Black Sabbath (1963)
: Mario Bava ♥♥♥♡
(mini Review) สามเรื่องสั้นละครึ่งชั่วโมง ที่จะทำให้คุณอกสั่นขวัญหาย ลุ้นระทึก จิดกัดเล็บ, สะพรึงไปกับ Boris Karloff ในบทแวมไพร์ (เรื่องเดียวที่รับบทผีดูดเลือด), โทรศัพท์เจ้าปัญหา ดังขึ้นไม่หยุดพร้อมคำขู่ฆ่า, และการลักขโมยของคนตาย นำพาซึ่งความหลอกหลอน
เกร็ด: วงดนตรีแนว Heavy Metal สัญชาติอังกฤษชื่อ Earth วันหนึ่งระหว่างเล่นคอนเสิร์ตสังเกตพบว่า ผู้ชมในงานมีปริมาณน้อยกว่าคนยืนรอต่อแถวซื้อตั๋วชมภาพยนตร์เรื่อง Black Sabbath ที่เพิ่งเข้าฉายในอังกฤษปี 1969 เลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงตาม ปรากฎว่าได้รับความนิยมถล่มทลายล้นหลาม!
หลังความสำเร็จระดับนานาชาติของ Black Sunday (1960) ทำให้ American International Pictures ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายหนัง ให้ความสนใจอยากร่วมงานผู้กำกับ Mario Bava ถ้าเป็นไปได้ก็ขอโปรเจคแนว Horror ลักษณะเดียวกันนี้เลย ซึ่งหลังเสร็จจาก The Girl Who Knew Too Much (1963) ก็เริ่มต้นพัฒนาเรื่องนี้โดยทันที
ด้วยค่านิยมยุคสมัยนั้น หนังร่วมทุนสร้างหลายๆประเทศ ชอบนำนักแสดงมีชื่อเสียง(ในอดีต) ค่าตัวไม่สูงมาก รับบทเล็กๆแต่ความสำคัญใหญ่ๆ จะทำให้ขายดีในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้
– สตูดิโอ American International Pictures ได้สองนักแสดงอเมริกัน Boris Karloff และ Mark Damon
– ขณะที่อีกสตูดิโอร่วมทุนของฝรั่งเศส Societé Cinématographique Lyre คว้าตัว Michele Mercier และ Jacqueline Pierreux
Bava ร่วมพัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับ Alberto Bevilacqua และ Marcello Fondato (แต่ขึ้นชื่อเครดิตเป็นนามปากกาทั้งหมด) โดยมีเป้าหมายคือ สร้างเรื่องราวมีความน่าหวาดสะพรึงกลัว จากยุคสมัยที่แตกต่างกัน ซึ่งแรงบันดาลใจของแต่ละตอน ล้วนมีแหล่งที่มาที่ไปจากหนังสือ/นวนิยาย/ตำนาน แตกต่างกันออกไป
The Telephone
Rosy (รับบทโดย Michèle Mercier) เป็นหญิงขายบริการ Call-Girl กลับมาพักผ่อนยังอพาร์ทเม้นต์ ได้รับโทรศัพท์ลึกลับนับครั้งไม่ถ้วน ค่อยๆได้รับการเปิดเผยว่าจากอดีตแมงดา Frank ที่เธอให้การมอบตัวเขาต่อตำรวจจับกุมขังคุก แต่ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นเพิ่งได้รับการปล่อยตัว จึงโทรศัพท์ติดต่อ Mary (รับบทโดย Lydia Alfonsi) อดีตสาวคนรัก (เป็นเลสเบี้ยนกัน) ร้องขอให้มาอยู่ด้วยสักคืน กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้ว …
