unstoppable

Unstoppable (2010) hollywood : Tony Scott ♥♥♥♡

ระหว่างรถไฟกับหัวใจ อะไรจะหยุดเต้นก่อนกัน! Unstoppable เป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีอะไรนอกเหนือจากอะดรีนาลีนพุ่งพร่าน ผู้ชมรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายต้องจบลงด้วยดี แต่ความสนุกอยู่ระหว่างทางและวิธีการทำยังไงให้รถไฟเหาะหยุดตีลังกา

นี่เป็นหนังที่ผมได้รับชมในโรงภาพยนตร์เมื่อหลายปีก่อน จากความประทับใจในตัวอย่างหนัง สร้างความตื่นเต้นลุ้นระทึกเร้าใจ น่าจะเป็นหนังที่ให้ความเพลิดเพลินบันเทิงเหลือล้น, ก็ไม่ผิดความคาดหวังเลย ดูหนังจบออกมา ราวกับเพิ่งลงมาจากรถไฟเหาะ มือสั่นๆหัวใจเต้นแรงรัว แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ไม่นานเดี๋ยวก็หาย เป็นความทรงจำประสบการณ์ที่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาก็หลงลืมไปแล้วว่ารับชมอะไรมา

หนังได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2001 รถไฟขนส่งของ เลขขบวน 8888 (Crazy Eights) หัวรถจักร EMD SD40-2 ของบริษัท CSX Corporation จำนวน 47 โบกี้ บรรทุกสารเคมีอันตราย 22 โบกี้ หลุดไหลไร้คนขับด้วยความเร็ว 51 ไมล์ต่อชั่วโมง (82 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จากสถานี Walbridge, Ohio สาเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดของคนขับ คิดว่างเข้าเกียร์ว่างไว้ขณะลงมาสับราง แต่รถไฟกลับค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าเร่งความเร็วจนวิ่งตามไม่ทัน

เห็นว่ามีความพยายามทำให้รถไฟตกรางด้วยนะครับ แต่ก็ทำไม่สำเร็จแบบในหนัง เพราะน้ำหนักและความเร็วที่มากเกินไป สิ่งกั้นขวางทางเล็กๆแค่นั้นไม่กระทบกระเทือนพลังช้างสารสักนิด, สำหรับสองฮีโร่ Jon Hosfeld และ Terry L. Forson ได้ขับรถไฟอีกขบวน 8392 เชื่อมต่อด้านท้าย ชักเย่อจนลดความเร็วลงเหลือ 11 ไมล์ต่อชั่วโมง (17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แล้ว Hosfeld กระโดดจากรถกระบะขึ้นไปหยุดรถไฟได้ ก่อนถึงสถานี Kenton, Ohio รวมระยะทางแล้ว 66 ไมล์ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็หยุดได้

ประมาณเดือนมิถุนายน 2007 สตูดิโอ 20th Century Fox มีความสนใจพัฒนาโปรเจคจากเหตุการณ์นี้ โดยได้ติดต่อผู้กำกับ Martin Campbell ที่เพิ่งเสร็จจาก Casino Royale (2006) เห็นว่าตบปากรับคำกันอย่างดีแต่แค่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา ล่วงเลยมาจนถึงเดือนมีนาคม 2009 ผู้กำกับ Tony Scott จึงมาสวมเขาตัดหน้าเซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับแทน (เห็นว่าเพราะ Denzel Washington ได้ตบปากรับคำนำแสดงแล้ว แต่ผู้กำกับดันคิวไม่ว่างสักที เลยชักชวน Scott ให้มากำกับแทน)

Anthony David Leighton Scott (1944 – 2012) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Tynemouth, Northumberland เป็นน้องชายคนเล็กของผู้กำกับ Ridley Scott ที่เดินตามหลังพี่ชายมาติดๆ แต่กลับชิงตัดหน้าด่วนเสียชีวิตไปก่อน ซึ่ง Unstoppable (2010) คือหนังเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ

หลังเรียนจบพี่ชายชักชวนให้มาทำงานร่วมบริษัทเดียวกัน เริ่มต้นจากการทำโฆษณาอยู่ถึง 15 ปี (จนมีเงินมากพอซื้อรถ โน่นนี่นั่น) ถึงค่อยเริ่มมีความสนใจในการสร้างภาพยนตร์จริงจัง เดินทางสู่ Hollywood มีผลงานดังอย่าง Top Gun (1986), Beverly Hills Cop II (1987), Days of Thunder (1990), The Last Boy Scout (1991), True Romance (1993), Enemy of the State (1998), Man on Fire (2004), Déjà Vu (2006) ฯ

สไตล์หนังของ Tony Scott งานภาพมักมีลักษณะโฉบเฉี่ยวไปมารวดเร็ว (ได้อิทธิพลจากการทำโฆษณาแน่ๆ) เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ พลังงาน อะดรีนารีน ฯ, แนวหนังในความสนใจ อาทิ Action, Thriller, Spy ฯ

“It’s about energy and it’s about momentum, and I think the movie’s very exciting, and it’s not one individual thing. The true excitement comes from the actors—that gives you the true drama—and whatever I can do with the camera, that’s icing on the cake. I wanted the movie to grab you. I use four cameras and I maybe do three takes—so the actors love it. Maybe I move it more than I should, but that’s the nature of the way I am.”

Denzel Hayes Washington Jr. (เกิดปี 1954) นักแสดงผิวสีสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Mount Vernon, New York คว้า Oscar มาแล้วถึง 2 ครั้งจาก Glory (1989) และ Training Day (2001), รับบท Frank Barnes วิศวกรรถไฟที่ถูกบังคับให้เกษียณอายุก่อนวัย ด้วยประสบการณ์ทำงาน 28 ปี เรียกว่ารู้ทุกสิ่งอย่าง เป็นคนช่างสังเกต และมีความกล้าบ้าบิ่นไม่แพ้ใคร สำหรับชีวิตครอบครัวภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว เหลือลูกสาวโตแล้วสองคนที่ไม่ค่อยมีเวลาได้พบกันเท่าไหร่ … แต่หลังจากนี้คงได้เข้าใจกันแล้วสินะ

Christopher Whitelaw Pine (เกิดปี 1980) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Los Angeles, California มีชื่อเสียงจากการรับบทกัปตัน James T. Kirk ใน Star Trek ภาค reboot, Hell or High Water (2016), Wonder Woman (2017) ฯ รับบท Will Colson ผู้ควบคุมหัวรถจักร ที่เพิ่งทำงานวันแรกหลังเรียนจบหลักสูตร ยังเต็มไปด้วยความขบถ เลือดร้อน คงด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ภรรยาฟ้องหย่า … แต่หลังจากนี้คงเข้าใจกันแล้วสินะ

การแสดงไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเท่าไหร่ แค่เป็นองค์ประกอบเติมเต็มพื้นหลังของเรื่องราว ให้สามารถผ่านชั่วโมงแรกไปได้เท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะพบเจอพระเอกตัวจริง (หรือผู้ร้ายหว่า?) รถไฟขบวน 777 หัวรถจักรรุ่น AC4400CW (ยืมมาจาก Canadian Pacific Railway) สำหรับเส้นทางสายรถไฟ เป็นการสมมติขึ้นชื่อ Allegheny and West Virginia Railroad แต่สำนักงานใหญ่ถ่ายทำที่ Pittsburgh, Pennsylvania

ถ่ายภาพโดย Ben Seresin, หนังใช้กล้อง Hand-Held ถ่ายภาพมัวๆ ถือสั่นๆ เคลื่อนไหวรวดเร็ว ซูมเข้าออก ให้เกิดสัมผัสความเร่งรีบแข่งขันกับเวลา, เฮลิคอปเตอร์ถ่ายภาพเคลื่อนไหวมุมสูง โฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนไปมา, ส่วนฉากรถไฟทั้งหลาย ถ้าคุณสังเกตดีๆจะพบว่าหลายครั้งความเร็วสัมพัทธ์ไม่ใช่รถที่วิ่ง 51 ไมล์ต่อชั่วโมงแน่ๆ (ก็แน่ละ เพราะหนังถ่ายบนรางรถไฟจริงๆ ถ้าจะให้วิ่งตลอดด้วยความเร็วเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะครับ) และโทนสีของภาพ น่าจะเป็นกระบวนการหลังถ่ายทำ ใส่ filler ย้อมสี ให้เกิดสัมผัสคล้ายกับเหล็ก(รถไฟ) ไอน้ำ และใบไม้ร่วง (สีเหลือง)

เกร็ด: ในหนังไม่มีฉากฝนตกนะครับ แต่หลายครั้งที่กล้องเคลื่อนผ่านกระจกหน้ารถไฟ จะมีหยดน้ำเกาะเต็มไปหมด (หรือเป็นฝุ่นหว่า?)

ความไม่สมจริงหลายๆอย่าง ถูกซ่อนไว้ด้วยการตัดต่อของ Chris Lebenzon และ Robert Duffy ที่มีความรวดเร็วฉับไว สอดคล้องกับงานภาพที่มีความฉวัดเฉวียน, มุมมองของหนังมีหลายจุดมาก สังเกตว่าสองพระเอกกับรถไฟไร้คนขับ จะมาจากคนละฝั่งแล้วพบกันตรงครึ่งทาง จากนั้นเป็นการไล่ล่าวิ่งถอยหลัง ระหว่างนั้นก็จะมีตัดไปสำนักงานใหญ่, ออฟฟิสผู้บริหาร, ผู้สื่อข่าว/ทางโทรทัศน์, บนเฮลิคอปเตอร์, และคนที่ยืนรอดูรถไฟ ฯ

เพลงประกอบโดย Harry Gregson-Williams จะดังขึ้นตลอดทั้งเรื่องไม่มีเงียบ เพื่อขับเน้นอารมณ์ สร้างบรรยากาศลุ้นระทึกที่จะค่อยๆทวีความตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ, เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียง Sound Effect หนวกหู ดังขึ้นกลบเพลงประกอบเสียหมด ผมแนะนำให้คิดเสียว่าเป็นเเสียงครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งนะครับ ที่ได้ร่วมสร้างความสับสนอลม่านวุ่นวาย นี่คือปัจจัยที่ทำให้อะดรีนาลีนของคุณพลุกพร่าน ถ้าฟังออกนะว่านั่นคือเสียงของอะไร (เห็นว่ามีการนำเอาเสียงของสรรพสัตว์ เพิ่มเข้าไปเป็นหนึ่งในเสียงของรถไฟ … ทำยังกะ Raging Bull)

หนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้าง? การทำงาน ไม่ว่าอะไรต้องอย่าประมาท สะเพร่า เรินเร่อ มีสติอยู่กับตัว อย่างลองดี จองหอง เพราะปัญหาที่เราก่อขึ้น บางครั้งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง อาจส่งผลกระทบเสียหายในวงกว้าง สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย ถ้าเป็นถึงระดับนั้นที่เริ่มจากความผิดพลาดเล็กๆ คุณจะเอาอะไรไปชดใช้หนี้กรรมได้เพียงพอละ

ที่ผมพูดถึงนี้ ไม่ใช่แค่กับคนขับรถไฟที่เผลอใส่เกียร์เดินหน้าตอนลงมาสับรางนะครับ ทุกๆตัวละครในหนังต่างมีเรื่องราวสถานะคล้ายๆกัน และพยายามวิ่งไล่แก้ไขปัญหา แต่หนทางที่ถูกต้องจริงๆคือต้องเผชิญหน้า ไม่ใช่เข้าข้างหลัง (แก้ที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ)
– Frank Barnes ไม่ค่อยให้เวลากับครอบครัว ลูกๆเลยไม่อยากพบเจอพูดคุย
– Will Colson เพราะความทะนงตน เย่อหยิ่ง จองหอง ขนาดแค่นับขบวนโบกี้รถไฟยังผิด (จริงผมว่าพี่แกนับไม่ผิดหรอก คือจงใจต่อให้เกินเพื่อประหยัดเวลามากกว่า)
– Oscar Galvin รองประธานบริษัท ที่พอแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ก็คิดแต่จะไล่คนออก ผลักไสความรับผิดชอบ แต่ตัวเองก็ไร้ประสิทธิภาพ

ถ้ามองรถไฟขบวนนี้คือ ‘ปัญหา’ วิธีการแก้ปัญหาของหนังประกอบด้วย
– ขัดขวาง/ประจันหน้า (เอารถไฟอีกขบวนวิ่งนำหน้า แล้วพยายามเบรคลดความเร็ว) นี่รังแต่จะทำให้ปัญหาสะสมพอกพูน มิหนำซ้ำเมื่อถึงจุดแตกหัก รังแต่จะทำให้มีความรุนแรงขึ้นแต่เดิม
– การทำลายปัญหา (พยายามทำให้ตกราง)
– แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ (เอารถไฟต่อตูด) นี่สามารถช่วยยับยั้งชะลอปัญหาได้ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
– วิธีการเดียวเท่านั้น คือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (กระโดดขึ้นบนหัวรถจักร)
(แต่จริงๆ รอให้รถไฟน้ำมันหมดก็ได้กระมั้ง … แต่รางรถไฟจะยาวพอหรือเปล่า?)

หนทางออกของหนังเรื่องนี้ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียว เพราะปัญหาบางอย่างแก้ไขที่ต้นตอทันทีเลยยังไม่ได้ จำเป็นต้องลดทอนชะลอความเสียหายที่ปลายเหตุเสียก่อน แล้วค่อยๆค้นหาวิธีแก้ไขให้ถูกจุด นี่คงเรียกได้ว่าการ ‘ประณีประณอม’ ลดความรุนแรงแล้วค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา

ทุนสร้างตอนแรกที่ Fox ประเมินไว้คือ $107 ล้านเหรียญ แต่นี่เป็นตัวเลขที่มากเกินไปนิด พยายามขอต่อรองผู้กำกับให้ค่าตัวจาก $9 ล้าน เหลือเพียง $6 ล้าน และของ Washington จาก $20 ล้านเหลือ $16 ล้าน แต่รายหลังไม่ยอม แถมขู่ถอนตัวออกไปแล้วด้วย เพราะหนังไม่ได้สร้างสักที แต่พอ Fox ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดเรื่องวันฉาย Washington ที่ยังว่างอยู่มีหรือจะปล่อยเงินก้อนใหญ่นี้ทิ้งไป

สุดท้ายแล้วหนังใช้ทุนสร้าง $95 ล้านเหรียญ เปิดตัวในอเมริกาได้เพียงอันดับ 2 รวมรายรับตลอดโปรแกรม $81.5 ล้านเหรียญ ทั้งโลกทั้งหมด $167.8 ล้านเหรียญ น่าจะไม่คุ้มทุนสร้าง, ได้เข้าชิง Oscar 1 สาขา Best Sound Editing (จริงๆน่าจะได้เข้าชิง Sound Mixing มากกว่านะครับ)

ส่วนตัวชื่นชอบหนังเรื่องนี้ในแง่ของความบันเทิง และวิธีการที่สามารถทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วม อะดรีนาลีนพุ่งพร่าน ได้อย่างบ้าคลั่ง แม้หลังหนังจบจะไม่มีอะไรชวนให้หวนระลึกนึกถึงอีกเท่าไหร่ แต่นานๆรับชมครั้ง คงสร้างความเพลิดเพลินใจได้ไม่น้อย

แนะนำกับคอหนัง Thriller ชื่นชอบความตื่นเต้น ลุ้นระทึกเร้าใจ อะดรีนาลีนหลั่งไหล, แฟนๆผู้กำกับ Tony Scott และนักแสดง Denzel Washington, Chris Pine ไม่ควรพลาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำงานเกี่ยวกับการรถไฟ ขออย่าให้เรื่องราวลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเลย

จัดเรต 13+ กับภาพอันโฉบเฉี่ยว ความอันตรายหวาดเสียวของหนัง

TAGLINE | “Unstoppable จะทำให้หัวใจของคุณเต้นแรงแล้วหยุดเต้น”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: