A History of Violence (2005) : David Cronenberg ♥♥♥♥
ทุกสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์ ล้วนมีประวัติความรุนแรงฝังรากลึกอยู่ใน DNA ซึ่งถือเป็นสันชาติญาณสำหรับดำเนินชีวิต ธำรงชีพรอดปลอดภัย นำพาความสงบสันติสุขสู่สังคม ครอบครัว และตัวเราเอง
“ความรุนแรงไม่ใช่หนทางออกของปัญหา แต่บางปัญหาก็ต้องแก้ไขด้วยการใช้ความรุนแรง“
อาจจะตั้งแต่ The Brood (1979) ที่ผกก. Cronenberg ตระหนักว่าการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ใช้ความรุนแรงต่อสิ่งที่สร้างอคติ(อดีตภรรยาขอเลิกราหย่าร้าง)ผ่านสื่อศิลปะ/ภาพยนตร์ สามารถระบายความอึดอัดอั้น คลายทุกข์เศร้าโศก และลุกขึ้นก้าวเดิน ธำรงชีวิตต่อไป
A History of Violence (2005) หนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมระดับทศวรรษ 2000s (ติดอันดับ 5 นิตยสาร Cahiers du Cinéma: Best Film of the 2000s) ตั้งคำถามถึงต้นตอความรุนแรง และค้นพบว่ามันเป็นสิ่งฝังรากลึกอยู่ใน DNA/สันชาติญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกคน จนกว่าเราจะค้นพบความสุขสงบจากภายใน (ในกรณีของหนังจะพูดถึง จนกว่าเราจะเรียนรู้จักความรัก) ถึงสามารถสร้างสันติสุขรอบตัวเรา
เมื่อตอนผมรับชม A History of Violence (2005) น่าจะที่โรงสยาม-ลิโด้ เกิดความโคตรๆๆชื่นชอบหลงใหล โดยเฉพาะฉากขืนใจภรรยาตรงบันได เพราะขณะนั้นทั้งสองกำลังมีความขัดแย้ง ไม่พึงพอใจกันอย่างรุนแรง ฝ่ายหญิงต้องการหลบลี้หนีหน้า ขณะที่ฝ่ายชายพยายามติดตาม งอนง้อ ฉุดกระชาก พอสบโอกาสก็มีเพศสัมพันธ์ … นี่กลายเป็นบทเรียนชีวิตเลยก็ว่าได้ เวลาแฟน/ภรรยาแสดงอาการง้อนงอน เกรี้ยวกราดโกรธ การบีบบังคับขืนใจด้วยความรุนแรง อาจช่วยประสานรอยร้าวให้หวนกลับมาคืนดี (แต่ต้องดูสถานการณ์ด้วยนะครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชอบการปฏิบัติแบบนี้)
ต้นฉบับของ A History of Violence คือ ‘graphic novel’ ความยาวเล่มเดียวจบ (286 หน้ากระดาษ) แต่งโดย John Wagner, วาดภาพโดย Vince Locke, ตีพิมพ์เมื่อปี 1997 โดยสำนักพิมพ์ Paradox Press และ Vertigo Comics ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ DC Comics
เกร็ด: John Wagner (เกิดปี 1949) เป็นนักเขียน(การ์ตูน)ชาวอังกฤษ ผู้ให้กำเนิดตัวละคร Judge Dredd (1977), The Bogie Man (1989) ฯลฯ
ด้วยความที่สตูดิโอ Warner Bros. เป็นเจ้าของ DC Comincs มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เลยไม่แปลกที่ความสำเร็จของ A History of Violence จะได้รับความสนใจดัดแปลงเป็นสื่อภาพยนตร์ มอบหมายให้ Josh Olson (มีชื่อเสียงจากหนัง Horror ทุนต่ำเรื่อง Infested (2002)) พัฒนาบทออกมาอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับสุดๆ
It was 120-odd pages of just mayhem; kind of senseless, really. It’s seems like straight exploitation, just gore; it’s a pulp novel.
Viggo Mortensen แสดงความคิดเห็นต่อบทหนังของ Josh Olson
มีผู้กำกับหลายคนที่แสดงความสนใจโปรเจคหนังเรื่องนี้ แต่สตูดิโอ Warner Bros. เลือกเซ็นสัญญาผู้กำกับ David Cronenberg เจ้าตัวตอบตกลงโดยไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าบทพัฒนามาจาก Graphic Novel (มารับรู้เอาภายหลัง)
David Paul Cronenberg (เกิดปี 1943) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Canadian เกิดที่ Toronto, Ontario บิดาเป็นนักเขียน/นักตัดต่อ พยายามเสี้ยมสอนบุตรชายให้หลงใหลในสื่อภาพยนตร์ แต่เขากลับชื่นชอบอ่านนวนิยาย Science-Fiction ในตอนแรกเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ University of Toronto ก่อนเปลี่ยนมาคณะวรรณกรรมภาษาอังกฤษ จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสรับชม Winter Kept Us Warm (1966) ถึงเริ่มค้นพบความสนใจในภาพยนตร์ กำกับหนังสั้น 16mm ร่วมก่อตั้ง Toronto Film Co-op กับเพื่อนสนิท Ivan Reitman, ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Stereo (1969), Crimes of the Future (1970), พัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ ‘body horror’ เริ่มตั้งแต่ Shivers (1975), Rabid (1977)
ผกก. Cronenberg เมื่อมีโอกาสพบเจอ Viggo Mortensen แสดงความเห็นด้วยว่าบทหนังไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่เพราะคุยกันค่อนข้างถูกคอ เลยบอกให้เชื่อใจว่าตนเองจะปรับแก้ไขเรื่องราวให้ออกมาดี ผลลัพท์คือบทหนังความยาวเพียง 72 หน้ากระดาษ แต่ยังคงมอบเครดิตเขียนบทให้ Josh Olson
And he said, ‘Just trust me, I’m going to work on this.’ He should have actually taken a screenplay credit, because that 120-something pages ended up being about 72 pages, and that was him.
Viggo Mortensen
บทหนังของผกก. Cronenberg ครึ่งแรกยังคงรายละเอียดจากต้นฉบับ แค่ปรับเปลี่ยนพื้นหลัง ตัวละคร เพิ่มเติมเรื่องราวของบุตรชาย ตัดทิ้งนิ้วที่ขาดหาย ฯลฯ ส่วนครึ่งหลังทำการแก้ไขเรื่องราวพอสมควร พระเอกไม่ได้สารภาพความจริงต่อตำรวจ ขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกจับทรมาน และตอนจบ Tom ยังอยากไว้ชีวิตน้องชาย Richie แต่ถูกร้องขอให้ส่งตนเองสู่สุขคติ
Tom Stall (รับบทโดย Viggo Mortensen) เจ้าของกิจการร้านอาหารเล็กๆในรัฐ Indiana อาศัยอยู่กับภรรยา Edie (รับบทโดย Maria Bello) และบุตรชาย-สาว ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสไตล์อเมริกัน วันหนึ่งมีโจรกระจอกสองคนบุกเข้ามาในร้าน เอาปืนจ่อ พร้อมจะข่มขืนพนักงาน แต่แล้ว Tom สามารถฉกแย่งชิงปืน เป่าขมองผู้ร้ายทั้งสอง กลายเป็นฮีโร่ ข่าวใหญ่ระดับชาติ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถหรู พร้อมชายตาเดียว Carl Fogarty (รับบทโดย Ed Harris) กล่าวอ้างว่า Tom Stall แท้จริงแล้วคือคู่อริเก่า Joey Cusack พยายามข่มขู่ แบล็กเมล์ ต้องการพาตัวไปพบเจอหัวหน้า Richie Cusack (รับบทโดย William Hurt) แต่เขากลับปฏิเสธหัวชนฝา ไม่รู้เรื่อง ไม่ยินยอมรับความจริง นั่นคือความเข้าใจผิดๆ จนกระทั่งบุตรชายของเขาถูกจับเป็นตัวประกัน
Viggo Peter Mortensen Jr. (เกิดปี 1958) นักแสดงสัญชาติ Danish-American เกิดที่ New York City แม่เชื้อสายอเมริกัน ส่วนพ่อชาว Danish พบเจอที่ Norway ครอบครัวมักออกเดินทางไปทำธุรกิจยัง Venezuela, Denmark, ก่อนตัดสินใจปักหลักที่ Argentina แต่หลังจากหย่าร้างอาศัยอยู่กับแม่ที่ New York เรียนจบจาก St. Lawrence University ทำงานหลากหลาย ขายดอกไม้ ขับรถบรรทุก แสดงละครเวที ว่ากันว่าภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Purple Rose of Cairo แต่ฉากดังกล่าวถูกตัดออกไป ผลงานสร้างชื่อคือไตรภาค The Lord of the Rings (2001-03), A History of Violence (2005), Appaloosa (2008), เคยเข้าชิง Oscar: Best Actor สามครั้งจากเรื่อง Eastern Promise (2007), Captain Fantastic (2016), Green Book (2018)
รับบท Tom Stall ชายผู้รักสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับภรรยาและบุตรชาย-สาว เป็นที่นับหน้าถือตาจากชาวเมือง Indiana จนกระทั่งการมาของสองโจรกระจอก กำลังจะปล้น-ฆ่า-ข่มขืน จัดการพวกมันจนไม่มีโอกาสทำอะไร กลายเป็นวีรบุรุษได้รับการยกย่อง แต่ก็สร้างความเคลือบแคลงสงสัย หมอเป็นใครมาจากไหน?
ตัวตนแท้จริงคือ Joey Cusack เด็กกำพร้าจาก Philadelphia เติบโตขึ้นมาร่วมกับพี่ชาย Richie Cusack (แค่นามสกุลเดียวกัน แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆทางสายเลือด) กลายเป็นนักเลงหัวไม้ สู่เจ้าพ่อมาเฟีย แต่หลังจากพบเจอตกหลุมรัก Edie เลยตัดสินใจปรับเปลี่ยนตนเอง ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง ออกเดินทางสู่ Indiana เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่ชาติเสือไม่ทิ้งลาย อดีตเคยกระทำสิ่งเลวร้ายได้ติดตามมาหลอกหลอน การมาถึงของอริเก่า Carl Fogarty พยายามโน้มน้าวให้เขาหวนกลับไปชดใช้หนี้กรรม แต่ Tom ก็ทำเป็นว่าไม่รับรู้ ไม่แยแส ปฏิเสธเสียงขันแข็ง ฉันไม่ใช่ Joey จนกระทั่งบุตรชายถูกจับเป็นตัวประกัน นั่นทำให้เขาตัดสินใจหวนกลับไปปิดบัญชีอดีต พูดบอกความจริงแก่ภรรยา ก็ได้แต่หวังว่าเธอจะยินยอมรับและให้อภัยทุกสิ่งอย่าง
ปล. บทบาทสองขั้วตรงข้ามลักษณะนี้ ชวนให้ผมระลึกถึง Dead Ringers (1988) ที่ผกก. Cronenberg ทำการแบ่งแยกตัวละครฝาแฝดจากนักแสดงคนเดียวกัน มาเรื่องนี้พลิกกลับตารปัตร นักแสดงคนเดียวเหมือนเล่นเป็นสองตัวละคร
มีนักแสดงที่ได้รับการติดต่อไปอย่าง Thomas Jane, Harrison Ford แต่เชื่อว่าบอกปัดหลังอ่านบทหนังของ Josh Olson ด้วยเหตุผลเดียวกับ Viggo Mortensen
Well, it’s not a question of like or dislike, it’s just not my thing, really.
Viggo Mortensen
แต่การได้นัดพบเจอผกก. Cronenberg พูดคุยกันอย่างถูกคอ และร้องขอให้เชื่อมั่นในตนเอง ทำเอา Mortensen มิอาจปฏิเสธได้ลง ไม่อยากเสียโอกาสการร่วมงานครั้งนี้ … หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลายเป็นขาประจำ ร่วมงานกันอีกหลายครั้ง Eastern Promises (2007), A Dangerous Method (2011) และล่าสุด Crimes of the Future (2022)
Mortensen ที่เพิ่งประสบความสำเร็จล้นหลามจากแฟนไชร์ LOTR ทำให้ผู้ชมติดภาพจำวีรบุรุษ มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่นั่นกลับไม่สร้างปัญหาให้เขาสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อต้องรับบทคนธรรมดาๆสามัญอย่าง Tom ถ้าสังเกตดีๆจะพบเห็นความละม้ายคล้ายกันหลายๆอย่าง ต่างเป็นสุภาพอ่อนน้อม รักพวกพ้อง/ครอบครัว ไม่ชอบใช้ความรุนแรง(ถ้าไม่จำเป็น) และเมื่อต้องเผชิญหน้าสิ่งชั่วร้าย ก็พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อนำพาความสงบ(สันติ)สุขให้บังเกิดขึ้น
แต่ความที่ตัวละครนี้ราวกับเป็นคนสองบุคลิกภาพ Tom และ Joey ซึ่งเหมือนจะมีลักษณะแตกต่างตรงกันข้าม
- Tom Stall เป็นคนสุภาพอ่อนน้อม รักสงบ รักครอบครัว ไม่ชอบความรุนแรง ไม่เคยกระทำสิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ใคร
- Joey Cusack คือนักเลงหัวไม้ เคยปล้น-ฆ่า ก่ออาชญากรรม กระทำสิ่งผิดกฎหมายมากมาย
นักวิจารณ์ต่างประเทศถึงขนาดเปิดประเด็นถกเถียงกันว่า ตัวตนแท้จริงของตัวละครนี้คือ Tom หรือ Joey เพราะความสุภาพอ่อนน้อมมันดูปลอมๆ เฟคๆ (เหมือนชาวอเมริกัน) ผิดกลับเมื่อตอนแสดงความรุนแรง จัดการโจรกระจอก เจ้าพ่อมาเฟีย มีความเหี้ยมโหด หนักแน่น จริงจัง ชาติเสือไม่ทิ้งลาย … แบบไหนกันแน่ที่คือตัวตนแท้จริง
Mortensen ชื่นชอบการร่วมงานครั้งนี้มากๆ เวลาให้สัมภาษณ์ก็กล่าวสรรค์เสริญเยินยอ ผกก. Cronenberg ไม่เคยหยุดหย่อน แถมยังยกย่อง A History of Violence (2005) คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุดในฐานะนักแสดง
[David Cronenberg] has helped me do really good work, better than other directors. Maybe because he understands my process and because we have some things in common in terms of our sensibility — the kinds of books we like to read, our sense of humor is similar.
[A History of Violence (2005)] If not the best, it’s one of the best movies I’ve ever been in. There’s no such thing as a perfect movie, but in the way that that script was handled, the way it was shot … it’s a perfect film noir movie, or it’s close to perfect I should say.
Maria Elena Bello (เกิดปี 1967) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Norristown, Pennsylvania สำเร็จการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ Villanova University แต่กลับเลือกทำงานด้านการแสดง ฝึกฝนตนเองจะละครเวทีที่ New York, รับเชิญซีรีย์โทรทัศน์ มีชื่อเสียงจาก Mr. & Mrs. Smith (1996), ภาพยนตร์ Coyote Ugly (2000), The Cooler (2003), A History of Violence (2005), The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor (2008), Prisoners (2013) ฯลฯ
รับบท Edie Stall ภรรยาผู้ทุ่มเทความรักต่อสามี Tom Stall แม้จะมีบุตรชาย-สาว ก็ยังคอยหาเวลาปรนปรนิบัติ ทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งการมาถึงของ Carl Fogarty นำพาความหวาดระแวง วิตกจริต จึงพยายามซักไซ้ไล่เรียง จนได้รับคำตอบที่สร้างความตื่นตระหนก ตกตะลึง เลยต้องการผลักไสออกห่าง แต่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นี่เป็นบทบาทที่อาจถือว่าซับซ้อนยิ่งกว่า Tom/Joey เพราะการแสดงออกทางอารมณ์ที่หลากหลาย แรกๆเต็มไปด้วยความรักๆใคร่ๆ จากนั้นเคลือบแคลงสงสัย พอความจริงได้รับการเปิดเผยก็พยายามผลักไส ไฮไลท์คือขณะถูกข่มขืนตรงบันได และที่สุดคือน้ำตาจากความกล้ำกลืน ทั้งรักทั้งเกลียด ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป
การแสดงของ Bello ต้องถือว่าโดดเด่นที่สุดในหนัง (กว่าหนุ่มๆทั้งสามเสียอีกนะ!) สาวมั่นที่สามารถเปลี่ยนเจ้าพ่อมาเฟียให้กลายเป็นลูกแมวเหมียว ชุดเชียร์ลีดเดอร์น่ารักชิบหาย แต่หลังจากรับทราบข้อเท็จจริงต่างๆ ความหวาดกลัวค่อยๆบ่อนทำลายทุกสิ่งอย่าง สูญเสียความจงรัก แถมยังถูกบังคับ/ข่มขืนตรงบันได แถมการร่ำไห้ตอนจบยังสามารถตีความได้หลากหลาย
Edward Allen Harris (เกิดปี 1950) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Englewood, New Jersey, เติบโตขึ้นในครอบครัว Presbyterian ตอนเด็กชื่นชอบการเล่นฟุตบอลจนเป็นดาวของโรงเรียน แต่พอย้ายไปอยู่ New Mexico เกิดความสนใจด้านการแสดง สอบเข้า University of Oklahoma ตามด้วย California Institute of the Arts จบคณะวิจิตรศิลป์ (Bachelor of Fine Arts), เริ่มทำงานจากเป็นนักแสดงละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์สร้างชื่อคือ The Right Stuff (1984), ผลงานเด่นๆ อาทิ Apollo 13 (1995), The Truman Show (1998), Pollock (2000), A Beautiful Mind (2001), The Hours (2002), A History of Violence (2005) ฯลฯ
รับบทชายตาเดียว Carl Fogarty คู่อริเก่าของ Joey Cusack ไม่เคยหลงลืมสิ่งที่ชายคนนี้เคยฝากรอยแผลไว้ พยายามหยุดยับยั้งชั่งใจ เพราะต้องการทำตามคำสั่งหัวหน้า Richie Cusack นำพา Joey กลับไปยัง Philadelphia เฝ้ารอคอยโอกาส แอบติดตาม (Stalker) จนสามารถจับบุตรชายเป็นตัวประกัน ไม่ได้ครุ่นคิดจะแก้ล้างแค้นโดยพลัน แต่เหตุการณ์กลับเกินเลยเถิดไปไกล
แค่ภาพลักษณ์ตาเดียวของ Harris ก็สร้างความโดดเด่นให้ตัวละครมากๆ -พลาดเข้าชิง Oscar ไปได้อย่างไร?- วางมาดๆเข้มๆ บุคลิกเจ้าพ่อมาเฟีย พยายามใช้คำพูดโน้มน้าว แบล็กเมล์ ไม่ต้องการใช้ความรุนแรง แต่เมื่อสถานการณ์พาไปก็จำเป็นต้องจัดการขั้นเด็ดขาด
จะว่าไปบทบาทนี้คือ ‘ภาพจำ’ ที่ใครหลายๆคนเวลานึกถึง Harris ก็คงเหี้ยมๆโหดๆ สงบลุ่มลึกประมาณนี้อยู่แล้ว ผิดกับ Hurt ที่จับพลัดจับพลูเข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor เพราะเป็นการพลิกบทบาทที่สร้างความตกตะลึง คาดไม่ถึง … แต่ผมรู้สึกเหมือนคณะกรรมการของ Academy โหวตผิดคนหรือเปล่า?
William McChord Hurt (เกิดปี 1950) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Washington, D.C. โตขึ้นเข้าเรียน Juilliard School ร่วมชั้นกับ Christopher Reeve, Robin Williams มุ่งสู่ละครเวที ตามด้วยภาพยนตร์แจ้งเกิด Altered States (1980), โด่งดังกับ Body Heat (1981), คว้า Oscar: Best Actor เรื่อง Kiss of the Spider Woman (1985), ได้เข้าชิงกับ Children of a Lesser God (1986), Broadcast News (1987), A History Of Violence (2005) ฯลฯ
รับบท Richie Cusack เจ้าพ่อมาเฟีย ‘irish mob’ แห่ง Philadelphia พี่ชาย(ไม่แท้)ของ Joey เคยเสี้ยมสอนชี้แนะนำอะไรๆมากมาย แต่จู่ๆน้องชายกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ พยายามสืบเสาะค้นหา จนหลายสิบปีถัดมาบังเอิญพบเห็นข่าวใหญ่ Tom Stall วีรบุรุษแห่ง Indiana จึงมอบหมายลูกน้องที่เคยเป็นคู่อริเก่า Carl Fogarty ให้ไปลากพาตัวกลับมา อยากจะพบเจอหน้ากันอีกสักครั้ง
แม้ปรากฎตัวไม่ถึงสิบนาที กลับได้เข้าชิง Oscar: Best Supporting Actor อย่างไม่มีใครคาดคิดถึง! นั่นอาจเพราะเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ Hurt มองจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้ดูเหมือนเจ้าพ่อมาเฟียเลยสักนิด! แต่กลับวางมาดสุดเนี๊ยบ แสดงความโหดเหี้ยม สั่งฆ่าน้องชายอย่างเลือดเย็นชา ไฮไลท์คือพอตระหนักถึงความผิดพลาด เกิดอาการหวาดหวั่นสั่นสะพรึงกลัว เหมือนจะรู้สาสำนึกผิด ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินแก้ไข
ถ่ายภาพโดย Peter Suschitzky (เกิดปี 1941) สัญชาติอังกฤษ สำเร็จการศึกษาด้านการถ่ายภาพจาก Institut des hautes études cinématographiques เริ่มงานเป็นเด็กตอกสเลท, ควบคุมกล้อง, ถ่ายภาพเรื่องแรก It Happened Here (1964), โด่งดังจาก The Rocky Horror Picture Show (1975), Valentino (1977), The Empire Strikes Back (1980), แล้วกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ David Cronenberg ตั้งแต่ Dead Ringers (1988)
งานภาพของหนังอาจไม่ได้หวือหวา เต็มไปด้วยเทคนิคลีลา เมื่อเทียบผลงานเก่าๆของผกก. Cronenberg แต่ก็ยังคงไว้ลายด้วยอารัมบท Long Take ความยาว 4 นาทีครึ่ง เน้นความเรียบง่าย ดิบเถื่อน ตรงไปตรงมา และแทบทุกช็อตฉากมักต้องมีความมืดปกคลุม (เพื่อสื่อถึงบางสิ่งอย่างถูกปกปิดซ่อนเร้น)
แม้พื้นหลังของหนังจะคือเมืองเล็กๆในรัฐ Indiana แต่สถานที่ถ่ายทำหลักๆนั้นคือ Millbrook, Ontario เมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Toronto (ปัจจุบันก็ยังถือว่าเล็กอยู่นะครับ มีประชากรหลักพันคนเท่านั้นเอง)
ถ้าเป็นหลายๆผลงานก่อนหน้า ผกก. Cronenberg มักจะใช้ Opening Credit สำหรับอารัมบท สร้างบรรยากาศให้กับหนัง A History of Violence (2005) กลับเริ่มต้นด้วย Long Take ความยาว 4 นาทีครึ่ง นำเสนอเรื่องราวของชายสองคนออกมาจากห้องพักโรงแรม เตรียมตัวกำลังจะออกเดินทางต่อ แต่มันกลับมีความแปลกๆ ทะแม่งๆ
- ชายมีอายุ เหมือนเป็นจอมบงการ พูดจาในเชิงบีบบังคับ ออกคำสั่งให้อีกฝ่ายทำโน่นนี่นั่น
- อีกคนหนึ่งได้ก้มหัว ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่สามารถต่อต้านขัดขืน แม้ฝืนความต้องการ ดูไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
หลังจาก Long Take สิ้นสุดลง ผู้ชมก็สามารถตระหนักได้ว่าสองคนนี้มันคือโจรกระจอก ปล้น-ฆ่า-ข่มขืน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากๆว่าอาจล้อความสัมพันธ์ระหว่าง Richie และ Joey Cusack เมื่อครั้นที่พวกเขายังเป็นพี่น้อง ร่วมก่ออาชญากร ก่อนไต่เต้าเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย รวมถึงบอกใบ้หนึ่งในเหตุผลที่ Joey ตัดสินใจทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ (เพราะเบื่อหน่ายการถูกบีบบังคับ สั่งให้ทำในสิ่งที่ฝืนความต้องการของตนเอง)
ใครเคยรับชม Crash (1996) ก็น่าจะตระหนักว่าผกก. Cronenberg เชี่ยวชาญการนำเสนอ ‘Sex Scene’ เสียเหลือเกิน ซึ่งเรื่องนี้จะมีทั้งหมดสองครั้ง ในลักษณะแตกต่างตรงกันข้าม! (หรือจะเรียกว่าแนวดิ่งกับแนวนอน)
ครั้งแรกตอนต้นๆเรื่อง เริ่มจากภรรยา Edie สวมใส่ชุดเชียร์ลีดเดอร์ ทำตัวเหมือนสาวแรกรุ่น ระริกระรี้ ร่านราคะ รุกเข้าหาจากการ ‘blow job’ ให้เขานอนราบบนเตียง จากนั้นสลับตำแหน่ง แล้วผลัดกันช่วยเหลืออีกฝั่งฝ่าย (ท่า 69) เหล่านี้แฝงนัยยะของความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างชาย-หญิง ก่อนสิ้นสุดลงด้วย Tom นอนโอบกอดเข้าข้างหลัง (และหันหน้าเข้าหากัน) สัญลักษณ์ของการพึ่งพาพาอาศัย เธอคือบุคคลทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงไป … นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อดีตอาชญากร Joey Cusack ยินยอมละทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อกลายมาเป็น Tom Stall ชายผู้อุทิศชีวิตให้ภรรยาและครอบครัว
ทำไมเหตุการณ์วุ่นๆต้องมาเกิดขึ้นยังร้านอาหาร? เพราะมันเป็นสถานที่แห่งการ ‘บริโภค’ ไม่ใช่แค่ดื่มกาแฟ รับประทานอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น ยังคือศูนย์กลางสำหรับพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับรู้ข่าวสาร ใครต่อใครมักต้องแวะเวียนมาใช้บริการ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในสถานที่แห่งนี้
ร้านอาหารมันคือสถานที่โคตรคลาสสิกแห่งความวุ่นวาย อย่างโรงเตี๊ยมในหนังจีนกำลังภายใน (พังทุกเรื่อง!) ผับบาร์ในหนังคาวบอย อาจเพราะในอดีตมันไม่ค่อยมีสถานที่สำหรับพบปะสังสรรค์ให้เกิดความขัดแย้งมากนัก เมื่อเทียบกับปัจจุบันมีร้านอะไรก็ไม่รู้มากมายเต็มไปหมด ร้านสะดวกซื้อ บ่อนคาสิโน ธนาคาร ร้านทอง ฯลฯ การต่อสู้ในร้านอาหารจึงลดลงไปพอสมควร
เกร็ด: ร้านอาหารแห่งนี้ไม่มีอยู่จริงนะครับ เห็นว่าก่อสร้างขึ้นในสตูดิโอ Toronto Film Studios และยังต้องตกแต่งภายนอกให้มองออกไปเหมือนท้องถนนในชุมชนเมืองอีกต่างหาก
ดวงตาข้างหนึ่งของ Carl Fogarty สะท้อนการกระทำในอดีตของ Joey Cusack คือสิ่งที่ไม่สามารถลบเลือน บิดเบือน รักษาหาย “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ต่อให้พยายามเล่นละคอนตบตา แสร้งว่าไม่เคยทำอะไรอย่างนั้น แต่สักวันหนึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมได้รับการเปิดเผยออกมา
เกร็ด: ตามต้นฉบับ ‘graphic novel’ มันจะมีสิ่งที่ Carl Fogarty พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา นั่นคือนิ้วก้อยของ Joey Cusack ซึ่งเป็นนิ้วเดียวกับ Tom Stall ที่ขาดหายไป (ภายหลังยังมีการพิสูจน์ DNA ค้นพบว่าคือบุคคลเดียวกัน เลยทำให้เขาต้องรับสารภาพต่อตำรวจ) แต่หนังตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเพื่อสร้างความเคลือบแคลงสงสัย เพียงคำกล่าวอ้างย่อมไม่หนักแน่นเท่าหลักฐานวัตถุ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุตรชาย Jack Stall (รับบทโดย Ashton Holmes) สามารถตีความได้หลากหลายเหตุผล
- อิทธิพลจากบิดา เพื่อนฝูง สังคมรอบข้าง, ถูกหัวโจ๊กในโรงเรียนพูดคำท้าทาย ดูถูกต่อว่า พอลามปามถึงแฟนสาวและบิดา ก็มิอาจอดรนทน จึงพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายออกมา
- ความรุนแรงถูกปลูกฝังมาจากพันธุกรรม DNA ซึ่งสามารถเหมารวมถึงจากบิดา Tom/Joey หรือคือสันชาตญาณเอาตัวรอด เลยหยิบปืนลูกซองขึ้นมาเป่าขมอง Carl Fogarty มองได้เป็นการป้องกันตัว
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน ตัวละครนี้คือตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่จักได้รับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆรอบข้าง สื่อภาพยนตร์ โทรทัศน์ สังคมออนไลน์ ฯลฯ ต่างปลูกฝังการใช้อารมณ์ ความรุนแรง ตอบโต้ศัตรูด้วยวิธีการ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ พบเห็นใครต่อใครทำกัน ทำไมฉันถึงลอกเลียนตามบ้างไม่ได้?
ตรงกันข้ามกับ Sex Scene ตอนต้นเรื่อง นี่เป็นช่วงเวลาที่ Edie เต็มไปด้วยอคติ ไม่พึงพอใจต่อสามี Tom แม้ยินยอมเล่นละคอนตามน้ำระหว่างให้การกับตำรวจ แต่เธอยังปฏิเสธยกโทษให้อภัย เขาจึงพยายามติดตามงอนง้อ ฉุดกระชากลากเธอลงมาร่วมรักตรงบันได … ทั้งท่วงท่า Missionary (ชายอยู่เบื้องบน) และการใช้ความรุนแรงระหว่างร่วมรัก นี่คือลักษณะของการบีบบังคับ อีกทั้งฝ่ายหญิงก็ดูไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจ จะเรียกว่าการข่มขืน (Rape) ก็ได้กระมัง
อาจมีหลายคนไม่เห็นด้วยนัก แต่ผมมองว่านี่คือสีสันของชีวิตคู่ เมื่อสามี-ภรรยาเกิดความขัดแย้ง โต้ถกเถียง หาข้อสรุปกันไม่ได้ บางครั้งการฉุดกระชาก ใช้ความรุนแรงขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือทำออกมาในลักษณะข่มขืนใจ โดยไม่รู้ตัวมันกลับสามารถแก้ปัญหา หวนกลับมาคืนดี … การจะทำเช่นนี้ต้องดูคู่ของคุณให้ดีๆนะครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะยินยอมรับได้จริงๆ
เกร็ด: เพราะรู้ว่าฉากนี้นักแสดงต้องเจ็บตัวกันแน่ๆ ผกก. Cronenberg เลยสอบถามทีมสตั๊นแมนว่ามี ‘stunt pad’ ที่ทำให้บันไดนุ่มลงไหม? มันจะไปมีได้ยังไง นักแสดงเล่นจริงเองทั้งหมด เลยไม่แปลกที่ฉากถัดๆมาจะพบเห็นรอยแผลด้านหลังของ Maria Bello
คฤหาสถ์ของ Richie Cusack ไม่ได้ดูโอ่โถง รโหฐาน แต่เน้นความคลาสสิก มีมนต์ขลัง สร้างบรรยากาศและการจัดแสงคล้ายๆ The Godfather (1972) โดยเฉพาะรูปภาพม้าด้านหลัง (ชวนให้นึกถึงฉากเชือดคอม้า) เหมือนว่าพี่-น้อง (Richie & Joey) ต่างก็ชื่นชอบสัตว์สายพันธุ์นี้ (เลยมีสองภาพวาด)
การใช้ม้าสื่อแทน Riche & Joey น่าจะสื่อว่าพวกเขาต่างกำลัง(ควบม้า)หลบหนีอะไรบางอย่าง
- Riche เพราะเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ย่อมถูกตำรวจหมายหัว ขณะนี้อาจกำลังกบดาน ซุกซ่อนตัว
- สำหรับ Joey พยายามมานับสิบปีเพื่อหลบหนีอดีต ไม่ต้องการหวนกลับหา Riche ก่ออาชญากรรมอีกต่อไป
เกร็ด: ต้นฉบับ ‘graphic novel’ ใช้สัญชาติมาเฟีย Italian Mob แต่เพราะหนังได้นักแสดง William Hurt เลยเปลี่ยนมาเป็น Irish Mob ดูเหมาะสมกว่า
ขณะที่พวกลูกกระจ๊อกถูกจัดการภายในคฤหาสถ์ หัวโจ๊กอย่าง Riche กลับโดนยิงแสกหน้าบริเวณประตูหน้าบ้าน คำพูดประโยคสุดท้ายก่อนตาย “Jesus, Joey”. ราวกับต้องการร้องขอ Joey โปรดยกโทษให้อภัยฉัน แต่มันก็สายเกินแก้ไข แล้วทิ้งตัวลงนอนกางแขนสองข้าง เหมือนท่าถูกตรึงไม้กางเขน
การตายของ Riche สามารถมองเป็นความเสียสละ(ของพระเยซูคริสต์)เพื่อให้ Tom/Joey ได้ถือกำเนิด เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งคำพูดประโยคแรกหลังเหตุการณ์นี้ “Jesus, Riche”. รำพันถึงความสูญเสียดาย ทำไมนายต้องบีบบังคับให้ฉันทำแบบนี้ … ต่างคนต่างเห็นพระเยซูคริสต์ในกันและกัน
ปล. หลายคนอาจไม่ทันตระหนักว่าการตรึงพระเยซูที่กางเขน (Crucifixion of Jesus) สามารถสื่อถึงประวัติความรุนแรง ‘History of Violence’ ของมวลมนุษยชาติได้เช่นกัน
หลังปิดบัญชี ชำระแค้น ทำลายทุกสิ่งอย่างหมดสิ้น Tom Stall เดินลงมาจากคฤหาสถ์ (ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้เบื้องหลัง) ถึงยังทะเลสาปในอุทยาน Rockwood Conservation Area ถอดเสื้อ ชำระร่างกาย ให้ความรู้สึกเหมือนการจุมศีล (Baptists) พิธีกรรมของศาสนาคริสต์ ที่คือสัญลักษณ์ของการถือกำเนิด เริ่มต้นชีวิตใหม่ (ตอนเช้าตรู่ ก็สื่อถึงการเริ่มต้นวันใหม่) เพื่อบอกว่าต่อจากนี้ฉันจะไม่หวนกลับเป็น Joey Cusack อีกต่อไป!
Tom รับรู้ดีว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายบังเกิดขึ้นเพราะตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงหยุดยืนอยู่ด้านหลัง ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด เพียงจับจ้องมอง เฝ้ารอคอย แม้ไม่ได้พูดเอ่ยคำใดๆ แต่ภาษากายเช่นนี้หมายถึงการร้องขอโอกาสจากทุกคนอีกสักครั้ง!
ขณะที่ภรรยาและบุตรชายนั่งนิ่งเฉย ไม่รู้จะทำอะไรยังไง แต่กลับเป็นบุตรสาวที่ยังไม่รับรู้เดียงสา เดินไปหยิบจานของบิดามาวางบนโต๊ะ นั่นทำให้เขาเกิดความตระหนักถึงภาระหน้าที่ ‘บิดา’ ถึงบังเกิดความกล้า เดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ ได้รับแสงไฟสาดส่องบนใบหน้าอีกครั้ง
สิ่งน่าสนใจสุดๆของฉากนี้คือปฏิกิริยาของภรรยา Edie Stall จู่ๆเธอก็ร่ำร้องไห้ออกมา นี่ไม่ใช่อาการเศร้าโศกเสียใจ แต่สามารถตีความได้หลากหลาย อาทิ
- บางคนครุ่นคิดว่าคือความตื้นตัน ดีใจที่เขาสามารถหวนกลับมาอย่างปลอดภัย
- แต่ผมมองว่าคือความกล้ำกลืน ทั้งรักทั้งเกลียด ยังไม่สามารถยกโทษให้อภัยสามี แต่ก็มิอาจพลัดพรากเลิกราจากเขา เลยไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป
- ขณะเดียวกันชวนให้นึกถึงความสิ้นหวังเหมือนตัวละคร Ben Affleck จากภาพยนตร์ Gone Girl (2014) เมื่ออีกฝ่ายหวนกลับมาในฐานะฆาตกร แล้วฉันจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร
ตอนจบปลายเปิดลักษณะนี้ก็เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ชม ว่ามนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อม’ประวัติความรุนแรง‘ฝังรากลึกในจิตวิญญาณ บางคนอาจเคยกระทำสิ่งชั่วร้าย เข่นฆ่าคนตาย ก่ออาชญากรรมนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในฐานะคนรัก บุคคลในครอบครัว ประเทศชาติของเรา คุณจะสามารถยินยอมรับ ยกโทษให้อภัย อโหสิกรรมกันได้หรือไม่?
ตัดต่อโดย Ronald Sanders สัญชาติแคนาดา ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ David Cronenberg ตั้งแต่ผลงาน Fast Company (1979)
นอกจากอารัมบท หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของชายอ้างว่าคือ Tom Stall แต่การมาถึงของชายตาเดียว Carl Fogarty ทำให้ข้อเท็จจริงหลายๆอย่างค่อยๆได้รับการเปิดเผย จนในที่สุดเขาก็ยินยอมรับว่าตนเองคือ Joey Cusack หวนกลับไปจัดการอดีต เพื่อต่อจากนี้จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
- อารัมบท, ความชั่วร้ายของสองโจรกระจอก
- ชีวิตประจำวันของ Tom Stall และครอบครัว
- ตื่นเช้า ไปทำงาน ได้รับการเซอร์ไพรส์จากภรรยา
- บุตรชายหลังคาบเรียนกีฬา มีปัญหากับเพื่อนร่วมห้อง
- การมาถึงของปัญหา
- จู่ๆสองโจรกระจอกบุกเข้ามาในร้านอาหาร เลยถูก Tom กำราบจนสิ้นสภาพ
- แต่ชื่อเสียงก็นำพาปัญหาใหม่ การมาถึงของชายตาเดียว Carl Fogarty พยายามพูดบอกว่าเขาคือ Joey Cusack
- Carl พยายามติดตามตื้อ สร้างความหวาดระแวง และในที่สุดก็จับบุตรชายเป็นตัวประกัน
- หวนกลับไปแก้ไขอดีต
- แม้สามารถเอาตัวรอดจาก Carl แต่ทำให้ Tom ต้องสารภาพความจริงกับภรรยา แล้วพยายามงอนง้อขอคืนดี
- พอได้รับโทรศัพท์จาก Richie Cusack เขาเลยตัดสินใจหวนกลับไปจัดการอดีต
- หลังจากทุกสิ่งอย่างผ่านพ้น Tom ก็หวนกลับมาบ้าน
‘สไตล์ Cronenberg’ มักมีการดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดออกทีละเล็ก เพื่อสร้างความลึกลับ ฉงนสงสัย สำหรับ A History of Violence (2005) เริ่มจากตั้งคำถามว่า Tom Stall คือ Joey Cusack หรือไม่? ช่วงแรกๆพยายามปฏิเสธหัวชนฝา จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งก็มิอาจปกปิด เล่นละคอนตบตาอีกต่อไป นั่นทำให้เขาต้องหวนกลับไปชำระแค้น ปิดบัญชีอดีต และตอนจบก็เปิดอีกประเด็นให้ผู้ชมขบครุ่นคิด เมื่อความจริงเปิดเผย ทุกสิ่งอย่างยังสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกไหม?
แซว: หนังชื่อ ‘A History’ แต่กลับไม่มีฉากย้อนอดีต (Flashback) เลยสักครั้ง! ทุกช็อตฉากล้วนเป็นปัจจุบัน (จริงๆมี Delete Scene 44 ที่เป็นฉากในความฝัน แต่ถูกตัดออกเพราะมันไม่เข้ากับหนัง) มีเพียงการพูดเล่าถึงวันวาน และหวนกลับไปชำระแค้น ปิดบัญชี เพื่อจะได้ตัดขาดจากอดีตอย่างสมบูรณ์
เพลงประกอบโดย Howard Leslie Shore (เกิดปี 1946) นักแต่งเพลงชาว Canadian เกิดที่ Toronto, Ontario ค้นพบความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ มีความสามารถเล่นดนตรีได้หลากหลาย เลยเข้าเรียนต่อ Berklee College of Music จากนั้นเป็นสมาชิกวงดนตรี Lighthouse แนว Jazz Fusion, ต่อด้วย Music Director ให้รายการโทรทัศน์อย่าง Saturday Night Live, สำหรับภาพยนตร์ได้รับคำชักชวนจาก David Cronenberg เริ่มต้นครั้งแรก The Brood (1979), The Dead Zone (1983), The Fly (1986), Dead Ringers (1988), Naked Lunch (1991), Crash (1996), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Silence of the Lambs (1991), Ed Wood (1994), Se7en (1995), The Game (1997), The Lord of the Rings trilogy (2001-03) ** คว้ารางวัล Oscar ทั้งหมด 3 ครั้ง, Gangs of New York (2002), The Aviator (2004), Hugo (2011) ฯลฯ
หลังความสำเร็จจาก LOTR งานเพลงของ Shore มักมุ่งเน้นความนุ่มลึก เนิบนาบ มอบสัมผัสเหมือนมีบางสิ่งอย่างซุกซ่อนเร้น (นี่คือสไตล์เพลงที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ Shore) และโดยไม่รู้ตัวหลายๆท่วงทำนองของ A History of Violence (2005) ติดกลิ่นอาย Hobbiton
อย่างบทเพลงแนะนำตัวละคร Tom แค่ทำนองท่อนแรกก็ทำเอาผมหูผึ่ง มีความมักคุ้นเคยยิ่งนัก ไม่ได้คัทลอกมาเหมือนเป๊ะ แต่กลิ่นอาย สไตล์ลายเซ็นต์ มอบความรู้สึกเบาสบาย พักผ่อนคลาย และเมืองเล็กๆอันสงบสุขแห่งนี้ แทบจะไม่แตกต่างจาก Hobbiton
ความสงบสันติสุข จู่ๆถูกรบกวนด้วยบทเพลง Diner เสียงเครื่องสายราวกับสัญญาณเตือนภยันตราย บางสิ่งอย่างชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา จากนั้นเครื่องเป่าด้วยท่วงทำนองรุกเร้า เพื่อนำเสนอเหตุการณ์อันเลวร้าย บังเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดถึง ก่อนจบลงด้วยความสงบเงียบงัน ตกตะลึง อ้าปากค้าง
ชื่อบทเพลง Hero มันควรเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ภาคภูมิใจในการได้รับยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษ แต่เพลงนี้กลับมีท่วงทำนองหวาดหวั่น วิตกกังวล แม้ท่วงทำนองจะมีการไล่ระดับตัวโน๊ตจากต่ำขึ้นสูง แต่มันกลับไร้ซึ่งความยินดีปรีดา เพราะบางสิ่งอย่างชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้าหา … ถ้าเลือกได้ฉันไม่ขอเป็นวีรบุรุษดีกว่า!
บทเพลงที่ผมชื่นชอบสุดในอัลบัมคือ The Staircase (ตอนขืนใจตรงบันได) และ The Return (การกลับมาหลังจัดการอดีตเสร็จสิ้น) ต่างมีท่วงทำนองเดี๋ยวดัง-เดี๋ยวเบา วูบๆวาบๆ เหมือนลมหายใจเข้า-ออก อย่างเร่งรีบและผ่อนคลาย นั่นคือความรู้สึกสับสนว้าวุ่นวาย โล้เล้ลังใจ ยังรักเขามากแต่ก็เต็มไปด้วยอคติ ไม่พึงพอใจต่อทุกสิ่งอย่างที่ถูกปกปิด การร่วมรักครั้งนี้ทั้งเจ็บปวด ทั้งสุขกระสันต์ ทั้งรักทั้งชัง และเมื่อเขากลับมาก็มิอาจกลั้นธารน้ำตาไม่ให้ไหลหลั่ง มันช่างเป็นความรู้สึกอันซับซ้อน ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป
Tom Stall แม้พยายามใช้ชีวิตอย่างสงบสันติสุขอยู่ร่วมกับภรรยาและบุตรชาย-สาว แต่ในอดีตเขาเคยมีประวัติความรุนแรง ‘History of Violence’ จากการเป็นจอมโจร ปล้น-ฆ่า-ข่มขืน อดีตอาชญากรชื่อจริง Joey Cusack พี่น้องร่วมสาบานเจ้าพ่อมาเฟีย Richie Cusack
บุตรชายของ Tom เป็นเด็กเรียบร้อย รักสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่ชอบใช้ความรุนแรง แม้ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนนักเรียน ก็ยังสามารถควบคุมสติอารมณ์ จนกระทั่งเมื่ออีกฝ่ายพยายามพาดพิงถึงบิดา บุคคลที่ตนเคารพรักที่สุด จึงเกิดอาการฟิวขาด มิดอาจอดกลั้นฝืนทน ออกหมัดชกต่อยทำร้ายร่างกาย … ราวกับความรุนแรงได้ถูกส่งต่อผ่านพันธุกรรม ปลูกฝังอยู่ใน DNA (หลังรับรู้ว่าบิดาจัดการกับโจรกระจอก ตนเองเลยทำเช่นนั้นบ้างกับหัวโจ๊กในโรงเรียน)
ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ยุคบุกเบิกสร้างชาติก็เริ่มต้นด้วยการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองอินเดียแดงจนหมดสูญสิ้น ทั้งยังใช้แรงงานทาสผิวสี นิสัยชอบกดขี่ข่มเหงของคนมั่งมี เรียกว่าเป็นประเทศที่มีประวัติความรุนแรงอันดับต้นๆของโลกก็ว่าได้! … ด้วยเหตุนี้พื้นหลังของหนังจึงคือเมืองเล็กๆในสหรัฐอเมริกา (แม้จะถ่ายทำยังแคนาดาก็ตามเถอะ)
“A History of Violence” has three levels: It refers (1) to a suspect with a long history of violence; (2) to the historical use of violence as a means of settling disputes, and (3) to the innate violence of Darwinian evolution, in which better-adapted organisms replace those less able to cope.
David Cronenberg
จริงๆแล้วหนังไม่ได้มีแค่สามระดับความรุนแรงตามที่อธิบายมา แต่ยังมีอีกขั้นหนึ่งที่สะท้อนตัวตนผกก. Cronenberg นับตั้งแต่ The Brood (1979) ที่ใช้งานศิลปะ/สื่อภาพยนตร์ ระบายความอึดอัดอั้นทรวงใน นำเสนอการใช้ความรุนแรงกระทำร้าย(อดีต)ภรรยา ทำให้บังเกิดความสุขสงบ รู้สึกโคตรพึงพอใจ
แทบทุกๆผลงานของผกก. Cronenberg ล้วนเต็มไปด้วยความรุนแรงระดับสุดโต่ง! ตั้งแต่สมัยสรรค์สร้าง ‘body horror’ ที่เน้นความอัปลักษณ์ น่าขยะแขยง การแสดงออกทั้งกาย-วาจา-ใจ ข่มขืนเพศสัมพันธ์ ขับรถพุ่งชนกัน ชกต่อยทำร้ายร่างกาย เข่นฆาตกรรมให้อีกฝ่ายตกตาย ฯลฯ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขานิยมชมชอบความรุนแรงนะครับ ตัวจริงเป็นคนโคตรสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน (แบบเดียวกับ Tom Stall และ Viggo Mortensen) เพียงตระหนักถึงอิทธิพล ความสำคัญ ครุ่นค้นพบว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน สันชาตญาณ DNA ของทุกสรรพชีวิต
ความรุนแรงไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร นี่คือคำพูดของพระนะครับ เพื่อสอนให้มนุษย์เรียนรู้จักการควบคุมสติอารมณ์ ทำจิตใจให้สงบ ถึงจักค้นพบความสุขจากภายใน ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความรุนแรงที่มักสร้างความเกรี้ยวกราด กระทำสิ่งที่สร้างเวรสร้างกรรม ให้มันหวนกลับมาเกิดขึ้นกับเราซ้ำๆในภพชาติถัดๆไป
แต่ความรุนแรงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไปนะครับ จริงอยู่ว่าความสงบสันติสุขย่อมดีกว่า “นิ่งสงบสยบทุกปัญหา” แต่โลกยุคสมัยนี้มันมีคนบางจำพวกที่เคยจองเวรจองกรรม เจ้ากรรมนายเวรกันไว้ สลิ่ม-สามกีบ ไม่มีทางพูดคุยต่อรอง หาหนทางออกร่วมกัน ความรุนแรงจึงอาจเป็นวิธีแก้ไขปัญหา บทเรียนสอนอีกฝั่งฝ่าย ระบายความอึดอัดอั้น เพื่อให้เราสามารถธำรงชีพรอดในสังคม
ถึงอย่างนั้นหนทางออกที่ถูกต้องจริงแท้! คือการอโหสิกรรม ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ยกโทษให้อภัยกันไม่ได้ การใช้ความรุนแรงมันจะยิ่งผูกมัดรัดตัวเรากับอีกฝั่งฝ่าย สาปแช่งเผาพริกเผาเกลือ กลับจะทำให้เรากงเกวียนกำเกวียน วนเวียนกลับมาพบเจอหน้าทุกๆชาติไป
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes แม้เสียงตอบรับจะดียอดเยี่ยม แต่กลับไม่สามารถคว้ารางวัลใดๆติดไม้ติดมือกลับมา คาดว่าเพราะถูกเปรียบเทียบกับ Caché (2005) และ Sin City (2005) ที่ต่างก็เป็นภาพยนตร์นำเสนอความรุนแรง แต่มีลูกเล่นลีลา ความงดงามทางศิลปะโดดเด่นชัดกว่า
A HISTORY OF VIOLENCE is a powerful insight into America’s obsession with violence and how it relates to the roles we play, the disguises we choose and the truth in those choices. With surprises at every turn, the film turns classic movie elements on their head and asks us to look at genre from a new perspective. Sexy and bloody, alluring and revolting, the film’s delicate balancing act is artfully captured in each suspense-filled shot by David Cronenberg and his gifted creative ensemble.
คำนิยมของ AFI Awards: Movie of the Year
ด้วยทุนสร้าง $32 ล้านเหรียญ ทำเงินในสหรัฐอเมริกา $31.5 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $60.3 ล้านเหรียญ (นี่เป็นตัวเลขเกือบจะสูงสุดในบรรดาผลงานของผกก. Cronenberg เลยนะ!) ถ้ารวมยอดจำหน่าย Home Video ก็น่าจะทำกำไรคืนกลับมา
เกร็ด: ว่ากันว่า A History of Violence (2005) เป็นภาพยนตร์เรื่องเกือบๆสุดท้าย ที่มีการผลิตม้วนวีดิโอ VHS (Video Home System) หลังจากนี้เทคโนโลยี Home Video ได้ก้าวสู่ยุคหนังแผ่น CD/DVD/Blu-Ray อย่างเต็มตัว
รับชมครานี้ทำให้ผมค้นพบความชื่นชอบ Maria Bello อาจไม่ได้สวยสาว หรือมีผลงานเด่นๆเยอะนัก แต่บทบาทนี้ของเธอเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน โดยเฉพาะตอนร่ำไห้ออกมา ชวนให้นึกถึง Gone Girl (2014) สร้างความกรีดกราย ชิบหายวายป่วน สั่นสะท้านทรวงใน ฉันจะใช้ชีวิตอยู่กับอาชญากร/ฆาตกรคนนี้ได้อย่างไร?
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบมากๆคือการตั้งคำถามถึงต้นตอ/ประวัติความรุนแรง ‘History of Violence’ คำตอบของผกก. Cronenberg มีที่มาที่ไปที่สลับซับซ้อนยิ่งนัก ฝากข้อคิดท้าทายคนรักสันติภาพ และเสียดสีสังคมอเมริกันได้อย่างเจ็บแสบ กระสันต์ซ่าน
A History of Violence (2005) คือโคตรหนังนัวร์ที่เหมาะสำหรับตำรวจ นักสืบ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ สถานรับเลี้ยง, นักศึกษาแพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา ครุ่นคิดค้นหาต้นตอของความรุนแรง, และโดยเฉพาะพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง มีบุตรหลานในช่วงวัยรุ่น ลองทำความเข้าใจพฤติกรรมต่อต้านสังคมของพวกเขาบ้างนะครับ
จัดเรต 18+ กับความรุนแรง อาชญากร ฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
Leave a Reply