ผมขอไม่สปอยตอนจบก็แล้วกัน แต่จะชี้ให้เห็นถึงนัยยะของเรื่องราว แฝงซ่อนเร้นถึงบุคคล/แมงดาจากอดีต เปรียบได้กับท่านผู้นำ Benito Mussolini เกาะกินปกครอง Italian Fascist มาอย่างยาวนาน แต่เมื่อถึงจุดจบพ่ายแพ้ล่มสลายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ใช่ว่าชาวอิตาเลี่ยนจะพบเจอความสุขสำราญ ต่างยังคงหวาดหวั่นสั่นสะพรึงกลัว สักวันถ้าใครสักคนขึ้นมาเป็นผู้นำในลักษณะคล้ายคลึงกัน ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยมันคงเลวร้ายบัดซบสิ้นดี! ขณะที่หญิงสาว Mary คงต้องย้อนไปถึงยุคสมัยก่อนหน้า Mussolini ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถ้าจะหวนกลับมา แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินแก้ไขไปหมดแล้ว
ไฮไลท์ของตอนนี้คือการถ่ายภาพ Long Take โดยมีโทรศัพท์เป็นจุดหมุน ผมว่าลึกๆอาจได้แรงบันดาลใจจาก Dial M for Murder (1954) ซึ่งตัวละครจะค่อยๆสูญเสียสติแตกขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป และโทรศัพท์ยังคงดึงขึ้นเรื่อยๆไม่จบสิ้น
เกร็ด: The Telephone คือเรื่องแรกของการถ่ายทำ และด้วยฟีล์มสีครั้งแรกของ Bava ด้วยเช่นกัน
The Wurdalak
ย้อนไปทศวรรษที่ 19 แถวๆ Century Russia เมื่อ Vladimir Durfe (รับบทโดย Mark Damon) หนุ่มชนชั้นสูง ระหว่างการเดินทางพบเจอศพหัวกุด มีดปักหลังทะลุหัวใจ นำพาขึ้นหลังม้าจนถึงบ้านหลังหนึ่ง พบเจอกริชดังกล่าวเป็นของบ้านหลังนี้ พูดคุยสนทนากันจนล่วงรู้ความจริงว่าคงเป็นบิดาของพวกเขา Gorca (รับบทโดย Boris Karloff) ที่ทำการออกไล่ล่าฆาตกรรายหนึ่งที่กลายร่างเป็น The Wurdalak หรือผีดิบดูดเลือด แต่ถ้าค่ำคืนนี้เขากลับมาหลังเที่ยงคืน แนวโน้มสูงมากๆว่าพ่อคงกลายเป็นแวมไพร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ในบรรดาทั้งสามเรื่อง The Wurdalak ถือว่ามีน้ำมีเนื้อหาเยอะยาวที่สุดแล้ว ส่วนตัวชื่นชอบสุดด้วย เพราะนัยยะของตอนสะท้อนถึงการค่อยๆเข้าครอบงำเปลี่ยนแปลงผู้คน จากมนุษย์กลายเป็นแวมไพร์เมื่อถูกกัด หรือคอมมิวนิสต์/ฟาสซิสต์, กล่าวคือ สมมติว่าบ้านเรามีพี่น้องคนหนึ่งที่เข้าพวกมาร์กซิสต์ กลับมักกลับมาพูดจาโน้มน้าวชักจูงจมูกสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ให้หันมาสนับสนุนส่งเสริม เข้าร่วมกับเป็นสมาชิกฝักฝ่ายเดียวกัน เพราะความรักจึงไม่อยากแตกแยกเลิกรา สุดท้ายเลยหมดเกลี้ยงทั้งบ้านไม่เหลือใคร (ฟาสซิสต์ ในทัศนคติของชาวอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ต่างอะไรจากแวมไพร์ ซอมบี้ น่าเกลียดกลัว อัปลักษณ์สิ้นดี)
ไฮไลท์ของตอนนี้คงต้องมอบให้กับการออกแบบ สร้างบรรยากาศ ที่สามารถสร้างความเย็นยะเยือก หวาดหวั่นระแวง ชักชวนให้ผู้ชมร่วมสงสัยไปด้วยกันว่า พ่อ Gorca ได้กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วหรือยัง (แต่ภาพลักษณ์ขนาดนั้นก็น่าจะบ่งบอกกันได้อยู่)
เกร็ด: เรื่องนี้ถ่ายทำเป็นตอนสุดท้าย และขณะนั้น Karloff ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ ทำให้ต้องมีถังออกซิเจนอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา
The Drop of Water
ช่วงประมาณ 1910s ที่กรุง London, นางพยาบาล Helen Chester (รับบทโดย Jacqueline Pierreux) ได้รับการติดต่อยามดึกดื่น จากคนใช้สูงวัยในคฤหาสถ์แห่งหนึ่ง ให้ช่วยเหลือแต่งตัวหญิงชราผู้ล่วงลับแบบปัจจุบันทันด่วน ใบหน้าของเธอแบบว่า หลอนชิบหาย! บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นแหวนมหานิล (Sapphire) ช่างดึงดูดใจ จึงลักลอบแอบขโมยมาครอบครองเป็นเจ้าของ, ขณะกลับมายังห้องพัก ราวกับเห็นภาพหลอน หยาดหยดน้ำมันช่างเสียงดังก้องกังวาล อลังการเว่อ และวิญญาณของหญิงชราผู้นั้นกลับมาปรากฎตัวให้เห็นตรงต่อหน้า
นัยยะของตอนนี้ คือการเสี้ยมสอนไว้ว่าอย่าไปกอบโกยผลประโยชน์จากคนตาย เพราะมันอาจกลับมาหลอกหลอนจนสามารถทำลายล้างตัวเราเองได้ ซึ่งก็คือหลังจุดสิ้นสุดของ Italian Fascist เป็นไปได้ก็อย่าไปยอกย้อน ยุ่งเกี่ยว ข้องแว้งอะไรกับมันอีกเลยเสียดีกว่า ปล่อยให้อะไรที่มันตายแล้วตายลับ ฝังกลบมันไว้อย่าให้หวนระลึกถึงอีกเลย มิเช่นนั้นโศกนาฎกรรมอาจหวนย้อนคืนกลับมาอีก
ในเรื่องความหลอน ผมว่าตอนนี้สะดุ้งโหยงสุดแล้ว โดยเฉพาะใบหน้าของหญิงชราที่แบบว่า ‘Out-of-the-World’ หลุดโลกมากๆ ราวกับว่าได้เห็นผีมาก่อนตาย และจุดจบของตัวละครมือบีดรัดคอตนเอง จริงๆสามารถมองได้ทั้งภาพหลอน/จิตสำนึกผิด/ถูกวิญญาณเข้าสิง แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่แค่เสียงหยดน้ำก็สามารถทำให้คนคลุ้มคลั่งเสียสติแตกได้!
ไฮไลท์ของตอนนี้คือการเล่นกับแสงสีสัน แรกๆดูเหมือนไม่มีอะไรเท่าไหร่ แต่พอผีมาละจ้าละหวั่น เขียว-แดง-ม่วง หรรษากับกงล้อแห่งสี หมุนเวียนสลับเปลี่ยนไปมาราวกับอยู่ในโลกแฟนตาซี เห็นมือด้านหลังนั่นไหมขาวซีด
สำหรับเพลงประกอบ มาม้วนเดียวกับ Black Sunday (1960)
– ฉบับอิตาเลี่ยนแต่งโดย Roberto Nicolosi (1914 – 1989) นักดนตรี Jazz ผันมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ในช่วงทศวรรษ 50s – 60s
– ส่วนฉบับอเมริกันเปลี่ยนมาเป็น Les Baxter (1922 – 1996) นักแต่งเพลง Swing Bands, Lounge music, Exotica โดยเน้นสัมผัสดนตรีที่มีความ Horror มากขึ้น
เรื่องนี้ผมโชคดีได้รับชมฉบับภาษาอิตาเลี่ยน รู้สึกว่าบทเพลงมีความพอดี เซ็กซี่ (กลิ่นอาย Jazz เล็กๆ) สร้างสัมผัสอันหลอกหลอนพอประมาณ ไม่คลุ้มคลั่งมากเกินไป ขณะที่ฉบับอเมริกันได้ยินว่าโดนตำหนิอย่างรุนแรงถึงความไม่งาม ‘inappropriate’ และทุกจังหวะตื่นตกใจ มีแต่บทเพลง ‘scary music’ ขาดรสนิยมและความสร้างสรรค์
ชื่อหนังภาษาอิตาเลี่ยนคือ I tre volti della paura แปลว่า The Three Faces of Fear ตรงตัวการใจความของทั้งสามตอน ที่นำเสนอภาพใบหน้าความหวาดสะพรึง ‘กลัว’ แตกต่างกันออกไป
– Telephone ความหวาดกลัวเกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง แสดงออกใบหน้าอันวิตกกังวล ว่าผลกรรมจากอดีตจะตามมาหลอกหลอนทันควัน
– The Wurdalak เป็นการตายที่ดูเป็นสุขเสียเหลือเกิน เพราะ(แทบ)ทุกคนฟื้นคืนชีพ ได้กลายเป็นอมตะร่วมกับคนรักชั่วนิรันดร์
– The Drop of Water หายนะจากความโลภละโมบเห็นแก่ตัวเอง เกิดเป็นภาพหลอน/จิตสำนึกผิด/วิญญาณผีตามมาทวงคืนของ อันนี้ผิดรูปอัปลักษณ์พิศดารที่สุดแล้ว
ความ Horror ที่เป็นหัวจิตหัวใจของหนังเรื่องนี้ ล้วนสามารถมองสะท้อนได้ถึงยุคสมัยการปกครองของท่านผู้นำ Benito Mussolini แห่ง Italian Fascist ความชั่วร้ายที่ถูกเปิดโปง ทำให้ชาวอิตาเลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตกตะลึง! อกสั่นขวัญผวา หลอกหลอนสั่นสยองไปถึงขั้วหัวใจ ปัจจุบันขณะนั้นพยายามอย่างยิ่งจะระแวดระวังภัย เพื่อไม่ให้คนแบบนั้นหวนกลับมาเป็นผู้นำประเทศชาติของเราอีก!
หนังไม่มีรายงานทุนสร้าง ทำเงินได้ 103.5 ล้าน Lira ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่, นำออกฉายอเมริกาควบกับ The Girl Who Knew Too Much เปลี่ยนชื่อเป็น Evil Eye และในอังกฤษคือ Black Sabbath ประสบความสำเร็จพอสมควร
จริงๆแล้วชื่อหนัง Black Sabbath ไม่ได้ต้องการให้สื่อความหมายอะไรเท่าไหร่ แต่เลือกชื่อนี้เพราะต้องการย้อนรอยความสำเร็จของ Black Sunday (1960) [คือมันก็ Black เหมือนกัน] และจากนิยามที่เคยให้ไว้ วันอาทิตย์ กับคนศาสนาคริสต์คงจะรับรู้ได้ว่าคือ Sabbath Day หรือวันสะบาโต (แปลว่าการพัก) เพราะหลังจากพระเจ้าสร้างโลกใน 6 วัน เหน็ดเหนื่อยเลยทรงพักผ่อนในวันที่ 7 เพื่อให้มนุษย์ได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่าง ถือเป็นวันบริสุทธิ์ห้ามทำกิจกรรมใดๆ จงพักผ่อน ให้ทำเฉพาะกิจกรรมที่ถวายแด่พระเจ้า เช่น การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ และขอบคุณพระเจ้า
Black Sunday/ Black Sabbath ย่อมหมายถึงการกระทำที่ขัดแย้งต่อประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือบูชาความชั่วร้าย ซาตาน ฟื้นคืนชีพคนตาย เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ นำพาขุมนรกมาให้มาบังเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์
เห็นว่ามีการวางแผนสร้างภาคต่อไว้ด้วย ตั้งชื่อ Scarlet Friday เพราะความที่ Karloff ประทับใจการร่วมงานกับ Bava เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับเป็นหมันไม่ได้รับอนุมัติทุนจากสตูดิโอ
Quentin Tarantino ได้รับอิทธิพลแรงบันดาลใจจาก Black Sabbath มากเหลือเกิน โดยเฉพาะโครงสร้างเรื่องราวตั้งต้นของ Pulp Fiction (1994) ตั้งใจให้มีสามเรื่องสั้นไม่ต่อเนื่องกัน
“What Mario Bava did with the horror film in Black Sabbath, I was gonna do with the crime film”.
– Quentin Tarantino
ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้ ประทับใจในไดเรคชั่น การสร้างบรรยากาศแห่งความหลอกหลอน ลุ้นระทึก อกสั่นขวัญหาย แถมเรื่องราวไม่ได้ไร้สาระไปเสียหมด ตอนที่สามเสี้ยมสอนใจคนได้ดีเยี่ยมเลยละ
จัดเรต 13+ กับภาพอันน่าหวาดสะพรึงกลัว
Leave a Reply