Le Coup du berger

Fool’s Mate (1956) French : Jacques Rivette ♥♥♥

ในเกมหมากรุก Fool’s Mate หรือ Scholar’s Mate คือการล่อหลอกผู้เล่นใหม่ให้ถูกรุกฆาตเพียงไม่กี่ตา นั่นคือความพยายามของภรรยาล่อหลอกสามีเพื่อที่จะ … แต่กลับกลายเป็นว่า …

Le Coup du berger (1956) หรือ Fool’s Mate แม้เป็นเพียงหนังสั้นดูเพลิน แต่มักได้รับการกล่าวขวัญถึงจุดเริ่มต้นยุคสมัย French New Wave เพราะเกิดจากการร่วมงานระหว่าง Jacques Rivette และ(เขียนบท) Claude Chabrol อีกทั้งไคลน์แม็กซ์ยังมี Jean-Luc Godard และ François Truffaut มารับเชิญแขกเหรื่อในงานเลี้ยง … ถือเป็นผลงานรวมตัวครั้งสำคัญที่สุดของบรรดานักวิจารณ์นิตยสาร Cahiers du Cinéma ก่อนกาลมาถึงของยุคสมัย French New Wave

หนังสั้นเรื่องนี้เต็มไปด้วยแนวคิด ลีลานำเสนอ สำแดงความหัวขบถของกลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave แม้ผลลัพท์ยังดูไม่ค่อยกลมกล่อมนัก แต่นี่เพิ่งจุดเริ่มต้น ทดลองผิดลองถูก ท้าทายตนเองว่าจะสามารถรังสร้างภาพยนตร์ตอบสนองทฤษฏีเคยกล่าวอ้างได้สำเร็จหรือไม่


Jacques Pierre Louis Rivette (1928-2016) นักวิจารณ์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Rouen, Seine-Maritime บิดาเป็นเภสัชกร บ้านอยู่ติดกับโรงภาพยนตร์ วัยเด็กหลงใหลการวาดรูปและอุปรากร หลังมีโอกาสอ่านหนังสือของ Jean Cocteau เกี่ยวกับการถ่ายทำ Beauty and the Beast (1946) ตัดสินใจมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังด้านนี้ เข้าร่วมกลุ่ม Ciné-Clubs ถ่ายทำหนังสั้น 16mm เรื่องแรก Aux Quatre Coins (1948), จากนั้นออกเดินทางสู่ Paris แล้วได้พบเจอ Jean Gruault ที่ร้านขายหนังสือ ชักชวนมารับชมภาพยนตร์ Les dames du Bois de Boulogne (1945) ณ Ciné-Club du Quartier Latin แล้วได้พูดคุยถกเถียงหลังการฉายกับว่าที่เพื่อนสนิท Éric Rohmer

Rivette ส่งหนังสั้นที่สร้างขึ้นเพื่อสมัครเรียน Institut des Hautes Études Cinématographiques แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ จึงเข้าคอร์สภาพยนตร์ระยะสั้น University of Paris ระหว่างนั้นแวะเวียนขาประจำ Cinémathèque Française ก่อนได้รับชักชวนเป็นนักวิจารณ์นิตยสาร Gazette du Cinéma (ก่อตั้งโดย Éric Rohmer และ Francis Bouchet) แม้ตีพิมพ์แค่ห้าฉบับ แต่ก็ได้รับประสบการณ์อันดี “a good exercise” จากนั้นสร้างหนังสั้นเรื่องที่สอง Le Quadrille (1950) ได้รับทุน ร่วมเขียนบท และนำแสดงโดย Jean-Luc Godard เรื่องราวไม่มีอะไรเลยนอกจากคนสี่คน ชายสองหญิงสอง นั่งจ้องหน้าสบตา แสดงอากัปกิริยา ไร้บทพูดสนทนา ท้าทายขีดจำกัดภาพยนตร์

It ran 40 minutes and nothing happens. It’s just four people sitting around a table, looking at each other. After ten minutes, people started to leave, and at the end, the only ones who stayed were Jean-Luc and a girl.

Jacques Rivette

เมื่อปี ค.ศ. 1951, André Bazin ได้ก่อตั้งนิตยสาร Cahiers du Cinéma ชักชวนบรรดาหนุ่มๆหัวขบถมาเป็นนักวิจารณ์ Rivette มีชื่อเสียงจากเขียนบทความชื่นชม Howard Hawks, Fritz Lang, Roberto Rossellini, Kenji Mizoguchi แล้วด่าทอบรรดาผู้กำกับฝรั่งเศสรุ่นใหม่ๆที่ไม่กล้าได้กล้าเสี่ยง สนเพียงกำไรความสำเร็จ และยังร่วมกับ Truffaut (ตั้งชื่อเล่น “Truffette and Rivaut”) แบกเครื่องบันทึกเสียง เดินทางไปสัมภาษณ์/ตีพิมพ์บทความเชิงลึกจากบรรดาผู้กำกับที่พวกเขาโปรดปราน อาทิ Alfred Hitchcock, Howard Hawks, Fritz Lang, Jean Renoir, Roberto Rossellini, Orson Welles ฯ

ระหว่างนั้น Rivette ก็ได้เก็บหอมรอมริด สรรค์สร้างหนังสั้นเรื่องที่สาม Le Divertissement (1952) ใช้ชื่ออังกฤษ The Diversion (แต่แปลตรงตัวว่า Entertainment)

The entertainment can change its settings, but its order will remain, and the same rules impose themselves immediately.

หลังจากกำกับหนังสั้นมาสามเรื่อง Rivette จึงเกิดความกระตือรือล้นอยากสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) แต่ถูกทัดทานโดยโปรดิวเซอร์ Pierre Braunberger เพราะเห็นว่ายังไม่เคยมีประสบการณ์ถ่ายทำด้วยฟีล์ม 35mm ด้วยเหตุนี้เลยรังสรรค์ผลงานลำดับที่สี่ Le Coup du Berger (1956) เป็นหนังสั้นด้วยฟีล์ม 35mm

เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้น Mrs. Bixby and the Colonel’s Coat แต่งโดย Roald Dahl (1916-90) นักเขียนวรรณกรรมเยาวชน สัญชาติอังกฤษ เคยมีการอ้างอิงถึงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 แต่เพิ่งตีพิมพ์ครั้งแรกลงนิตยสาร Nugget เมื่อปี ค.ศ. 1959

เกร็ด: เรื่องสั้น Mrs. Bixby and the Colonel’s Coat ยังเคยได้รับการดัดแปลงในรายการโทรทัศน์ Alfred Hitchcock Presents SS6 EP1 กำกับโดย Alfred Hitchcock ออกฉายวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1960

เนื่องจากหนังไม่ได้มีเงินทุนมากมาย จึงไม่สามารถติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลง เพียงกล่าวอ้างว่าได้แรงบันดาลใจจากบทความหนังสือพิมพ์ และเป็นการร่วมกันพัฒนาบทระหว่าง Rivette, Charles Bitsch และ Claude Chabrol (รายหลังยังร่วมออกทุน และให้ใช้อพาร์ทเม้นท์สำหรับถ่ายทำ)


เรื่องราวของภรรยายังสาว Claire (รับบทโดย Virginie Vitry) ออกจากบ้านไปหาชู้รัก Claude (รับบทโดย Jean-Claude Brialy) มอบของขวัญเสื้อคลุมขนมิ้งค์ราคาแพง แต่ตระหนักว่าสามี Jean (รับบทโดย Jacques Doniol-Valcroze) คงบังเกิดความเคลือบแคลงสงสัย เลยครุ่นคิดแผนการนำไปฝากไว้ยังสถานีรถไฟ แล้วตนเองแสร้งว่าบังเอิญพบเจอตั๋วฝากของ

แต่เมื่อตอน Jean นำกระเป๋าสัมภาระกลับมาที่บ้าน พอเปิดออกกลับเป็นเสื้อขนสัตว์ราคาถูกๆ หรือว่าเขาหยิบกระเป๋าผิดใบ? จนกระทั่งงานเลี้ยงปาร์ตี้วันถัดมา พบเห็นเพื่อนสาวคนสนิท Solange (รับบทโดย Anne Doat) กำลังสวมใส่เสื้อคลุมขนมิงค์ตัวนั้น


ส่วนของนักแสดง ทีมงาน ก็ล้วนเป็นกลุ่มเพื่อน แวดวง คนรู้จักใน Cahiers du Cinéma งบประมาณหมดไปกับค่าฟีล์มสต็อก สถานที่ถ่ายทำก็ภายในอพาร์ทเม้นท์ของ Claude Chabrol ระยะเวลา(ถ่ายทำ)ประมาณสองสัปดาห์

ถ่ายภาพโดย Charles L. Bitsch (1931-2016) นักวิจารณ์/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Mulhouse, Haut-Rhin โตขึ้นเข้าศึกษาภาพยนตร์ยัง École nationale supérieure Louis-Lumière รุ่นเดียวกับ Philippe de Broca และ Pierre Lhomme, จากนั้นกลายเป็นนักวิจารณ์นิตยสาร Cahiers du cinéma และ Arts, สำหรับ Le Coup du berger (1956) ได้รับเครดิตร่วมเขียนบทและถ่ายภาพ

สิ่งน่าสนอกสนใจที่สุดของหนัง ก็คือลีลาการนำเสนอที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ‘Mise-en-scène’ ทุกช็อตฉาก ทิศทาง มุมกล้อง ล้วนเคลือบแฝงนัยยะบางสิ่งอย่าง, เริ่มต้นภาพแรกของหนังด้วยเกมหมากรุก นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เดินหมากได้เพียง 4 ตาก็ถูกรุกฆาต (Checkmate) นี่เป็นกลเม็ดสำหรับกลั่นแกล้งผู้เล่นใหม่ ยังขาดประสบการณ์ อ่านเกมไม่ออก เลยตกเป็นเหยื่อ Fool’s Mate หรือ Scholar’s Mate (จริงๆสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันเล็กน้อย ถ้าถูกรุกฆาตในสองตาจะชื่อว่า Fool’s Mate แต่ถ้าสี่ตาจะเรียก Scholar’s Mate)

กลยุทธ์หมากรุกนี้จะถูกอธิบายหลัง Opening Credit โดยเสียงบรรยายของผกก. Rivette เพื่อเปรียบเทียบแนวคิดของหนัง ตัวละครต้องการจะทำบางสิ่งอย่างเหมือน Fool’s Mate หรือ Scholar’s Mate แต่สุดท้ายจะทำได้สำเร็จหรือไม่?

สำหรับคนที่ชื่นชอบครุ่นคิดรายละเอียด ‘Mise-en-scène’ ทุกช็อตฉากล้วนเคลือบแฝงอะไรบางอย่าง ผมคงไม่อธิบายทั้งหมด แต่จะยกตัวอย่างสองช็อตแรก

  • ภาพแรกของหนัง (ไม่นับเกมหมากรุก) Claire กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่หน้ากระจก มองผิวเผินเหมือนเธอกำลังเตรียมออกไปข้างนอก แต่ภาพสะท้อนมันเคลือบแฝงลับลมคมใน มีบางสิ่งอย่างซุกซ่อนเร้นไว้
  • ภาพถัดมากล้องเคลื่อนเลื่อนติดตาม Claire ไปยังสามี Jean กำลังเล่นเปียโนอยู่ริมหน้าต่าง ทิวทัศน์ภายนอกสอดคล้องกับคำพูดฝ่ายชาย “Going out?” หญิงสาวต้องการไปเยี่ยมเยียนเพื่อนสนิท Solage

คนที่รับชมหนังจนจบแล้วหวนกลับมาดูฉากนี้น่าจะเกิดข้อฉงนสงสัย Jean รับรู้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ว่า Claire นอกใจตนเอง? หญิงสาวบอกจะไปหาเพื่อน Solage แต่ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่าง Jean กับ Solage ย่อมทำให้เขารับรู้ว่า Claire ไม่ได้เดินทางไปหาเธอ … เช่นนั้นแล้วใครกันแน่ที่ถูกรุกฆาตตั้งแต่วินาทีนี้!!!

ตามธรรมเนียมปฏิบัติภาพยนตร์ยุคเก่าก่อน มักมีลำดับการเดินทางเป็นเส้นตรงทั่วๆไป เมื่อหญิงสาวมาถึงอพาร์ทเม้นท์ จะเริ่มบันทึกภาพขณะแท็กซี่เคลื่อนเข้ามาจอด ลงจากรถ และเดินเข้าประตู

แต่ทว่าผกก. Rivette เลือกจะนำเสนอภาพอพาร์ทเม้นท์ชั้นบนของ Claude ซึ่งคือเป้าหมายทาง (ซึ่งสามารถสื่อถึงความระริกระรี้ของหญิงสาว ต้องการเร่งรีบมาถึง) จากนั้นกล้องถึงเคลื่อนลงด้านล่าง (Tilt Down) แท็กซี่เคลื่อนเข้ามาจอด ลงจากรถ และเดินเข้าประตู … รายละเอียดเล็กๆนี้ มันคือความหัวขบถ ต้องการแหกขนบกฎกรอบภาพยนตร์ที่เคยยึดปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน

ตำแหน่งเตียงนอนในอพาร์ทเม้นท์ของ Claude มีความน่าสนใจอยู่เล็กๆ

  • Claire สามารถหันหัวนอนคว่ำ แล้วมองเห็น Claude ขณะกำลังรินเครื่องดื่มนำมาเสริฟให้ถึงเตียง
  • แต่ทว่าตอนไปหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์ กลับเดินไปอีกทิศทางที่ Claire ไม่สามารถพลิกตัวมองเห็น (จะมองเป็นการสร้างเซอร์ไพรส์ก็ได้)

นี่แสดงให้เห็นถึงทิศทางของเสื้อคลุมขนมิ้งค์ ไม่ใช่แค่ Claude ทำการเซอร์ไพรส์ Claire แต่จะมีเหตุการณ์ลับๆล่อๆ เกี่ยวกับการปกปิด ซุกซ่อนเร้น ที่จักสร้างความประหลาดใจให้เธอมากๆกว่านี้ … ผมเห็นเสื้อคลุมขนมิ้งค์ ชวนให้นึกถึงต่างหูเพชรของ The Earrings of Madame De… (1953) ขึ้นมาโดยทันที!

เกร็ด: การคบชู้นอกใจ นี่ก็เป็นสิ่งที่สังคมสมัยนั้นยังไม่ให้การยินยอมรับ แต่หนังนำเสนออย่างโจ่งแจ้ง ตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ราวกับเรื่องปกติธรรมดา นี่ก็ถือเป็นลักษณะของการแหกขนบกฎกรอบ วิถีทางสังคมเช่นเดียวกัน

แผนการของ Claire คือนำผ้าคลุมขนมิงค์ใส่ในกระเป๋าเดินทาง ฝากไว้กับสถานีรถไฟ แล้วเจ้าของดันทำตั๋วรับของหล่นหลาย เธอบังเอิญเก็บได้ ตั้งใจให้สามีเดินทางมารับแทน แล้วส่งถึงมือตนเอง ฟังดูช่างเป็น ‘Perfect Crime’ ซึ่งตอนที่ Claude พูดประโยคนี้ สังเกตว่าหน้าผากหลุดเฟรม และพยายามดันตัวแทรกเข้าไปอยู่ในมุมมืดมิด (เพื่อสื่อถึงการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมชั่วร้าย) … ผมนำภาพของ Claire มาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความสว่าง-มืดของทั้งสองช็อต

เกร็ด: โดยปกติแล้วการถ่ายทำภายในรถ หรือนอกสถานที่แบบนี้ ยุคสมัยก่อนมักต้องถ่ายทำในสตูดิโอ ฉายทิวทัศน์พื้นหลังผ่านเครื่อง Rear Projection มันช่างสิ้นเปลือง เสียเวลา ยุ่งยากลำบาก, ภาพยนตร์ของกลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave ล้วนถ่ายทำยังสถานที่จริงทั้งหมด! ด้วยกล้องขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถแบกขึ้นบ่า เดินไปเดินมา เอาเข้ามาถ่ายภายในรถได้สบายๆ

มันอาจเป็นเรื่องปกติที่คนสองจะนั่งทิศทางตั้งฉาก แต่ในบริบทของหนังไม่ว่าจะตรงโซฟาหรือโต๊ะอาหาร ล้วนเคลือบแฝงนัยยะถึงความเห็นแตกต่าง ทัศนคติตรงกันข้าม โดยเฉพาะเรื่องตั๋วรับของ Claire ต้องการให้เขาไปรับของให้ที่สถานีรถไฟ แต่ทว่า Jean กลับทำไม่รู้ไม่สนใจ ไม่อยากยุ่งวุ่นวาย ทำไมไม่โยนทิ้งถังขยะไป

ระหว่างการรับประทานอาหาร เลือกใช้มุมกล้องระดับความสูงเดียวกับโต๊ะอาหาร (เพื่อสื่อถึงความสนใจที่อยู่ตรงหน้า) นอกจากตำแหน่งที่นั่งตั้งฉากกัน ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ แสงสว่าง-ความมืด ระยะภาพกลาง-ใกล้ ทิวทัศน์เบื้องหลังกำแพง-ห้องโถง รวมถึงสิ่งบดบังหน้ากล้อง (ถ้วยชาม แก้วน้ำ ขวดไวน์ ฯ) ลองไปขบครุ่นคิดดูเองนะครับว่าเคลือบแฝงนัยยะอะไร

ระหว่างพักรออาหารจานหลัก (Main Dish) Claire นั่งเศร้าๆ เหงาๆ ตัวคนเดียวอยู่ตรงโต๊ะอาหาร ไม่ได้ลุกย้ายไปไหน ตรงกันข้ามกับสามี Jean เดินหนีมายังห้องนั่งเล่น บริเวณภาพวาดยังไม่เสร็จ ท่ามกลางความมืดมิด สองช็อตนี้นอกจากดูเหินห่าง อ้างว้าง และยังเคลือบแฝงถึงความมีลับลมคมในของฝ่ายชาย ทำไมต้องลุกหนี? ทำไมต้องวาดรูปท่ามกลางความมืดมิด?

สองภาพวาดที่น่าจะเป็นฝีมือของ Jean ดูแล้วน่าจะคนละคน! สะท้อนบุคลิก ตัวตน มุมมองของเขาต่อพวกเธอทั้งสองที่แตกต่างตรงกันข้าม!

  • ภาพที่ยังวาดไม่เสร็จน่าจะเป็น Claire (สังเกตจากปล่อยผมยาว) เพราะดูอัปลักษณ์ แก้มซูบผอม ไม่สมประกอบ สะท้อนมุมมองของเขาต่อภรรยาขณะนี้ ไม่หลงเหลือความรักภักดี
    • ภาพวาดที่ติดฝาผนังอยู่ข้างๆ ต้องมองตอนกลางวันถึงสังเกตเห็นว่าคือหญิงสาวเปลือย ที่ถูกบดบังด้วยใบไม้ หรือถูกแมลงรุมตอม (ผมดูไม่ออกสักเท่าไหร่) แต่แฝงนัยยะเหมือนการแปดเปื้อน ไม่บริสุทธิ์ใจ
  • ตรงกันข้ามกับอีกภาพวาดหญิงสาวผมสั้น หน้าตาสวย รูปทรงดูดี หลบซ่อนอยู่หลังหลอดไฟ นั่นย่อมคือชู้รักที่ซุกซ่อนไว้ในที่แจ้ง Solance (ตัวจริงก็มัดผมสั้น คล้ายๆแบบในรูป) และระหว่างเดินผ่าน Jean ยังแอบเหลือบมองพร้อมส่งยิ้มให้ (นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เขามีต่อ Claire อย่างแน่นอน)

สำหรับอาหารจานหลัก ผมไม่แน่ใจว่าคือเนื้อสไลด์ หรือแฮมสไลด์ หรืออะไร แต่ดูลักษณะของมันช่างบอบบางเสียเหลือเกิน ซึ่งอาจสะท้อนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ที่แทบไม่หลงเหลือเยื่อใยอะไร … ชามซุปก่อนหน้าก็เห็นแต่ซดน้ำ แทบจะไม่มีเนื้อหนัง พืชผักอะไร

ตอนที่ Jean พยายามผลักไส บอกให้ Claire อยากรู้นักก็ไปรับของเอาเองสิ กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนขึ้นระหว่างถ่ายภาพหญิงสาว ก้มหน้าก้มตา แสดงอาการผิดหวัง ก่อนพร่ำบ่นในเชิงประชดประชัน “You’re terrific.” แต่พอเขายินยอมเปลี่ยนใจ “กูยอมไปก็ได้ว่ะ” ตัดไปใบหน้าหญิงสาวระยะใกล้ (Close-Up) บังเกิดรอยยิ้มกริ่ม ราวกับได้รับชัยชนะ

ย้อนรอยกับตอนที่ Claire อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของ Claude ตำแหน่งเตียงนอนทำให้มองไม่เห็นสามีขณะเข้าห้องน้ำ แต่งตัวไปทำงาน ซึ่งวินาทีนั้นเธอรีบวิ่งไปหยิบตั๋วฝากของนำมาวางข้างกระเป๋าสตางค์ (มุมกล้องตอน Claire ซุกซ่อนตั๋วฝากของ กับตอนหยิบออกมาก็มีทิศทางตรงกันข้าม)

จะว่าไปตอนต้นเรื่อง Claire ออกจากอพาร์ทเม้นท์ อ้างว่านัดพบเจอ Solace แต่กลับแอบไปหาชู้รัก, มาคราวนี้ในทิศทางกลับตารปัตร สามี Jean ออกไปทำงานนอกบ้าน แท้จริงแล้วย่อมต้องคือ …

การแวะเวียนมาของ Solace แม้ว่า Claire จะสังเกตเห็นความผิดปกติหลายๆอย่าง อาทิ สูบบุหรี่ (เครียดเพราะอยู่ในห้องของภรรยาชู้รัก?), กล่าวว่าไม่อยากลักขโมยเสื้อคลุม (ลักขโมยสามี?), แต่วินาทีที่ผมรู้สึกเอะใจมากที่สุดคือตอนกำลังจะเดินออกจากห้องแล้วพูดว่า “A falling angel” (นางฟ้าตกสวรรค์เพราะกระทำสิ่งชั่วร้าย/คบชู้นอกใจ) พร้อมถ่ายรูปปั้นแกะสลักใบหน้า (ฤานี่จะคือ Falling Angel?)

ความน่าสนใจของช็อตนี้คือเงาตรงผนัง แฝงนัยยะถึงการมีลับลมคมใน เพราะกระเป๋าใบนี้ควรมีเสื้อคลุมขนมิ้งค์ ไม่ใช่ขนกระต่ายราคาถูก แถมท่าทางของ Jean หยิบขึ้นมาด้วยปฏิกิริยารังเกียจ ขยะแขยง ราวกับมันเป็นสิ่งของไร้ค่า ต่ำตม

ความเอาแต่ใจของ Claire พอผิดแผนไม่ได้เสื้อคลุมขนมิงค์ กลับกล่าวโทษ Claude (ทั้งๆที่ทั้งหมดคือแผนการของเธอเอง) จากเคยโอบกอดจูบตัวติดกัน คราวนี้หันหน้าคนละฟากฝั่ง เดินแยกหัว-ท้ายโต๊ะ และตอนร่ำลาหญิงสาวยืนตรงประตู ฝ่ายชายกำลังจะทรุดนั่งลงอีกฟากของห้อง กล้องค่อยๆเคลื่อนถอยหลัง มอบสัมผัสเหินห่าง แยกจาก ราวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองกำลังถึงจุดสิ้นสุด

ผมละขำกลิ้งกับคำถาม Jean Delanoix or Jules? ใครจะไปคาดคิดว่า François Truffaut ในอนาคตจะสรรค์สร้าง Jules and Jim (1962), นอกจากนี้ Jean-Luc Godard รับบทพนักงานเปิดประตู และอีกหนุ่มแว่น Claude Chabrol กำลังเทแชมเปญ สงสัยกำลังครุ่นคิดบทหนัง Les Cousins (1959) ที่มีฉากรวมพลจัดปาร์ตี้ในอพาร์ทเม้นท์อย่างสุดเหวี่ยง

โดยปกติแล้วแชมเปญมักรินใส่แก้วทรงทิวลิป (Tulip Champagne Glass) ที่มีลักษณะสูงยาว หน้ากว้างน้อยๆ (เหมือนดอกทิวลิป) จุดประสงค์เพื่ออวดฟองสวยๆ ละลายช้าๆ สำหรับเฉลิมฉลองชัยชนะบางอย่าง แต่ทว่า Jean กลับรินแชมเปญใส่แก้วแชมเปญซอสเซอร์ (Champagne Saucer Glass) แม้ชื่อเรียกแก้วแชมเปญเหมือนกัน แต่โดยปกติมักเอาไว้ใส่ไวน์ (หรือค็อกเทล) เพราะพื้นที่หน้ากว้างจะทำให้ฟองละลายเร็ว ยังไม่ทันชื่นชมความงดงาม ทุกสิ่งอย่างก็พลันสูญสลาย เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Claire และ Jean ละลายไปพร้อมฟองอย่างรวดเร็ว

ตัดต่อโดย Denise de Casabianca (1931-2020) สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มต้นจากเป็นผู้ช่วยตัดต่อ Rififi (1955), แล้วกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Jacques Rivette ผลงานเด่นๆ อาทิ Paris Belongs to Us (1961), The Nun (1966), Out 1: Spectre (1972), The Mother and the Whore (1973) ฯ

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Claire ภรรยาสาวสุดสวยของ Jean เดินทางไปหาชู้รัก Claude พอได้รับของขวัญเสื้อคลุมขนมิงค์ราคาแพง ครุ่นคิดแผนการการเอาไปฝากไว้ยังสถานีรถไฟ แสร้งว่าพบเจอตั๋วฝากของ เรียกร้องให้สามีเดินทางไปรับให้ แต่กลับตกอยู่ในสถานการณ์ Fool’s Mate โดยล่อหลอก ตลบหลัง ฉันต่างหากที่โง่เอง ค้นพบความจริงที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว

เสียงบรรยายของผกก. Rivette พยายามเปรียบเทียบเหตุการณ์ต่างๆบังเกิดขึ้นกับการเดินหมากรุก สถานการณ์ Fool’s Mate หรือ Scholar’s Mate คือหญิงสาวต้องการล่อหลอกสามี แต่กลับเป็นตนเองที่โดนรุกฆาต!

  • หมากของ Claire
    • เดินทางไปหาชู้รัก Claude
    • ได้รับของขวัญเสื้อคลุมขนมิงค์
    • ครุ่นคิดแผนการนำไปฝากไว้ยังสถานีรถไฟ
    • กลับมาบ้านพยายามโน้มน้าวสามี ให้ไปขึ้นตั๋วฝากของ
  • หมากของ Jean
    • ยามเช้าออกเดินทางไปทำงาน
    • Solace แวะมาเยี่ยมเยียน Claire
    • พอ Jean นำกระเป๋ากลับมาบ้าน พบเจอเสื้อคลุมขนกระต่าย มันเกิดอะไรขึ้น?
    • เดินทางไปพบเจอชู้รัก Claude เรียกร้องโน่นนี่นั่น ก่อนตัดสินใจร่ำจากลา
    • งานเลี้ยงปาร์ตี้พบเห็น Solace สวมเสื้อคลุมขนมิงค์ของตนเอง เลยตระหนักรู้ว่าถูกรุกฆาตเรียบร้อยแล้ว

ในส่วนของเพลงประกอบขึ้นเครดิต François Couperin (1668-1733) คีตกวี นักออร์แกน (Organist) และฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichordist) สัญชาติฝรั่งเศส แห่งยุคสมัย Baroque ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความขัดแย้ง ท่วงทำนองมีลักษณะโต้ตอบ ตัดกัน สอดคล้องเข้ากับการเล่นหมากรุก เผชิญหน้าระหว่างสามี vs. ภรรยา ต่างพยายามหักเหลี่ยมเฉือนคม แอบคบชู้นอกใจคนรัก

  • Les Nations: Troisième Ordre (L’Impériale) (1726) แปลว่า The Nation: Third Order (The Imperial) มีทั้งหมด 10 Movement
    • บันทึกเสียงโดย Orchestre de Chambre Hewitt
  • L’Apothéose de Lully (1725) แปลว่า Apothéose de Lully มีทั้งหมด 13 Movement
    • บันทึกเสียงโดย Orchestre de Chambre Hewitt
  • Pièces de clavecin Livre 4, Vingt-quatrième Ordre (XXIV) in A minor & A major (1730) แปลว่า Harpsichord Pieces Book 4, Twenty-fourth Order (XXIV) in A minor and A major บทเพลงชื่อว่า Les Jeunes Seigneurs แปลว่า The Young Lord
    • บรรเลง Harpsichord โดย Eta Harich-Schneider

Jacques Rivette คือหนึ่งในผู้กำกับหัวขบถแห่งวงการภาพยนตร์ ตั้งแต่หนังสั้นเรื่องแรกๆ พยายามจะแหกกฎกรอบ มองหาความเป็นไปได้ ทดลองภาษาภาพยนตร์รูปแบบใหม่

