้เดินทางถึงสุดปลายทางผืนแผ่นดิน ก็มิต้องขลาดหวาดกลัวต่อหุบเหวกว้างใหญ่ไพศาล จงพุ่งทะยานวาดฝันว่าจักสามารถโบยบินได้ดั่งนก

รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในยุคสมัยปัจจุบัน ยังถือว่าคงความคลาสสิกร่วมสมัย เต็มเปี่ยมด้วยอรรถรสบันเทิงสุดมันส์เร้าใจ แต่สาสน์สาระค่อนข้างจะชวนเชื่อ แสดงความเห็นแก่ตัว นำเสนอผ่านมุมมองเดียว(ของผู้หญิง) และจบแบบเร่งรัดค้างคาไปเสียหน่อย ซึ่งก็มีนักวิจารณ์บางคนถกเถียงโต้แย้ง ว่าหนังนำเสนอความรุนแรง การแก้แค้นเอาคืน(ของผู้หญิง) มากกว่ายกย่องเชิดคุณค่าสำคัญในสิทธิสตรีิเสียอีกนะ!

Ridley Scott แม้เป็นจอมเผด็จการในกองถ่าย ชอบพูดจาหยาบคาย แต่จิตใจนักเลง มีความเข้าใจต่อชาย-หญิง ให้การยินยอมรับในสิทธิเสมอภาคเท่าเทียม รู้จัก’เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ พยายามที่สุดแล้วสรรหาบุคคลเหมาะสมกับโปรเจคนี้ แต่เมื่อไม่มีเลยต้องตกลงปลงใจกำกับหนังเอง ถึงเขาไม่ใช่เพศหญิง แต่ก็ได้สร้างสรรค์โอกาส และเปิดประตูบานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์

ผู้ชายได้อะไรจากการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้? ผมว่ามากมายมหาศาลเลยนะ สำคัญสุดคือการเรียนรู้จัก ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ คำพูดตรงไปตรงมาที่สุด เอ่ยจากปากของตัวละคร Louise

Louise: “Yeah, where do you get off behaving like that with women you don’t even know? Huh? Huh? How’d you feel if someone did that to your mother? Or your sister? Or your wife?”

ความน่าทึ่งของสัตว์โลก ยังมีมนุษย์อีกมากที่ไม่เข้าใจถ้อยแถลงประโยคนี้ แม้ถูกกระทำย้อนแย้งเข้าหาตนเอง! ก็ไม่รู้เวรกรรมอะไรบังตา จมปลักดั่งดอกบัวในโคลนตม พยายามสักเท่าไหร่คงมิอาจงอกเงยขึ้นเหนือน้ำโดยน้ำ … เอาว่าเราไม่ต้องไปใคร่สนใจบุคคลจำพวกนี้หรอกนะครับ ตนเองตระหนักครุ่นคิดให้ได้ก่อนก็เหลือเฟือเพียงพอแล้ว


ด้วยทุนสร้าง $16.5 ล้านเหรียญ ทำเงินในอเมริกา $45.4 ล้านเหรียญ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม, เข้าชิง Oscar 6 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
– Best Director
– Best Original Screenplay ** คว้ารางวัล
– Best Actress (Geena Davis)
– Best Actress (Susan Sarandon)
– Best Cinematography
– Best Film Editing

คงต้องถือว่าหนังโดย SNUB สาขา Best Picture แบบไม่มีใครคาดคิดถึง

เกร็ด: ในประวัติศาสตร์ Oscar มีเพียง 4 เรื่องที่มีนักแสดงหญิงเข้าชิง Best Actress พร้อมกันสองคน ประกอบด้วย All About Eve (1950), Suddenly, Last Summer (1959) และ Terms of Endearment (1983)

ส่วนตัวแค่ชอบหนังเรื่องนี้ ประทับใจในความกล้า บ้าๆบอๆของสองหญิง กระทำในสิ่งเหมือนจะยินยอมรับได้ เห็นภาพชัดเลยว่าโลกที่เต็มไปด้วยผู้ชายหลงตัวเองมันน่าหวาดสะพรึงกลัวแค่ไหน

แนะนำคอหนัง Road Movie ปล้นฆ่า ก่ออาชญากร, หลงใหลทิวทัศน์ธรรมชาติสวยๆของสหรัฐอเมริกา, นักสิทธิสตรี Feminist, แฟนๆผู้กำกับ Ridley Scott, การแสดงบ้าๆบอๆของ Susan Sarandon, Geena Davis, สมทบด้วย Harvey Keitel และ Brad Pitt ไม่ควรพลาด

จัดเรต 18+ ปล้น ฆ่า ก่ออาชญากรรม

คำโปรย | Ridley Scott ผลักดันสองสาว Susan Sarandon และ Geena Davis ใน Thelma & Louise ให้สามารถขับรถพุ่งทะยาน โบยบินสู่อิสรภาพ
คุณภาพ | ยอดเยี่ยม
ส่วนตัว | แค่ชอบ

1
Leave a Reply

avatar
1 Comment threads
0 Thread replies
6 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
0 Comment authors
Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
trackback
%d bloggers like this: