Hôtel du Nord (1938)
: Marcel Carné ♥♥♥♥
โรงแรม Hôtel du Nord ตั้งอยู่ริมคลอง Saint-Martin, กรุง Paris แต่ที่พบเห็นในหนัง สร้างฉากถ่ายทำในสตูดิโอทั้งหมด! เรื่องราวของคู่รักหนุ่ม-สาว ครุ่นคิดตั้งใจฆ่าตัวตายตามกัน แต่เมื่อทำไม่สำเร็จพลันให้เกิดความเข้าใจในคุณค่าความหมายชีวิต, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
เห็นคะแนนจากเว็บ IMDB สูงถึง 7.8 เลยอดไม่ได้ที่จะหามารับชม แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า Hôtel du Nord เป็นหนังที่ดูยากพอสมควร เพราะไม่ได้มีเนื้อเรื่องราวที่โดดเด่นชัดนัก ทุกสิ่งอย่างเวียนวนเป็นวงกลมดั่งวัฏจักรชีวิต สุดท้ายหวนกลับมาบรรจบพบจุดเริ่มต้น ครึ่งแรก-ครึ่งหลังสะท้อนตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่นั่นถือว่าแฝงนัยยะใจความหมายลุ่มลึกซึ้งมากๆ
ใครที่เคยรับชมผลงานของ Marcel Carné (190 – 1996) จะรับรู้ว่าปรมาจารย์ผู้กำกับท่านนี้ คือโคตรแห่ง ‘Political Director’ นั่นทำให้ผมครุ่นคิดตามหัวแทบแตก ค้นหาว่าหนังเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองอะไรในฝรั่งเศสขณะนั้น แต่จนแล้วจนรอดไม่พบเจอเลยเริ่มออกอาการหงุดหงิด หาข้อมูลตามหลังถึงได้เรียนรู้ว่า เพราะผลงานก่อนหน้านี้ Le Quai des brumes/Port of Shadows (1938) โดนโจมตีจากหน่วยงานรัฐอย่างหนักหน่วง เรื่องนี้เลยพยายามไม่เอี่ยวเกี่ยวประเด็นการเมืองสักเท่าไหร่
ลึกๆแม้สร้างความผิดหวัง เพราะอุตส่าห์ครุ่นคิดคาดการณ์การเปรียบเทียบมาอย่างดี โรงแรมแห่งนี้คงแฝงนัยยะถึงประเทศฝรั่งเศส เจ้าของคือผู้นำ ลูกบ้าน/ผู้อยู่อาศัยแทนด้วยประชาชนพลเรือน แต่เนื่องจากไม่ใช่ความตั้งใจของผู้กำกับ การหาจุดเชื่อมโยงลักษณะนี้ พยายามเท่าไหร่คงไม่มีวันพบเจอ เสียเวลาเปลืองแรงสมองเสียเปล่าๆ
อีกเหตุผลหนึ่งที่หนังไม่ได้มีนัยยะลึกซึ้งปานนั้น เพราะ Jacques Prévert นักเขียนคู่ขาประจำของ Carné เหมือนจะไม่ว่างติดงานอื่น เลยต้องใช้บริการของ Henri Jeanson และ Jean Aurenche ดัดแปลงนวนิยาย L’Hôtel du Nord (1928) แต่งโดย Eugène Dabit (1898 – 1936)
L’Hôtel du Nord มีลักษณะรวมเรื่องสั้น เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบริเวณโดยรอบและภายใน Hôtel du Nord โรงแรมเล็กๆสำหรับชนชั้นทำงาน (working-class) โดยผู้เขียน Dabit อุทิศให้พ่อ-แม่ ที่เป็นเจ้าของกิจการ ตนเองคงเคยวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในระแวกนั้น, เมื่อนวนิยายวางขายได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม ยอดขายถล่มทลายเป็น Best Selling คว้ารางวัล Prix populiste (ยอดนิยม) ประจำปี 1929
เกร็ด: Hôtel du Nord นั้นมีอยู่จริงนะครับ ตั้งอยู่ 102 Quai de Jemappes, Paris ปัจจุบันก็ยังคงเปิดกิจการอยู่ (แต่เจ้าของคงเปลี่ยนมือไปนานแล้วละ)
หลักๆที่หนังคงไว้จากนวนิยาย คือพื้นหลังสถานที่ ตัวละคร และชื่อบางคนเท่านั้นเอง ส่วนเนื้อหาใจความได้ทำการครุ่นคิดโครงสร้างการดำเนินเรื่องขึ้นใหม่ แล้วประติดประต่อเชื่อมโยงกันด้วยเหตุการณ์ต่างๆ
ตัวละครหลักๆของหนังประกอบด้วย
– คู่รักหนุ่ม-สาว Renée (รับบทโดย Annabella) กับ Pierre (รับบทโดย Jean-Pierre Aumont) ค่ำคืนนั้นได้ห้องพักหมายเลข 16 พวกเขาตั้งใจจะฆ่าตัวตาย แต่หลังจาก Pierre ยิง Renée กลับปอดแหกวิ่งหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ต้องการกระโดดให้รถไฟตัดหน้าก็ไม่สำเร็จเลยยินยอมเข้ามอบตัวกับตำรวจ สำหรับหญิงสาวราวกับปาฏิหารย์กระสุนเพียงเฉียดไม่ถูกหัวใจ รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจึงเริ่มครุ่นคิดได้
– อีกคู่รักลวงโลก Raymonde (รับบทโดย Arletty) โสเภณีสาว เลี้ยงดูแมงดาคนโปรด Monsieur Edmond (รับบทโดย Louis Jouvet) อดีตคือฆาตกร/คนทรยศต่อพรรคพวกพ้อง ปรับเปลี่ยนแปลงตนเองให้กลายเป็นตรงกันข้าม เพื่อหลบหลีกหนีการถูกเข่นฆ่าล้างแค้นจากเพื่อนเก่า, ความสัมพันธ์ของทั้งสองไปในทางทั้งรักทั้งเกลียด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ขึ้นอยู่กับบรรยากาศ ซึ่งต่างรู้ว่าสักวันคงต้องร่ำราแยกจาก แต่วันนี้ก็ขอกอบโกยความสุขสำราญไว้ก่อนแล้วกัน อนาคตค่อยว่าอีกทีจะเป็นอย่างไร
Annabella ชื่อเกิด Suzanne Georgette Charpentier (1907 – 1996) นักแสดงหญิง สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ La Varenne Saint Hilaire, โตขึ้นได้รับบทเล็กๆใน Napoléon (1927) ไต่เต้าจนเริ่มมีชื่อเสียงกับ Le Million (1931), Sacrifice d’honneur (1935) ** คว้ารางวัล Volpi Cup: Best Actress, โกอินเตอร์เล่นหนังภาษาอังกฤษ Wings of the Morning (1937), ตามด้วย Hollywood เรื่อง Suez (1938), Hôtel du Nord (1938) ถือเป็นผลงานหวนกลับฝรั่งเศสหลังประสบความสำเร็จต่างแดน
รับบท Renée สาวกำพร้าเติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงดู มีชีวิตดั่งหนูในรู/นกในกรง ใฝ่ฝันโหยหาอิสรภาพเสรี เมื่อได้พบเจอ Pierre เมื่อปีก่อน ตัดสินใจว่าเมื่อถึงเพลานี้จะฆ่าตัวตายตามกัน กลายเป็นวิญญาณโบยบินไร้ซึ่งสิ่งใดกีดขวางกั้น แต่โชคชะตานำพาให้เธอรอดชีวิตจากกระสุนปืน เกิดรอยแผลบาดฝังลึกในใจ หวนกลับสู่ Hôtel du Nord ไม่คาดหวังอะไรมากมาย แต่กลับได้รับโอกาสทำงานเป็นสาวเสิร์ฟจนหนุ่มๆรายล้อมรอบ ตกหลุมรักครั้งใหม่กับ Edmond ขอให้เขาพาไปไกลสุดล้า เพื่อจักได้หนีพ้นตราบาปจากความผิดพลาดของตนเอง
ภาพลักษณ์ของ Annabella มีความสวยบริสุทธิ์ที่เจิดจรัสจร้า ขนาดว่าทำงานเป็นสาวเสิร์ฟ/คนใช้ยังดูดีมีสง่าราศี เว้นเพียงทรงผมแบบว่า…(no comment) น่าเสียดายบทพูดของเธอหลายครั้งดูหยาบแข็งกระด้าง ดวงตาเหม่อล่องลอยออกไปไกล เห็นว่าเกิดจากความจงใจของผู้เขียนบทสนทนา Jeanson จากความไม่ชื่นชอบประทับใจเธอสักเท่าไหร่ เลยส่งๆเดชหวังให้กลายเป็นดาวดับ ซะงั้น!
Jean-Pierre Aumont (1911 – 2001) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่กรุง Paris, แม่เป็นนักแสดง เลยเกิดความสนใจด้านนี้ตั้งแต่เด็ก เข้าเรียน Paris Conservatory ตอนอายุ 16 จบมาเป็นนักแสดงละครเวทีอาชีพ แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Jean de la Lune (1931), เริ่มมีชื่อเสียงจาก On the Streets (1933), ผลงานเด่นๆ อาทิ Hôtel du Nord (1938), Lili (1953), Day for Night (1973)
รับบท Pierre ชายหนุ่มกำพร้าครอบครัว ต้องการมีชีวิตอิสระเสรีแต่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาอะไรต่อผู้อื่นได้ หลังจากพบเจอตกหลุมรัก Renée คล้อยคำตามเธอ สรรหาปืนตั้งใจจะฆ่าตัวตาย ยิงเธอได้แต่กลับปอดแหกเลยตัดสินใจยอมมอมตัวติดคุก เวลาค่อยๆขัดเกลาให้เขากลายเป็นคนใหม่เมื่อออกมา
ภาพลักษณ์อันหล่อเหลาของ Aumont แฝงไว้ด้วยความขลาดหวาดสะพรึงกลัว แสดงออกด้วยใบหน้าว้าวุ่น กระวนกระวาย จนไม่สามารถตัดสินใจกระทำการอันใดเพื่อปลิดชีวิตตนเอง เลยเลือกเผชิญหน้ายินยอมรับโทษทัณฑ์จากเขลาเบาปัญญาของตนเอง, น่าเสียดายอีกเช่นกันที่ครึ่งหลังหนังไม่นำเสนอการเปลี่ยนแปลงไปของตัวละครสักเท่าไหร่ ด้วยข้ออ้างติดคุกอยู่เลยพบเจอแค่ตอนออกมาเยี่ยมญาติสนทนากับ Renée ก็เท่านั้น
Arletty ชื่อจริง Léonie Marie Julie Bathiat (1898 – 1992) นักร้อง นักแสดงหญิง สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Courbevoie ในครอบครัวชนชั้นทำงาน หลังพ่อเสียชีวิตออกจากบ้านกลายเป็นโมเดลลิ่ง ไม่เคยสนใจด้านการแสดงจนได้รับคำชักชวนจาก Paul Guillaume กลายเป็นนักแสดงละครเวทีตอนอายุ 21, สำหรับภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นบทสมทบ จนกระทั่งเป็นขาประจำของ Marcel Carné อาทิ Hôtel du Nord (1938), Le jour se lève (1939), Les Enfants du Paradis (1945) ฯ
รับบท Raymonde สาวโสเภณีปากมาก เต็มไปด้วยจริตจ้านอันเร่าร้อนรุนแรง กล้าด้านไม่อายอด ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเกรงต่อสิ่งใด ตกหลุมรัก Edmond ทั้งๆก็รู้ว่าเขาเป็นใคร เอาเงินที่หาได้มาเลี้ยงดูปูเสื่อ แลกความสัมพันธ์บำเรอสุขกายใจของตนเองก็เพียงพอแล้ว
นี่ถือเป็นบทบาทสร้างชื่อให้กับ Arletty ขโมยซีนทุกฉากที่ปรากฎตัว ด้วยลีลาท่าทางยั่วเย้ายวน คำพูดสุดแสนคมคาย (คนเขียนบทส่งให้ดังมากๆ) น้ำเสียงแบบว่า ตรูไม่แคร์ยี่หร่าต่ออะไรทั้งนั้น ซึ่งไฮไลท์ประโยค ‘Atmosphère!, atmosphère!’ เห็นว่าหลายปีถัดมาเธอออกอัลบัมเพลงตั้งชื่อว่า Atmosphère โด่งดังจนกลายเป็นตำนาน
Jules Eugène Louis Jouvet (1887 – 1951) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Crozon ตอนเด็กร่างกายเป็นอัมพาต แต่ก็สามารถเอาตัวรอดผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวอยู่มาก ดูแข็งๆทื่อๆ ตรงไปตรงมา ด้วยลักษณะดังกล่าวโตขึ้นตัดสินใจเป็นนักแสดงละครเวที, สำหรับภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆอาทิ Christine (1937), Hôtel du Nord (1938), La fin du jour (1939), Quai des Orfèvres (1947) ฯ
รับบท Robert/Paulo/Edmond ชายผู้ราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี เพื่อการเอาตัวรอดสามารถปรับเปลี่ยนแปลงตนเองไปได้เรื่อยๆในทุกพฤติกรรมสิ่งอย่าง จากเคยรักสัตว์กลายเป็นจิตใจโหดเหี้ยม ตัวตนแท้จริงลักษณะเช่นไรคงไม่มีใครตอบได้ มีโอกาสครองรักกับ Renée คาดหวังพาเธอไป Port Said, Egypt แต่ก็เพียงแค่สามวันเกินพอใจ สุดท้ายเลยหวนกลับมา Hôtel du Nord เผชิญหน้ารับกับโชคชะตากรรม
Jouvet ได้สร้างตัวละครที่มีความตราตรึงอย่างมาก ท่าเดินแข็งๆเต็มไปด้วยลับลมคมใน ถึงเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกินแต่ก็มิได้อ้อนออดเหมือนลูกหมาน้อยเลียแข้งขา ทุกสิ่งอย่างต้องดำเนินไปตาม’อารมณ์’ของฉัน เว้นเสียแต่พอตกหลุมรักสาวอีกคน ยินยอมเสียสละทุกสิ่งอย่าง จนกระทั่งพอไม่ได้มาครอบครองก็อ่อนระทวน ศิโรราบยินยอมพ่ายแพ้
ถ่ายภาพโดย Louis Née (Camera Operator) และ Armand Thirard ทั้งคู่ต่อมากลายเป็นขาประจำของ Henri-Georges Clouzot ผลงานเด่นอย่าง The Wages of Fear (1953), Les Diaboliques (1955) ฯ
หนังทั้งเรื่องสร้างฉากขนาดเท่าของจริงขึ้นใน Studios Pathé-Cinéma และ Studios de Billancourt พื้นหลังคือภาพวาดบนกระจก Matte Painting ออกแบบงานสร้าง (Production Design) โดย Alexandre Trauner ขาประจำของ Carné ที่ไต่เต้าไปโกอินเตอร์คว้า Oscar: Best Art Direction-Set Decoration, Black-and-White จากเรื่อง The Apartment (1960)
แซว: ว่าไปใจความของหนังเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ก็แอบคล้ายคลึงกับ The Apartment (1960) อยู่เล็กๆ
อารัมบท-ปัจฉิมบท, ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง จะมีความสอดคล้องในทิศทางตรงกันข้าม หรือจะเรียกว่าหมุนวนกลับมายังจุดตั้งต้นก็ได้เช่นกัน
– คู่รัก Renée-Pierre เริ่มต้นเดินข้ามสะพานไปนั่งบนเก้าอี้, ช่วงท้ายพวกเขาจากเก้าอี้เดินย้อนกลับขึ้นสะพาน
– เริ่มต้นมาชีวิตพวกเขาเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวังอยากฆ่าตัวตาย, เมื่อผ่านเหตุการณ์อะไรๆก็เริ่มครุ่นคิดได้ ค้นพบความหวังในการดำรงชีวิต
– ช่วงแรกงานเลี้ยงวันเกิดเด็กหญิงคนหนึ่ง, ครึ่งหลังคืองานเทศกาลประจำปี (รู้สึกมันจะอลังการขึ้นเยอะเลยนะ)
– Pierre ยิง Renée รอดตายหวุดหวิด, Raymonde ทรยศหักหลัง Edmond ถูกพรรคพวกยิงเสียชีวิตจริงๆ
ฯลฯ
Long Take ช็อตแรกของหนังมีความมหัศจรรย์มากเลยนะ คงเป็นการใช้เครนตั้งบนเรือแล้วเปิดประตูน้ำเพื่อให้กล้องสามารถลอดใต้สะพาน เคลื่อนต่อเนื่องไปถึงเก้าอี้อีกฟากฝั่ง เชื่อว่าผู้กำกับ Max Ophüls เห็นแล้วคงคลั่งไคล้มากแน่ๆ
Sequence การพยายามฆ่าตัวตายของ Renée-Pierre พวกเขาต่างมีคำพูดอันโยกโย้ ลีลาบิดพริ้วไหว สายตาเหม่อมองออกไปไกล ภาษากายแสดงออกลึกๆให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า ก็ไม่ได้อยากร่ำลาจากไปไหนหรอก แต่เพราะโลกใบนี้มันไร้ซึ่งความหวังราวกับกรงขัง อยู่ต่อไปรังแต่จักรวดร้าวทุกข์ทรมานใจเสียเปล่าๆ
หลังจากครุ่นคิดว่าทำการฆาตกรรม Renée สำเร็จ ก็ถึงคราของตนเอง แต่ความขี้ขลาดตาขาว โง่งี่เง่าเต่าตุ่น มาถึงจุดตัดสินใจบริเวณทางรถไฟ กระโดดฆ่าตัวตายคือโอกาสสุดท้าย
ผมละอึ้งไปเลยกับการสร้างสรรค์ฉากนี้ ดูผ่านๆคงครุ่นคิดว่ารถไฟกำลังแล่นเข้ามา แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดคือภาพวาด และตรงที่คือรถไฟกำลังแล่นเข้ามา แสงสว่างเกิดจากการเปิดไฟไล่เลียง ด้วยเหตุนี้เมื่อเคลื่อนเข้ามาระยะหนึ่งตัดไปที่ใบหน้าของ Pierre เตรียมตัวกระโดด แล้วดันมีรถม้าเคลื่อนผ่านหน้า ให้ผู้ชมลุ้นระทึกเล็กๆว่ากระโดดหรือไม่ จากนั้นควันโขมงโฉงเฉง เหงื่อแตกพลักๆ จบแล้วละ Sequence นี้ คงจะหลอกตาผู้ชมสมัยนั้นได้อยู่กระมัง
Sequence ที่ตราติดตรึงใจผู้ชมจนกลายเป็นตำนาน คู่รองของหนัง Raymonde-Edmond กำลังโต้เถียงกัน … เรื่องอะไรไม่รู้ละ เหมือนพวกเขากำลังจะไปตกปลา ซึ่งความหงุดหงุดหัวเสียทำให้ Raymonde แหกปากร้องลั่น
“Atmosphère!, atmosphère!”
คือถ้าฝรั่งเศสมีจัดอันดับ Best Movie Quote ประโยคนี้น่าจะติดหนึ่งในร้อยอย่างแน่นอน เพราะได้กลายเป็นตำนานติดตัวนักแสดง Arletty ไปแล้วละ
อีกอย่างน่าสนใจของ Sequence คือสถานที่ที่พวกเขาโต้เถียงกัน อยู่ระหว่างข้ามคลอง Saint-Martin ซึ่งถ้าใครสังเกตหน่อยจะพบว่าบริเวณนั้นคือประตูน้ำ เปิด-ปิดเพื่อให้เรือลำเล็กสามารถแล่นเข้าออกได้ ถือว่าช่างมีความเปลี่ยนแปลงผันไปตาม ‘อารมณ์’ หรือก็คือ บรรยากาศนะแหละ
ผมประทับใจฉากเล็กๆนี้เหลือเกิน เพราะครึ่งแรก Raymonde พยายามง้องอน บำเรอความสุขสำราญให้กับ Edmond ทุกสิ่งอย่าง แต่เขาแทบไม่เคยตอบสนองอะไรสักเท่าไหร่ ครึ่งหลังราวกับเป็นการประชดประชัน ช่างแม้งแล้ว พบเจอไพร่ ข้าทาส แมงดาคนใหม่ที่ครานี้ เลียแข้งเลียขา ปรนเปรอปริบัติอย่างดี … แต่ผมว่าชีวิตเธอแบบนี้ จมปลักอยู่กับความรวดร้าวรำคาญใจเสียมากกว่า
งานเฉลิมฉลองแห่งชาติฝรั่งเศส (Bastille Day) เริ่มต้นครั้งแรก 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1790 ซึ่งตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีการโจมตีคุก Bastille สัญลักษณ์ของการลุกฮือของชาติสมัยใหม่ และการปรองดองชาวฝรั่งเศสด้วยราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สมัยก่อนสาธารณรัฐที่ 1 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส (1789-99)
ฉากนี้ถือว่ามีความอลังการสุดในหนัง ไม่แน่ใจปริมาณตัวประกอบ บางแหล่งว่า 400 อีกแหล่งว่า 800-900 คน ถือเป็นการซักซ้อมตระเตรียมการ ก่อนการมาถึงของ Les Enfants du Paradis (1945) ที่ใช้ตัวประกอบกว่า 2,000 คน
ตัดต่อโดย Marthe Gottie และ René Le Hénaff, ต้องถือว่า Hôtel du Nord คือจุดหมุนของเรื่องราว หลักๆคือสองคู่สี่ตัวละคร Renée-Pierre และ Raymonde-Edmond ใครคนหนึ่งมักปรากฎตัวอยู่ในช่วงขณะเหตุการณ์นั้นๆเสมอ
Opening Credit ของหนัง พื้นหลังเป็นภาพ Montage ร้อยเรียงบริเวณโดยรอบ Hôtel du Nord และคลอง Saint-Martin สังเกตว่าตัวอักษรมีลักษณะพริ้วไหวเหมือนสายน้ำ สัญลักษณ์ของชีวิตที่ดำเนินเคลื่อนคล้อยไหลไป
เพลงประกอบโดย Maurice Jaubert (1900–1940) คีตกวียอดฝีมืออายุสั้นสัญชาติฝรั่งเศส ผลงานเด่นๆ อาทิ Zero for Conduct (1933), L’Atalante (1934), Quai des brumes (1938), Hôtel du Nord (1938), Le Jour Se Lève (1939) คือผลงานสุดท้ายก่อนเสียชีวิต จากการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่สอง
Jaubert เขียน Main Theme ด้วยทำนอง Waltz จังหวะสนุกหรรษาโลดแล่น ด้วยกลิ่นอายดนตรีฝรั่งเศส ชักชวนให้เคลิบเคลิ้ม หลงใหล เพลิดเพลินสำราญใจ ชีวิตไม่ได้มีความน่าเศร้าสลดตรงไหน ยิ้มเริงร่ากับมันสิเดี๋ยวก็ดีเอง
แม้หนังจะออกไปทาง ‘theatrical realism’ แต่งานเพลงถือว่าจัดเข้าพวก ‘poetic realism’ มีลักษณะเหมือนสร้อยของบทกวี แต่งเติมเสริมอรรถรสในช่วงระหว่างเปลี่ยน Sequence, ขณะร้อยเรียงภาพ Montage บรรยากาศโดยรอบในเมือง, ไม่ก็เป็น Diegetic Music ดังขึ้นในร้านอาหาร ถนนหนทาง และเทศกาลประจำปี
เวลาประสบพบเจอปัญหาใดๆ ต่อให้พยายามหลบลี้หนีปัญหาไปให้ไกลสุดปลายขอบฟ้า ก็ไม่มีทางเอาตัวรอดพ้นบาดแผลข้อเท็จจริงที่ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจ วิธีเดียวเท่านั้นจะต่อสู้เอาชนะคือการเผชิญหน้า ยินยอมรับความเป็นจริง! ก้าวเดินต่อไปบนความพ่ายแพ้ นั่นจักทำให้ชีวิตเราเข้มแข็งแกร่ง กลายเป็นภูมิต้านทานไม่ให้ผิดพลาดพลั้งสะดุดล้มลงอีก
ความสวยงามทรงคุณค่าของหนังเรื่องนี้ คือการนำเสนอสิ่งตรงกันข้ามที่ตัวละครยืนกรานตอนต้นว่า ชีวิตของฉันไร้ซึ่งความหวังอีกต่อไปแล้ว แต่หลังจากเอาตัวรอดตาย พวกเขาสามารถเรียนรู้ครุ่นคิดขึ้นได้จากประสบการณ์ผิดพลาด โลกมันไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้นเลยนี่หว่า การกระทำดังกล่าวช่างโง่เขลาเบาปัญญาโดยแท้
ภายหลังเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย หญิงสาวหวนกลับไป Hôtel du Nord เธอไม่ได้ถูกขับไล่ไสส่ง ตรงกันข้ามเจ้าของโรงแรมเล็กๆแห่งนี้กลับมอบโอกาส ความหวัง ถ้ายังไม่รู้ไปไหนทำอะไรดีก็มาอยู่กับพวกเรากันก่อน ทำงานเป็นคนใช้/สาวเสิร์ฟ … แค่เพียงไม่กี่วันลูกค้าเข้าเต็มร้าน ไม่นานก็ได้พบชายขายขนมจีบ และใครสักคนพร้อมนำพาเธอออกเดินทางหนีหายไปสุดล้าฟ้าไกล
Renée, เธอครุ่นคิดขึ้นได้ระหว่างการเดินทางกับ Edmond หลังจากเพ้อใฝ่ฝันเหม่อล่องลอยออกไปไกลแสนใกล แต่จิตใจกลับยังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ Pierre ชายคนเดียวที่ฉันตกหลุมรัก แม้ขณะนี้ข้างกายจะคือคนอื่นก็หามีความสุขใจใดเท่า นี่ก็แปลว่าไม่มีทางที่จะหลบลี้หนีความทุกข์ทรมานนี้พ้น นอกเสียจากเผชิญหน้ายอมรับความจริง
Edmond, ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความขี้ขลาดเขลา เมื่อไม่สามารถกระทำอัตนิบาตกรรม จึงเลือกเผชิญหน้า ขอยอมรับผิด ติดคุกหัวโต (ไม่รู้นานสักเท่าไหร่ แต่คาดว่าคงประมาณ 1 ปี) เรียนรู้สิ่งสำคัญสุดในชีวิตคือ ‘อิสรภาพ’ ไม่ใช่ความตาย แต่คือโลกภายนอกไร้ซึ่งกรงขังถูกจองจำ
และ Edmond ผู้สามารถปรับเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างไปตามสภาพอากาศจนสูญเสียอัตลักษณ์ตัวตนเอง หลังจากพยายามหลบหนีจากความตายได้นับครั้งไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งเมื่อตกหลุมรักและสูญเสียเธอไป แม้แค่เพียงสามวันก็เกินเพียงพอแล้วสำหรับชีวิต พร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูคู่แค้น โอบกอดรัดความตาย ไม่หลงเหลืออะไรในโลกนี้ให้ธำรงอยู่
เรื่องราววุ่นๆใน Hôtel du Nord สะท้อนปัญหารากหญ้าของชนชั้นทำงาน พวกเขาไม่ได้มีปรัชญาหนักแน่นมากมายอะไรในการดำรงชีวิต เมื่อประสบพบเจออุปสรรคปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย ก็พร้อมหลีกหนีเอาตัวรอดไม่ยอมเผชิญหน้า เฉกเช่นนั้นรอยบาดแผลที่ฝังลึกในใจจะได้รับการเยียวยาได้อย่างไร
ถึงผู้กำกับ Carné จะบอกว่าหนังไม่สะท้อนอะไรการเมือง แต่ผมก็อดไม่ได้จะครุ่นคิดถึง … ถ้าชนชั้นทำงาน (Working-Class) ยังคงหลีกหนีไม่เผชิญหน้าต่อปัญหาที่พวกขุนนาง/ชนชั้นสูง (ในช่วงก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง) ป้อนขี้ป้อนเยี่ยวให้ชาวฝรั่งเศสอยู่แบบนี้ เมื่อไรประเทศชาติจักหลุดพ้นจากวัฏจักรวงจรอุบาศว์เสียที
ส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบหนังเรื่องนี้ ในการแสดงของ Arletty กับ Louis Jouvet แม้จะเป็นคู่รองแต่จิ้นราวกับคู่หลัก แย่งซีนโดดเด่นกว่า Annabella กับ Jean-Pierre Aumont, ไดเรคชั่นวัฏจักรเวียนวนของ Marcel Carné และบทเพลงโคตรไพเราะของ Maurice Jaubert ตราตรึงไปถึงขั้วหัวใจ
รับชม Hôtel du Nord พยายามครุ่นคิดทำความเข้าใจเหตุผลของตัวละคร ณ ตอนจบให้ได้ว่า
– ทำไม Renée-Pierre ถึงหวนกลับมาครองรัก?
– ทำไม Edmond ถึงกลับขึ้นห้อง แถมโยนปืนให้พรรคพวกพ้อง?
การตัดสินใจของพวกเขา ตรงกันข้ามกับเมื่อตอนต้นเรื่องโดยสิ้นเชิง จากเคยพยายามหลบลี้หนีปัญหา ครุ่นคิดสั้นฆ่าตัวตาย กลับเปลี่ยนแปลงสภาพสู่กล้าเผชิญหน้ารับความจริง นี่ถือเป็นสิ่งควรค่ายิ่งแก่การ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
จัดเรต 15+ กับบรรยากาศนัวร์ อาชญากร ความพยายามฆ่าตัวตาย
Leave a Reply