Le Coup du berger (1956) คือหนึ่งในการทดลองภายใต้ข้อจำกัด/งบประมาณพึงมี รังสรรค์ผลงานที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ‘mise en scène’ ละเล่นกับทิศทาง ระยะห่าง สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร โดยใช้เสื้อคลุมขนมิงค์ คล้ายๆต่างหูเพชรของ The Earrings of Madame De… (1953) เป็นสิ่งขับเคลื่อน (Plot-Device) ทำให้ได้ค้นพบความจริงที่คาดไม่ถึง ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ในเกมหมากรุก Fool’s Mate แต่เป็นฉันที่โง่เอง I Am Fool!

แม้ความยาวแค่ครึ่งชั่วโมง แต่ลีลาอันจัดจ้าน แพรวพราวด้วยลูกเล่น รายละเอียด ‘mise en scène’ โดยไม่รู้ตัว Le Coup du berger (1956) กลายเป็นแรงบันดาลใจให้บรรดาผองเพื่อนนักวิจารณ์ François Truffaut รวมถึง Claude Chabrol, Alain Resnais และ Georges Franju ครุ่นคิดอยากสรรค์สร้างภาพยนตร์ของตนเอง

The example of Le Coup du Berger made me decide to shoot Les Mistons, and Claude Chabrol to be adventure some enough to make a full-length film from Le Beau Serge; and at the same time it moved the most prestigious short-subject filmmakers, Alain Resnais and Georges Franju, to try their first full-length film. It had begun. And it had begun thanks to Rivette. Of all of us he was the most fiercely determined to move

François Truffaut

สไตล์ลายเซ็นต์ของผกก. Rivette เป็นสิ่งที่ยังไม่พบเห็นในหนังสั้นเรื่องนี้ ตัวตนแท้จริงคือรักอิสระ บทหนังมักมีเพียงรายละเอียดคร่าวๆ ปล่อยนักแสดงดั้นสด อยากทำอะไรก็ทำ นานเท่าไหร่ก็ตามสบาย หลายครั้งออกทะเลข้ามมหาสมุทรไปไกลโพ้น แต่ยังสามารถวกกลับเข้าเรื่องได้อย่างคาดไม่ถึง น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก! … โดยเฉพาะ Out 1 (1971) ความยาวประมาณ 13 ชั่วโมง แต่ได้รับการยกย่องระดับมาสเตอร์พีซ

อีกสิ่งน่าสนใจคือบทหนังร่วมพัฒนาโดย Claude Chabrol ใครเคยได้รับชมผลงานของพี่แกหลังจากนี้จะพบเห็นความหลงใหลในการเล่าเรื่องคู่ขนาน (Criss)Cross-Cutting ตัดสลับสอง-สาม-สี่เรื่องราว สลับไปสลับมา เกมหมากรุก รวมถึงการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างสามี-ภรรยา ก็พอมองเห็นร่องรอย เค้าโครงร่าง สลับกันเดินหมาก กำลังค่อยๆพัฒนาต่อไปในอนาคต


ผมมีความกระตือรือล้น อยากจะเขียนถึงผลงานของ Jacques Rivette และ Claude Chabrol มาสักพักใหญ่ๆ ทีแรกว่าจะเริ่มต้นที่ Le Beau Serge (1958) แต่บังเอิญพบเจอคลิปหนังสั้น Fool’s Mate (1956) ซึ่งเป็นการร่วมงานกันของทั้งสอง เลยลองรับชมแล้วเกิดความชื่นชอบประทับใจ เขียนบทความนี้สบายๆ คลายเครียด ได้พักหายเหนื่อยสักเล็กน้อย

หนังอาจไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไร เพียงความบันเทิง ดูเพลิน หักมุมขบขัน แต่เหมาะสำหรับคนกำลังศึกษากลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave นี่คืออารัมบทก่อนจุดเริ่มต้นยุคสมัยยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งวงการภาพยนตร์

จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย

คำโปรย | Fool’s Mate หนังสั้นดูเพลินของ Jacques Rivette ร่วมพัฒนาบทโดย Claude Chabrol กลายเป็นแรงผลักดันแก่สมาชิกกลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave
คุณภาพ | ดูเพลิน
ส่วนตัว | ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: