Strangers on a Train

Strangers on a Train (1951) hollywood : Alfred Hitchcock ♥♥♥♥

ชายแปลกหน้าสองคนบังเอิญพบเจอกันบนขบวนรถไฟ คุยไปคุยมา ชักชวนแลกเปลี่ยนแผนการฆาตกรรม ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน เราสองไม่รู้จักกัน มันช่างเป็น ‘Perfect Murder’ นำเสนอด้วยสไตล์ Hitchcockian เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ รถไฟชนกัน

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของผกก. Hitchcock เลื่องชื่อกับการใช้ “สูตรสอง” ทุกสิ่งอย่างล้วนมีการนำเสนอสองครั้ง ในลักษณะแตกต่างตรงข้าม เหมือนการเล่นเทนนิสโต้ตอบกันไปมา สุดท้ายแล้วย่อมมีผู้แพ้-ชนะ คนหนึ่งถูกฆ่า อีกคนสามารถรอดชีวิต

มันช่างเป็นการเดินทางอันเยิ่นยาวนาน กว่าผมจะไล่เขียนผลงานผกก. Hitchcock มาจนถึง Strangers on a Train (1951) ที่เพิ่งเข้าฉาย House Samyan ช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 ตอนตีพิมพ์บทความนี้คาดว่าน่าจะออกจากโรงไปแล้วกระมัง ใครพลาดไปถือว่าน่าเสียดาย แต่คงไม่ถึงขั้นดิ้นทุรนทุราย

ผมคาดเดาเหตุผลที่ House Samyan เลือกนำเอาภาพยนตร์เรื่องนี้มาฉาย (แทนที่จะเป็น Psycho หรือ Vertigo ผลงานมีชื่อเสียงกว่า) น่าจะเพราะฉากเล่นเทนนิสที่มีลีลาการตัดต่ออันน่าอึ่งทึ่ง (แต่กลับพลาดเข้าชิง Oscar: Best Editing) รับชมเคียงข้าง Challengers (2024) ของ Luca Guadagnino ที่ก็มีฉากเล่นเทนนิสอันน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน … กระมังนะ!

เกร็ด: ระหว่างที่ผมกำลังมองหาใบปิดหนัง บังเอิญไปพบเจอโปสเตอร์อันนี้ที่ผกก. Hitchcock พยายามจะแทรกตัวอักษร L เข้าไปในคำ “Strangers” ให้กลายเป็น “Stranglers” ที่แปลว่าบีบคั้น รัดคอ … แต่ไม่มีใครตายบนรถไฟนะครับ คงต้องการสื่อถึงวิธีการที่ชายแปลกหน้า ทำการฆ่ารัดคอผู้เสียชีวิตมากกว่า

Sir Alfred Joseph Hitchcock (1899-1980) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ เจ้าของฉายา ‘Master of Suspense’ เป็นชาวอังกฤษ เกิดที่ Leytonstone, Essex ครอบครัวเปิดกิจการร้านขายของชำ (grocery shop) ช่วงวัยเด็กมีความสนใจภูมิศาสตร์ แผนที่ ขบวนรถไฟ ใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกร เข้าศึกษาภาคค่ำยัง London County Council School of Engineering and Navigation แต่พอบิดาเสียชีวิต เลยต้องแบ่งเวลามาทำงานเสมียนบริษัทโทรเลข Henley Telegraph and Cable Company, หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มมีความสนใจด้านการเขียน กลายเป็นบรรณาธิการรุ่นก่อตั้ง The Henley Telegraph ก่อนย้ายมาแผนกโฆษณา ทำให้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ ‘Motion Picture’ เกิดความชื่นชอบหลงใหล Der müde Tod (1921) ของผู้กำกับ Fritz Lang

ต่อมายื่นใบสมัครเข้าทำงานสตูดิโอ Famous Players–Lasky เปิดสาขาใหม่ที่ London เริ่มจากเป็นนักออกแบบ Title Card, ร่วมเขียนบท, ออกแบบศิลป์, ผู้จัดการกองถ่าย, ผู้ช่วยตัดต่อ ฯ เรียนรู้งานแทบจะทุกสิ่งอย่าง ไต่เต้าสู่ผู้ช่วยผู้กำกับ Woman to Woman (1923), ได้รับโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Pleasure Garden (1925), แจ้งเกิดกับ The Lodger: A Story of the London Fog (1927), ผลงานโดดเด่นในยุคแรกๆ อาทิ Blackmail (1929), The Man Who Knew Too Much (1934), The 39 Steps (1935), The Lady Vanishes (1938), จากนั้นเซ็นสัญญา(ทาส)โปรดิวเซอร์ David O. Selznick ออกเดินทางสู่ Hollywood สรรค์สร้างผลงาน Rebecca (1940), Shadow of a Doubt (1943), Spellbound (1945), Notorious (1946) ฯ

หลังหมดสัญญา(ทาส)กับโปรดิวเซอร์ Selznick ได้รับบทเรียนการทำงานภายใต้บุคคลอื่น ผกก. Hitchcock จึงร่วมกับเพื่อนสนิท เจ้าของกิจการเครือข่ายโรงภาพยนตร์ Sidney Bernstein ก่อตั้งสตูดิโอโปรดักชั่นของตนเอง Transatlantic Pictures ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1945 สรรค์สร้างผลงาน Rope (1947), Under Capricorn (1949), Stage Fright (1950) แต่กลับไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จ ทำกำไรคืนกลับมา

ด้วยความพะว้าพะวังกลัวว่า Transatlantic Pictures จะล้มละลาย ผกก. Hitchcock จึงจำยินยอมเซ็นสัญญากับ Warner Bros. ทำการดัดแปลงนวนิยาย Strangers on a Train (1950) แต่งโดย Patricia Highsmith (1921-95) นักเขียนหญิง/เลสเบี้ยน สัญชาติอเมริกัน เจ้าของอีกสองผลงานเด่น The Price of Salt (1952) [ดัดแปลงภาพยนตร์ Carol (2015)] และ The Talented Mr. Ripley (1955)

เกร็ด: ด้วยความที่นวนิยาย Strangers on a Train (1950) เป็นผลงานเรื่องแรกของ Highsmith พอได้รับการติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงภาพยนตร์ เลยไม่ได้เรียกแพงมากนัก $7,500 เหรียญ แต่พอรับรู้ว่าบุคคลซื้อไปคือผกก. Hitchcock ก็เกิดความไม่พึงพอใจอย่างรุนแรง … ถ้ารู้ว่าขายให้ผู้กำกับระดับนี้ ก็อาจจะเรียกราคาหลักหมื่นแสน!

พอได้ลิขสิทธิ์นวนิยาย ผกก. Hitchcock มอบหมายให้ Whitfield Cook (1909-2003) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานภาพยนตร์ Stage Fright (1950) ดัดแปลงบทร่างแรก (Treatment) จนเป็นที่พึงพอใจ ได้รับเครดิต Adaptation by …

ในส่วนของการพัฒนาบทหนัง (Screenplay) ผกก. Hitchcock ต้องการนักเขียนมีชื่อเสียง เพื่อใช้เป็นจุดขายของหนัง พยายามติดต่อหลากหลายคน John Steinbeck, Thornton Wilder, Dashiell Hammett, ก่อนมาลงเอยที่ Raymond Chandler (1888-1959) โด่งดังจากนวนิยายแนว Hardboiled อย่าง The Big Sleep (1939), ล่าสุดทำการดัดแปลงบทภาพยนตร์ Double Indemnity (1944)

แต่ทว่าการร่วมงานระหว่างทั้งสองไม่ต่างจากน้ำกับน้ำมัน ผกก. Hitchcock ชอบพูดคุยเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตรงกันข้ามกับ Chandler เป็นคนจริงจัง ตรงต่อเวลา ไม่ชอบทำอะไรไร้สาระ

Hitchcock enjoyed long, rambling off-topic meetings where often the film would not even be mentioned for hours, while Chandler was strictly business and wanted to get out and get writing. He called the meetings “god-awful jabber sessions which seem to be an inevitable although painful part of the picture business.”

Donald Spoto จากหนังสือ The Dark Side of Genius: The Life of Alfred Hitchcock (1983)

Chandler มองทิศทางที่ผกก. Hitchcock นำเสนอมานั้น คุณภาพด้อยกว่าต้นฉบับนวนิยาย “to sacrifice dramatic logic for the sake of a camera effect.” แต่ก็ยังยินยอมพัฒนาบทหนังตามคำร้องขอ ปรับแก้ไขให้ครั้งหนึ่ง แล้วปฏิเสธพบเจอหน้ากันอีกต่อไป

ต่อมาพยายามติดต่อ Ben Hecht เพื่อให้ช่วยขัดเกลา เอาจริงๆคือดัดแปลงบทหนังขึ้นใหม่! แต่ทว่าอีกฝ่ายงานยุ่งมาก ไม่เหลือเวลาว่าง จึงแนะนำผู้ช่วย Czenzi Ormonde (1906-2004) นักเขียนหญิงสัญชาติอเมริกัน เคยตีพิมพ์เรื่องสั้น นวนิยาย Laughter from Downstairs (1948) ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างดี

At their first conference, Hitchcock made a show of pinching his nose, then holding up Chandler’s draft with his thumb and forefinger and dropping it into a wastebasket. He told the obscure writer that the famous one hadn’t written a solitary line he intended to use, and they would have to start all over on page one. The director told Ormonde to forget all about the book, then told her the story of the film himself, from beginning to end.

Patrick McGilligan จากหนังสือ Alfred Hitchcock: A Life in Darkness and Light (2004)

เนื่องด้วยกำหนดการเริ่มต้นโปรดักชั่นกระชั้นชิดเข้ามา เหลือเวลาพัฒนาบทอีกเพียงสามสัปดาห์ ผกก. Hitchcock เลยขอความช่วยเหลือโปรดิวเซอร์ Barbara Keon และศรีภรรยา Alma Reville สามสาว (รวมกับ Czenzi Ormonde) ร่วมกันเร่งรีบทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนแล้วเสร็จตามกำหนดการ!

ในส่วนของเครดิต Screenplay by ผกก. Hitchcock ต้องการขึ้นแค่ชื่อของ Czenzi Ormonde แต่ทว่าสตูดิโอ Warner Bros. ยืนกรานให้ใส่ชื่อ Raymond Chandler (ทั้งๆไม่มีอะไรหลงเหลือในบทสุดท้ายสักสิ่งอย่าง) เพราะจ่ายเงินไปเยอะ แถมอยู่ตำแหน่งสูงกว่าด้วยนะ!

เรื่องราวในฉบับดัดแปลงภาพยนตร์ มีความแตกต่างจากนวนิยายพอสมควร เท่าที่ผมพอหาข้อมูลได้ ประเด็นหลักๆประกอบด้วย

  • สถานที่พื้นหลังเปลี่ยนจาก Southwest และ Florida มาเป็น New York ออกเดินทางสู่ Washington DC
  • ตัวละคร Guy Haines จากเคยเป็นสถาปนิก เปลี่ยนมาเล่นเทนนิสอาชีพ
    • สถาปนิกคืออาชีพที่สามารถออกแบบชีวิต/จิตใจของตนเอง (สื่อถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของ Guy) ส่วนเทนนิสเป็นกีฬาที่คนสองทำการตีโต้ตอบ (เปรียบเทียบถึงการเผชิญหน้าระหว่าง Guy vs. Bruno)
  • ปรับเปลี่ยนนามสกุลตัวละคร อาทิ
    • Charles Anthony Bruno มาเป็น Bruno Antony
    • Anne Faulkner เป็น Anne Morton
  • ฉบับภาพยนตร์เพิ่มเติมตัวละคร Barbara พี่สาวของ Anne สวมแว่นตาหนาเตอะ เพื่อให้เป็น ‘Doppelgänger’ ของ Miriam
  • ในนวนิยายมีการสลับฆาตกรรมกันเกิดขึ้น! แต่ฉบับภาพยนตร์ Guy ปฏิเสธจะลงมือ ไม่ยินยอมเข่นฆ่าใคร
  • ในนวนิยาย Miriam แท้งลูกก่อนถูกฆาตกรรม จากนั้น Guy แต่งงานใหม่กับ Anne โดยทันที!
  • ความสัมพันธ์ระหว่าง Guy กับ Bruno มีความชัดเจนถึง ‘Homoerotic’ แต่ภาพยนตร์พยายามสร้างความคลุมเคลือ ยังไม่สามารถนำเสนอประเด็นเหล่านี้ออกมา (ติดกองเซนเซอร์ Hays Code)
  • จุดจบของ Bruno ในนวนิยาย เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะล่องเรือล่ม สร้างความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก Guy จึงยินยอมรับสารภาพความจริงกับ Owen Markman (อดีตคนรัก Miriam) ก่อนถูกจับกุม ขึ้นศาลไต่สวนความผิด

นักเทนนิสหนุ่ม Guy Haines (รับบทโดย Farley Granger) ระหว่างกำลังโดยสารรถไฟ พบเจอกับชายแปลกหน้า Bruno Antony (รับบทโดย Robert Walker) เข้ามาพูดคุยทักทาย จดจำได้ในฐานะแฟนคลับคนหนึ่ง ซึ่งระหว่างการสนทนาดำเนินไป จู่ๆชักชวนแลกเปลี่ยนแผนการฆาตกรรม ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน เราสองไม่รู้จักกัน มันช่างเป็น ‘Perfect Murder’ แต่เขาทำการปฏิเสธทันควัน

หลังลงจากขบวนรถไฟ Guy พยายามพูดคุยกับภรรยา Miriam เพื่อขอหย่าร้าง จะได้แต่งงานกับแฟนสาวคนใหม่ Anne Morton แต่กลับได้รับตอบปฏิเสธ เกิดความโกรธเกลียดเคียดแค้น ครุ่นคิดอยากเข่นฆ่าอีกฝ่ายให้ตกตาย โทรศัพท์ติดต่อหา Bruno แม้ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย เกิดสามัญสำนึกหยุดยับยั้งชั่งใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายบังเกิดความตระหนักรู้ จึงลงมือฆาตกรรม Miriam ยังสวนสนุกแห่งหนึ่ง

จากนั้น Bruno พยายามทักทวง เรียกร้องขอให้ Guy กระทำตามสัญญาหมั้นหมาย เข่นฆาตกรรมบิดาของตนเอง แต่เขากลับบอกปัดปฏิเสธ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวข้องแว้ง เลยถูกข่มขู่ แบล็กเมล์ อ้างว่าจะเปิดเผยความลับ หลังการแข่งขันเทนนิส จึงรีบตรงไปยังสวนสนุก เผชิญหน้ากันบนม้าหมุนหรรษา


Farley Earle Granger Jr. (1925-2011) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Jose, California มารดาส่งบุตรชายเข้าโรงเรียนการแสดง Ethel Meglin ได้รับบทบาทภาพยนตร์เรื่องแรก The North Star (1943), หลังกลับจากรับใช้ชาติที่ Honolulu แจ้งเกิดภาพยนตร์ Rope (1948), They Live by Night (1948), Strangers on a Train (1951), Senso (1954), The Naked Street (1955)

รับบท Guy Haines นักเทนนิสหนุ่มหล่อ แต่ดูขาดความเชื่อมั่น เก่งแค่ตอนลับหลัง เลยถูกภรรยา Miriam เอารัดเอาเปรียบ ปฏิเสธเลิกราหย่าร้าง ทำได้เพียงครุ่นคิดอยากฆาตกรรม พอชายแปลกหน้า Bruno ลงมือเข่นฆ่าให้ กลับแอบอ้างศีลธรรม ทำตัวเป็นคนดี ทั้งๆระริกระรี้อยากแต่งงานกับ Anne ใจจะขาด (แต่งกับเธอเพื่อเกาะบิดา สมาชิกวุฒิสภาพ จะได้เข้าร่วมเล่นการเมืองหลังเกษียน)

ในตอนแรกผกก. Hitchcock ทำการติดต่อ William Holden แต่เหมือนคิวงานจะไม่ว่าง เลยเปลี่ยนมาใช้บริการ Granger ที่เคยร่วมงาน Rope (1948) ซึ่งต้องถือว่าเป็นการตัดสินใจอันยอดเยี่ยม

Granger is softer and more elusive, more convincing as he tries to slip out of Bruno’s conversational web instead of flatly rejecting him. 

นักวิจารณ์ Roger Ebert

เกือบจะแบบเดียวกับ Rope (1948) ตัวละครของ Granger มีความอ่อนแอ พะว้าพะวัง ขาดความเชื่อมั่น ทำให้ถูกควบคุมครอบงำ ไม่กล้าครุ่นคิดตัดสินใจอะไรๆ ผมไม่ค่อยอยากวิเคราะห์การแสดงในเชิงว่า Granger นำเอาประสบการณ์ตรง (ที่เป็นเกย์) มาปรับใช้ในการถ่ายทอดความกลัว หวาดระแวง วิตกจริต ถึงต้องการปกปิด ซุกซ่อนเพศสภาพ แต่ความสัมพันธ์กับ Bruno เคลือบแฝงกลิ่นอาย ‘Homoerotic’ มันจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงใดๆ

แต่การแสดงของ Granger ต้องถือว่ามีวิวัฒนาการขึ้นจาก Rope (1948) ไม่ได้โดนกดขี่ข่มเหง ถูกควบคุมครอบงำ จนตกอยู๋ในความสิ้นหวังเพียงอย่างเดียว ช่วงท้ายสามารถตี(เทนนิส)โต้ตอบ ลุกขึ้นยืน เผชิญหน้าต่อสู้ เอาชนะความกลัว ก้าวข้ามขีดจำกัดตนเองได้สำเร็จ


Robert Hudson Walker (1918-51) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Salt Lake City, Utah หลังจากครอบครัวหย่าร้าง ค้นพบความสนใจด้านภาพยนตร์ เข้าฝึกฝนการแสดงยัง American Academy of Dramatic Arts เริ่มจากมีผลงานละคอนเวที วิทยุ ภาพยนตร์ อาทิ Since You Went Away (1944), The Clock (1945) Strangers on a Train (1951) ฯ

รับบท Bruno Antony ชายวัยกลางคนผู้มีอาการป่วยทางจิต อาศัยอยู่กับครอบครัวในคฤหาสถ์หลังใหญ่ รักมารดา รังเกลียดบิดา (Oedipus complex) บังเอิญหรือจงใจก็ไม่รู้ พบเจอ Guy Haines ที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน เสนอแนะแลกเปลี่ยนแผนการฆาตกรรม ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน เราสองไม่รู้จักกัน มันช่างเป็น ‘Perfect Murder’

แต่หลังจาก Bruno ลงมือฆาตกรรม Miriam กลับถูกทรยศหักหลัง Guy ปฏิเสธเข่นฆ่าบิดา ทั้งๆอุตส่าห์ตระเตรียมแผนการ วันเวลาไว้ให้ทุกสิ่งอย่าง จึงเริ่มแอบติดตาม (Stalker) ข่มขู่ แบล็กเมล์ พร้อมจะเปิดโปงความจริง ก่อนเผชิญหน้ากันที่สวนสนุก ม้าหมุนหรรษา

แม้ว่า Walker จะติดสัญญาอยู่กับสตูดิโอ M-G-M แต่เพราะเป็นตัวเลือกแรก ตัวเลือกเดียวของผกก. Hitchcock ประทับใจมาตั้งแต่ The Clock (1945) ทำการต่อรองอยู่สักพักจนสามารถหยิบยืมตัวได้สำเร็จ พวกเขาร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างรายละเอียด กิริยาท่าทาง ภาษากาย ให้แสดงออกอย่างมีลับลมคมใน คละคลุ้งกลิ่นอาย ‘Homoerotic’

นักวิจารณ์หลายๆคน รวมถึงผกก. Hitchcock ล้วนแสดงความคิดเห็นว่า Bruno Antony ถือเป็นตัวร้ายดีที่สุดในจักรวาล Hitchcockian (ยิ่งกว่า Norman Bates จาก Psycho (1960) เสียอีกนะ!) ไม่ใช่แค่ความเฉลียวฉลาด โฉดชั่วร้าย ฆ่ารัดคอหญิงสาวอย่างเลือดเย็น แล้วพอนาย Guy ปฏิเสธทำตามคำเรียกร้องขอ จึงบุกรุกล้ำ แทรกซึมเข้ามาในชีวิต/แวดวงสังคม สร้างความหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง หวาดเสียวสันหลัง/ประตูหลัง จนแทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง

The greatest weakness of the picture is that it breaks an unwritten law: The more successful the villain, the more successful the picture. That’s a cardinal rule, and in this picture the villain was a flop!

Alfred Hitchcock

His Bruno Anthony in that film was not only his best performance but a landmark among villains – a man of piercing ideas transformed by crossing lines into a smiling psychopath. Walker manages to be very disturbing and yet never loses our sympathy. See how much he suggests in the first meeting: the inactive man who dominates the athlete Granger, the subtle notes of homosexuality, and that beautiful moment when he leans back, sighs, and tells how he “puts himself to sleep” scheming up plans. Bruno is one of Hitchcock’s greatest creations and a sign of how seriously Walker was cramped by wholesomeness. He so monopolizes the film that he may even have led Hitchcock to appreciate its underground meanings. This demonic vitality is the key to the film and one of Hitchcock’s cleverest confusions of our involvement. Touched and intrigued by his gestures – the boyish pleasure at the fairground, the mischievous bursting of the little boy’s balloon, the evident superiority of his mind to that of Guy’s brassy wife – we become accomplices to the murder he commits. Thus he hands the dead body down to us, distorted by the spectacles that have fallen from the victim’s goggling head.

นักเขียน/นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ David Thomson ในหนังสือ The New Biographical Dictionary of Film

Walker มีอาการป่วยซึมเศร้า ติดเหล้า ติดยา และมีปัญหาทางจิต หลังจากหย่าร้างภรรยาสองคน ก่อนหน้าและหลังการแสดงภาพยนตร์ Strangers on a Train (1951) เกิดอาการสติแตก (Nervous Breakdown) เข้ารับการบำบัดอยู่ Menninger Clinic แม้อาการดีขึ้นแต่ยังต้องพึงพายารักษา ถึงอย่างนั้นระหว่างแสดงหนังเรื่องสุดท้าย My Son John (1952) อาการป่วยกำเริบ แพทย์ฉีดยาสงบสติอารมณ์ กลับทำให้หมดสิ้นลมหายใจ (ได้รับการวินิจฉัย accidental overdose of tranquilizers) สิริอายุเพียง 32 ปี!


ถ่ายภาพโดย Leslie Robert Burks (1909-68) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Chino, California พออายุ 19 เข้าทำงานแผนก Special Effect ในห้องแลป Warner Bros. ก่อนไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยตากล้องเมื่อปี ค.ศ. 1929, ควบคุมกล้อง ค.ศ. 1934, แล้วได้รับเครดิตถ่ายภาพตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944, ร่วมงานขาประจำผกก. Alfred Hitchcock เริ่มตั้งแต่ Strangers on a Train (1951) จนถึง Marnie (1964), คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Color ภาพยนตร์ To Catch a Thief (1955)

มันช่างเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผกก. Hitchcock ไม่เคยมีตากล้องขาประจำจนกระทั่ง Robert Burks เป็นบุคคลไม่เรื่องมาก สุภาพบุรุษ ชอบครุ่นคิดวางแผน ตระเตรียมงานล่วงหน้า เต็มไปด้วยรายละเอียด ความแม่นยำ แถมยังเชี่ยวชาญสารพัดเทคนิค ชื่นชอบความท้าทาย กล้าทดลองสิ่งแปลกใหม่ … เป็นตากล้องที่เข้ากับวิถีการทำงาน และสามารถเติมเต็มวิสัยทัศน์ Hitchcock ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

You never have any trouble with him as long as you know your job and do it. Hitchcock insists on perfection. He has no patience with mediocrity on the set or at a dinner table. There can be no compromise in his work, his food, or his wines.

Robert Burks

งานภาพของหนังแพรวพราวด้วยลูกเล่น จัดเต็มเทคนิคภาพยนตร์ พยายามทำออกมาให้ตอบสนองแนวคิด “สูตรสอง” บางครั้งมีความสมมาตร บางครั้งแตกต่างตรงกันข้าม ฉากหนึ่งถ่ายตอนกลางวัน เมื่อหวนกลับมาสถานที่เดิมอีกครั้งเปลี่ยนมาถ่ายตอนกลางคืน แต่สิ่งน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือการใช้เครื่องฉาย Rear Projection ทั้งฉากแข่งขันเทนนิส และไคลน์แม็กซ์บนเครื่องเล่นม้าหมุน ทำออกมาได้อย่างแนบเนียน สร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้

หนังเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ยังเตรียมงานสร้างไม่เสร็จ เพราะผกก. Hitchcock ต้องการภาพพื้นหลัง ฟุตเทจการแข่งขันเทนนิส 1950 Davis Cup รอบชิงชนะเลิศ United States vs. Australia ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ณ West Side Tennis Club ตั้งอยู่ยัง Forest Hills, New York ส่วนการตีโต้ที่พบเห็นใบหน้านักแสดง ค่อยหวนกลับมาถ่ายทำในสตูดิโอ Warner Brothers Burbank Studios

โปรดักชั่นของหนังเริ่มต้นจริงๆช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม ค.ศ. 1950 นอกจากถ่ายทำในสตูดิโอ Warner Bros. ซีเควนซ์สวนสนุก (Amusement Park) ขอหยิบยืมฟาร์ม (Ranch) ของผู้กำกับ Rowland V. Lee (โด่งดังสุดคือกำกับ The Count of Monte Cristo (1934) และ Son of Frankenstein (1939)) ตั้งอยู่ยัง Chatsworth, California … ตั้งแต่เมื่อ Rowland Lee เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1975 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกซื้อต่อ พัฒนาเป็นรีสอร์ท/ชุมชน Hidden Lake Estates ล้อมรอบทะเลสาป

ภาพแรกของหนังเริ่มต้นที่ทางเข้าสถานีรถไฟ Union Station, Washington D.C. จากนั้นตัดสลับภาพชายสองคนจากสองทิศทาง (มุมมอง Isometric) กำลังลงจากรถ ก้าวเข้าสู่สถานี แม้ผู้ชมอาจคาดเดาไม่ได้ว่าใครคือใคร แต่เป็นการอารัมบทแนวคิด “สูตรสอง” เรื่องราวต่อจากนี้เกี่ยวพันกับคนสองที่มีความแตกต่างตรงกันข้าม

แรกพบเจอระหว่าง Guy & Bruno เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองก้าวเดินมายังตู้เสบียง ขณะกำลังจะนั่งไขว่ห้าง รองเท้าสะกิดโดนกัน (ผมเคยอ่านเจอว่าการนั่งไขว่ห้าง ปลายเท้าหันหาใครแสดงว่าบุคคลนั้นอยู่ในความสนใจ การสะกิดเท้าก็เฉกเช่นเดียวกัน สามารถตีความว่าฉันสนใจนาย) จากนั้น Bruno เริ่มต้นพูดคุยทักทาย ลุกเข้ามาจับมืออีกฝ่าย (แสดงถึงการบุกรุก คุกคาม) จากนั้นโชว์เนคไทด์กุ้งล็อปเตอร์ของมารดา (เนคไทด์คือสิ่งสำหรับผูกรัด มัดคอ, ขณะที่ล็อปเตอร์คือราชาแห่งกุ้ง สถานะทางสังคมอันสูงส่ง) และท้ายสุดคือได้รับไฟแช็คจุดบุหรี่ (จุดไฟราคะ) A to G ย่อมาจาก Anne to Guy

เกร็ด: ผกก. Hitchcock เป็นคนออกแบบลวดลาย เลือกเนคไทด์ของ Bruno ด้วยตนเอง!

ภาพถ่าย ‘Two Shot’ ตัดสลับไปมา (Reverse Shot) ระหว่างการสนทนา แต่สังเกตว่าเงาบานเกล็ด(ที่มีลักษณะเหมือนซี่กรงขัง) กลับอาบฉาบเพียงใบหน้าของ Bruno (ที่ก็สวมใส่ชุดลวดลายทาง) นั่นแสดงว่าเขากำลังจมปลักอยู่ในความมืด ครุ่นคิดแต่สิ่งชั่วร้าย บุคคลอันตราย สมควรถูกจับกุม คุมขัง รักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช, ส่วนฟากฝั่ง Guy ใบหน้าขาวสว่าง แสดงถึงจิตใจบริสุทธิ์ อนาคตยังสดใส ไร้มลทิน

ผกก. Hitchcock ปรากฎตัว (Cameo) ในหนังถึงสองครั้ง!! เพื่อให้สอดคล้องเข้ากับแนวคิด “สูตรสอง” ครั้งแรกบนปกหนังสือ Alfred Hitchcock’s Fireside Book of Suspense Stories (1947) ระหว่างที่ Guy กำลังเปิดอ่านเมื่อแรกพบเจอ Bruno และระหว่างกำลังลงจากขบวนรถไฟ ณ สถานี Metcalf พอดิบดีสวนทางผกก. Hitchcock แบกหามเครื่องดนตรี Double Bass (ทีแรกผมเข้าใจผิดว่า Cello ก่อนค้นพบว่าจริงๆแล้วคือ Double Bass ที่มีขนาดใหญ่กว่า)

The only kind of doubles (bass) I play.

Alfried Hitchcock

เกร็ด: มีภาพยนตร์อีกสามเรื่องที่พบเห็นผกก. Hitchcock แบกหามเครื่องดนตรี Spellbound (1945) ถือกระเป๋า Violin, The Paradine Case (1947) กระเป๋า Cello และ Vertigo (1958) ถือกระเป๋า Bugle

Guy แวะเวียนมาหาภรรยา Miriam ทำงานอยู่ร้านขายแผ่นเสียง พยายามพูดคุยต่อรอง เมื่อไหร่จะติดต่อทนายความ ต้องการเลิกราหย่าร้าง แต่เธอกลับยื้อยักเล่นตัว เรื่องอะไรฉันจะยินยอมตัดท่อน้ำเลี้ยงโดยง่ายดาย

  • เวลา Miriam เอ่ยกล่าวอะไร กล้องถ่ายจากเอวของ Guy แม้ไม่ใช่มุมเงยขึ้น แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเธอดูสูงส่ง มีอิทธิพล สามารถควบคุมครอบงำ นำทางการสนทนาครั้งนี้
  • ตรงกันข้ามกับฟากฝั่ง Guy กล้องถ่ายเหนือบ่าของ Miriam แม้เขาตัวสูงกว่า แต่กลับดูเหมือนคนธรรมดาๆ ไร้พละพลัง ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆมาโต้ตอบ หาหนทางออก ครุ่นคิดตัดสินใจอะไร

จริงๆเมื่อตอน Guy & Bruno พูดคุยสนทนาในห้องโดยสารรถไฟ ก็มีการใช้มุมกล้องลักษณะคล้ายๆกัน แต่มันไม่ค่อยเด่นชัดเจนนักเมื่อเทียบกับสองช็อตนี้

ใช่ว่า Guy เป็นคนมีจิตใจดีงามอะไร ต้องการแต่งงานกับ Anne เพราะเธอคือบุตรสาวสมาชิกรัฐสภา ต้องการใช้เป็นบันไดไต่เต้าเข้าสู่วงการเมือง แต่เพราะภรรยา Miriam ปฏิเสธเลิกราหย่าร้าง เกิดความไม่พึงพอใจ ขณะขบวนรถไฟกำลังแล่นผ่าน ตะโกนลั่นอยากบีบคอ ฆ่าให้ตายคามือ (แต่ไม่มีใครได้ยินเพราะถูกเสียงขบวนรถไฟกลบมิด) และพอจบซีนนี้มีการ ‘Cross Cutting’ พบเห็นมือของ Bruno กำลังซักซ้อม ทำท่าทางเลียนแบบการบีบคอ

ภาพวาดนี้เป็นผลงานจริงๆของนักแสดง Marion Lorne รับบท Mrs. Antony (มารดาของ Bruno) ตั้งใจวาด Saint Francis of Assisi แต่ทว่า Bruno กลับมองเห็นเป็นภาพวาดบิดา Mr. Antony (รับบทโดย Jonathan Hale) มีความอัปลักษณ์ทั้งร่างกาย-จิตใจ ลวดลายเส้น Expressionism นำเสนอตัวตนแท้จริงของอีกฝ่ายออกมา

ระหว่างที่ Bruno คุยโทรศัพท์ทางไกลกับ Guy สังเกตว่ามีการใช้เทคนิค ‘Deep Focus’ ทำให้ภาพเบื้องหน้า-หลังมีความคมชัด แต่พอผมเห็นภาพหลังที่ตัดกลับมา มันดูไม่ค่อยแนบเนียน เหมือนภาพเบื้องหลังฉายผ่านเครื่อง Rear Projection เสียมากกว่า

แต่ไม่ต้องไปสนใจเทคนิคมากก็ได้ เอาเพียงความหมายที่ละม้ายคล้าย Citizen Kane (1941) คนเบื้องหน้าไม่สนใจคนเบื้องหลัง … vice versa … คนเบื้องหลังก็ไม่สนใจคนเบื้องหน้า แม้พวกเขาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยสนห่าเหวอะไรกัน

ทำไมผกก. Hitchcock ถึงเลือกสวนสนุก สถานที่สำหรับฆาตกรรม? ผมครุ่นคิดว่าเหตุผลก็ตามชื่อ ‘สวนสนุก’ สถานที่แห่งความสนุกสนานหรรษา ความตายมันอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนุกของตัวละคร แต่ผู้ชมภาพยนตร์ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน บันเทิงรมณ์

  • แวะร้านขายไอศกรีม เวลาใช้ลิ้นเลียมันช่าง Sexy Erotic
  • เกมทุบน้ำหนัก เป็นการสำแดงพละกำลัง เข้มแข็งแกร่ง สื่อถึงความเป็นลูกผู้ชาย
  • เครื่องเล่นม้าหมุน (Merry-go-Round) ขึ้นบนหลังม้า โยกไปโยกมา (นึกถึงท่าควบม้า WoT)
  • ล่องเรือผ่านเข้าอุโมงค์ Tunnel of Love แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงความโรแมนติก
    • เรือของ Bruno มีชื่อว่า Pluto ในปรัมปรากรีกคือ God of the Underworld
    • ระหว่างล่องเรือผ่านเข้าอุโมงค์ ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคัก จะมีการฉายภาพเงามืดบนผนังที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
    • Tunnel of Love และ Magic Isle ถ่ายทำยัง Canoga Park, Los Angeles

ด้วยความที่ผู้ชมสามารถคาดเดาได้อยู่แล้วว่า Bruno ต้องกำลังจะเข่นฆ่า Miriam การเดินติดตาม ก็เพื่อรอคอยเวลา หาโอกาสลงมือ (หรือจะมองว่าคือ Stalker ก็ได้เช่นกัน) แต่ด้วยความระริกระรี้แรดร่านของหญิงสาว เธอเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง ครุ่นคิดว่าตนเองถูกอีกฝ่ายหมายปอง จึงส่งสายตาอ่อยเหยื่อ ยั่วราคะ … มันช่างเป็นความเข้าใจผิดที่เสียวสันหลังยิ่งนัก! โดยเฉพาะระหว่างลอดอุโมงค์แห่งรัก เงามืดที่ค่อยๆคืบคลานเข้าหา อาจทำให้หลายคนหวาดระแวง วิตกจริต ครุ่นคิดว่าหญิงสาวอาจถูกฆาตกรรมตั้งแต่ตอนนี้

หนึ่งในช็อตน่าจดจำที่สุดในจักรวาล Hitchcockian คือระหว่าง Bruno ทำการบีบรัดคอ Miriam พบเห็นผ่านภาพสะท้อนในแว่นตา (ของ Miriam) นี่เป็นลีลานำเสนอที่แปลกประหลาด ซับซ้อน มีคำเรียก ‘double printing technique’ อธิบายง่ายๆก็คือถ่ายทำสองครั้ง ครั้งแรกยังสถานที่จริง, ครั้งสองในสตูดิโอเพียงนักแสดงหญิง พยายามล้มกลิ้งแบบเดียวกับที่เคยถ่ายทำไว้ แล้วนำเอาทั้งสองฟุตเทจมาผสมรวมเข้ากันด้วย (เลยเรียกว่า Double Printing)

The unusual angle was a more complex proposition than it seems. First Hitchcock got the exterior shots in Canoga Park, using both actors, then later he had Rogers alone report to a soundstage where there was a large concave reflector set on the floor. The camera was on one side of the reflector, Rogers was on the other, and Hitchcock directed Rogers to turn her back to the reflector and “float backwards, all the way to the floor… like you were doing the limbo.”

Charlotte Chandler จากหนังสือ It’s Only a Movie: Alfred Hitchcock, A Personal Biography (2006)

ผมไม่แน่ใจว่านี่คือครั้งแรกเลยรึเปล่าในหนังของผกก. Hitchcock ที่ถ่ายให้เห็นการบีบรัดคอจนเสียชีวิต (เมื่อตอน Rope (1948) พบเห็นตอนเสียชีวิตแล้ว) แต่การนำเสนอก็ไม่ได้พบเห็นแบบตรงๆ (เพราะคงไม่ผ่านกองเซนเซอร์ Hays Code) ภาพสะท้อนในแว่นตามีความขมุกขมัว เงาเลือนลาง เห็นแบบไม่ได้ตั้งใจให้เห็น ลักษณะเช่นนี้สร้างความหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฉายให้เห็นแบบตรงๆเสียอีก!

ทั้งๆที่ Guy เพิ่งจะฆาตกรรม Miriam แต่ระหว่างกำลังหลบหนีออกจากสวนสนุก เขากลับช่วยเหลือคนตาบอดเดินข้ามถนน มันช่างเป็นความขัดย้อนแย้ง สร้างภาพ เล่นละคอนตบตา นั่นทำให้ผมตระหนักว่าคนดี-เลว ไม่สามารถตัดสินได้จากการแสดงออกต่อหน้าสาธารณะ … เหมือนพวกนักการเมืองที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นคนดี ลับหลังอาจเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ใช้อำนาจบาดใหญ่ เข่นฆ่าผู้อื่นอย่างเลือดเย็น

เมื่อครั้น Guy เดินทางกลับบ้าน ลงจากแท็กซี่ ขณะกำลังขึ้นไปไขกุญแจ เปิดประตู สังเกตว่ามุมกล้องเอียงๆ (Dutch Angle) เพื่อสื่อถึงความผิดปกติ ลางสังหรณ์ (ขณะนั้นยังไม่รู้ข่าวคราวการเสียชีวิตของ Miriam) สิ่งชั่วร้ายกำลังมาเยือน หรือก็คือ Bruno ส่งเสียงเรียกหา หลบซ่อนตัวอยู่ตรงรั้วฝั่งตรงข้าม

การสนทนาระหว่าง Guy & Bruno ตั้งแต่ช่วงแรกๆจะพบเห็น Bruno ถูกผลักเข้าไปด้านหลังรั้ว ดูราวกับอยู่ในกรงขัง เพราะความผิดที่ได้กระทำ เข่นฆาตกรรม Miriam, ขณะที่ Guy เริ่มจากเงาเลือนลางอาบฉาบใบหน้า (ยังไม่รับรู้ความผิดของตนเอง) จนพอขู่จะเปิดเผยความจริงกับตำรวจ คำโต้ตอบของ Bruno เตือนสติว่าอีกฝ่ายก็หาใช่คนบริสุทธิ์ มีความผิด ฐานสมรู้ร่วมคิด ต้องติดคุกติดตารางเหมือน (วินาทีนั้นกล้องถ่ายจากฟากฝั่งของ Bruno พบเห็น Guy ราวกับอยู่ในกรงขัง)

หลังได้รับคำตอบปฏิเสธจาก Guy ไม่ยินยอมฆาตกรรมตามข้อตกลง Bruno จึงแอบติดตาม (Stalker) คุกคาม แทรกซึมเข้ามาในชีวิต/แวดวงสังคม

  • ยืนอยู่บนบันได Jefferson Memorial, Washington D.C.
  • ส่งจดหมายมาโน้มน้าว ย้ำเตือนสติ
    • สังเกตว่าตอน Guy ยืนอ่านจดหมาย กล้องถ่ายมุมเงยเห็นเพดาน สร้างสัมผัสราวกับถูกกดดัน ครอบงำ ไม่สามารถดิ้นหลบหนี
  • ระหว่างมาท่องเที่ยว National Gallery of Art, Washington D.C. ก็ยังถูกติดตามมาพบเจอ
    • เป็นฉากที่ใช้เครื่องฉาย Rear Projection ดูไม่ค่อยแนบเนียนสักเท่าไหร่
  • และขณะมาซ้อมเทนนิส Bruno ยังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชม ในขณะที่ใครต่อใครหันศีรษะไปมา (ตามการตีโต้ลูกเทนนิส) หมอนี่กลับจับจ้อง เพ่งมอง ไม่ยินยอมคลาดสายตา

แต่ความน่าสะพรึงกลัวสุดๆของ Bruno คือการเข้ามาตีสนิทแฟนสาว Anne แทรกซึมแวดวงสังคม เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ไม่มีใครเชื้อเชิญ แถมยังไม่สามารถขับไล่ เพราะพูดคุยสนุก อัธยาศัยดีงาม กลายเป็นที่ชื่นชอบของแขกเหรื่อในงาน

จุดอ่อนที่คาดไม่ถึงของ Bruno คือการได้พบเจอ Barbara Morton (รับบทโดย Patricia Hitchcock บุตรสาวของผกก. Hitchcock) น้องสาวของ Anne แม้หน้าตาไม่ได้ละม้ายกันเท่าไหร่ แต่เพราะสวมแว่นตาหนาเตอะจึงมีลักษณะเหมือน ‘doppelgänger’ นั่นทำให้เขาเกิดอาการตกตะลึง หวนระลึกความหลัง รื้อฟื้นปมจากอดีต (Trauma) ที่เคยฆ่าบีบคอ Miriam ติดตามมาหลอกหลอน มอดไหม้ทรวงใน (ซ้อนภาพไฟแช็กที่จุดก่อนฆาตกรรม Miriam บนแว่นตาของ Barbara)

เฉกเช่นเดียวกับงานเลี้ยง Governors Ball ระหว่างที่ Bruno กำลังแสดงตัวอย่างวิธีการบีบรัดคอ แล้วบังเอิญหันไปพบเห็น Barbara กล้องซูมเข้าหาใบหน้า ราวกับ Déjà Vu เกิดอาการค้างนิ่ง ไม่รับรู้ตัวเอง มือสองข้างบีบรัดหญิงสูงวัยอย่างรุนแรง จากนั้นเป็นลมล้มพับ หมดสติสตางค์ ถูกขับไล่ออกจากงานเลี้ยง

แซว: ด้วยความโด่งดังของฉากบีบคอหญิงสูงวัยนี้ กลายเป็นเทรนด์นิยมให้ผกก. Hitchcock ชอบถ่ายภาพบีบรัดคอบุคคลมีชื่อเสียง นำมาอวดอ้าง ของสะสม รวบรวมเก็บในอัลบัมส่วนตัว

หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมา Bruno พยายามอธิบายเหตุการณ์บังเกิดขึ้น แล้วมีขณะหนึ่งพูดว่า “I like you” จริงๆแล้วกำลังสื่อถึงสถานการณ์ขณะนี้ที่พวกเขา(สำนวน)ลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เหมือนกับนายที่… แต่ทว่าวินาทีพูดประโยคนี้ Guy ง้างมัดชกใส่หน้ากล้อง ทำเอา Bruno กระเด็นกระดอนทิ้งตัวลงบนโซฟา มันเหมือนพยายามจะเซนเซอร์คำบอกรัก “Come on, pull yourself together.” ไม่ให้พลั้งพลาดหลุดปากออกมา

วินาทีที่ Guy พูดว่า “Come on, pull yourself together.” มีการถ่ายมุมเงย ติดเพดาน เพื่อสื่อว่าเขาพยายามจะควบคุมสถานการณ์ขณะนี้ พร้อมโต้ตอบ ต่อสู้ ไม่ยินยอมก้มหัวศิโรราบให้ Bruno อีกต่อไป!

และตอนจบซีนนี้ Guy ทำการจัดแจงโบว์ไทด์ ติดกระดุมคอเสื้อให้กับ Bruno มันช่างดูราวกับคนรักหลังสิ้นสุดการทะเลาะวิวาท ก็สามารถคืนดี ยกโทษให้อภัย โรแมนติก อีโรติก คละคลุ้งกลิ่นอาย ‘Homoerotic’

คฤหาสถ์ของครอบครัว Antony ยามค่ำคืนนึกว่าบ้านผีสิง ช่างมีลึกลับ ปกคลุมอยู่ในความมืดมิด ยิ่งดูน่าหวาดสะพรึงด้วยมุมกล้องเอียงๆ (Dutch Angel) สุนัขเฝ้ายามตรงบันได (ชวนให้นึกถึงสุนัขสามหัว Cerberus เฝ้าทางเข้าขุมนรก) และเงาของ Bruno ช่างดูหลอกหลอน ซุกซ่อนความชั่วร้ายไว้ภายใน

แซว: การแอบย่องเข้ามาบ้านยามวิกาล บุกถึงห้องนอน พบเจอ Bruno อยู่บนเตียง ถ้ามองเพียงแค่การกระทำของ Guy มันช่างคละคลุ้งกลิ่นอาย ‘Homoerotic’ อีกเช่นกัน!

ตรงกันข้ามกับตอนกลางวัน Anne เดินทางมาเยี่ยมเยียนครอบครัว Antony พบเจอมารดา(ของ Bruno) ปฏิเสธรับฟังคำกล่าวอ้าง ไม่เชื่อว่าบุตรชายจะลงมือเข่นฆาตกรรมใครได้ลง และหลังจากเธอจากไป Bruno ได้เข้ามายืนค้ำศีรษะ พยายามปั่นหัว พูดกรอกหู สรรหาคำกล่าวอ้างที่แตกต่างจากข้อเท็จจริง … แต่แตกต่างจาก Guy ที่เป็นคนหัวอ่อน หลงเชื่อคนง่าย Anne แสดงท่าทางเริดเชิด ปิดกั้น ไม่ยินยอมรับฟัง เชื่อมั่นเพียงคำกล่าวของชายคนรักเท่านั้น

เกร็ด: Ruth Roman ผู้รับบท Anne Morton เป็นบุคคลเดียวในกองถ่ายที่มักถูกผกก. Hitchcock กระแหนะกระแหน ตำหนิต่อว่าเรื่องการแสดง นั่นเพราะเธอคือเส้นสายของ Jack L. Warner ไม่ได้อยู่ในความต้องการสักเท่าไหร่

โดยปกติแล้วการทำงานของผกก. Hitchcock จะมีการวางแผน วาดภาพ Storyboard ตระเตรียมทุกสิ่งอย่างไว้พร้อมสรรพตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำ แต่เนื่องจากการแข่งขันเทนนิส Davis Cup รอบชิงชนะเลิศ United States vs. Australia ณ West Side Tennis Club เริ่มต้นระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ซึ่งยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาบท ยังไม่รู้จะใช้มุมกล้องไหนบ้าง เลยต้องพยายามเก็บรายละเอียด ทุกทิศทาง ทุกความเป็นไปได้ให้มากที่สุด แล้วค่อยมาเลือกใช้เอาภายหลัง

That’s inevitable, it can’t be helped. That’s what happened with the tennis match in Strangers on a Train, and it shows the risk in overshooting material. There’s too much foot­age for you to handle by yourself; you turn it over to the cutter to sort it out, but you never know what’s been left unused. That’s the risk.

Alfred Hitchcock

ส่วนการถ่ายทำภายในสตูดิโอ เท่าที่ผมพยายามจับจ้อง เพ่งมองอยู่สักใหญ่ๆ ค้นพบว่าบนอัฒจันทร์จะมีนักแสดงตัวประกอบนั่งอยู่แถวหน้าๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมา ส่วนแถวหลังๆคือภาพวาดผู้ชม ดูนิ่งๆ ไม่ขยับเคลื่อนไหวติง, ส่วนคนพากย์ในบูท ทำการสร้างฉากขึ้นมา แล้วฉายภาพผ่านเครื่อง Rear Projection ฟุตเทจการแข่งขัน Davis Cup ที่เลือกสรรเอาไว้

เกร็ด: Farley Granger ได้รับการฝึกฝนจากนักเทนนิสอาชีพ Jack Cunningham ซึ่งยังรับบทเป็นคู่แข่ง ตีโต้ตอบกัน

ในซีนที่ Anne มอบธนบัตร $10 ดอลลาร์ให้กับ Barbara สำหรับเป็นค่าเรียกแท็กซี่ (ให้หลังสิ้นสุดการแข่งขัน Guy จะได้มีรถเดินทางสู่สถานีรถไฟ) ผมอ่านเจอว่ายุคสมัยนั้นการโชว์ธนบัตรที่เป็นเงินจริงในภาพยนตร์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องขออนุญาตจากกระทรวงการคลังก่อนเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันผ่านกองเซนเซอร์ได้อย่างไร? … แต่กฎหมายดังกล่าวถูกเลิกไปตั้งแต่ Psycho (1960)

เอาจริงๆซีเควนซ์นี้ไม่ได้มีอะไรมากมาย ทำการนำเสนอคู่ขนาน (Parallel Editing) ระหว่างการแข่งขันเทนนิสของ Guy vs. Bruno ออกเดินทางสู่สวนสนุก เพื่อปลอมแปลงหลักฐานฆาตกรรม แต่บังเอิญว่าเขาทำไฟแช็ก (ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ) ตกหล่นลงท่อระบายน้ำ จึงเรียกคนมาช่วย ค่อยๆเอื้อมมือไขว่คว้า ตัดสลับกลับไปกลับมากับการแข่งขันเทนนิส … มันอาจเป็นสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักเรียนภาพยนตร์ แต่เอาจริงๆมันไม่ได้มีอะไรน่าจดจำขนาดนั้น ทั้งซีเควนซ์นี้ก็แค่อารัมบทนำเข้าสู่ไคลน์แม็กซ์

ไคลน์แม็กซ์ของหนังเป็นสิ่งไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับของ Patricia Highsmith แต่นำจากนวนิยายอีกเล่ม The Moving Toyshop (1946) แต่งโดย Bruce Montgomery & Edmund Crispin ซึ่งแทบทุกรายละเอียดล้วนปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ประกอบด้วย ชายสองคนต่อสู้กันบนเครื่องเล่นม้าหมุน กระสุนปืนลั่นไปโดนพนักงาน ทำให้เกิดการเร่งความเร็ว สูญเสียการควบคุม แล้วมีคนอาสามุดใต้พื้น จบสิ้นด้วยทุกสิ่งพังพินาศลง … แต่ไม่มีเครดิตใดๆอ้างอิงถึงนวนิยายเล่มนี้

การถ่ายทำฉากต่อสู้บนเครื่องเล่นม้าหมุน นักแสดงไม่ได้มีความเสี่ยงอันตรายประการใด เพราะมีการใช้เครื่องฉาย Rear Projection เร่งความเร็วฟุตเทจถ่ายทำไว้ มันจึงดูโฉบเฉี่ยว น่าหวาดเสียว แต่ถึงอย่างนั้นสตั๊นแมนมุดลอดใต้เครื่องเล่นม้าหมุน นั่นคือคนจริงๆ มุดลอดจริงๆ ไม่มีทริคใดๆ

My hands still sweat when I think of that scene today. You know, that little man actually crawled under that spinning carousel. If he’d raised his head by an inch, he’d have been killed. I’ll never do anything like that again.

Alfred Hitchcock

นอกจากความตื่นเต้น หวาดเสียวสันหลัง ราวกับพายุคลั่ง เหตุผลที่หนังเลือกฉากไคลน์แม็กซ์ยังเครื่องเล่นม้าหมุน สามารถสื่อถึงการเวียนวงกลม หวนกลับสู่จุดเริ่มต้น สลับสับเปลี่ยนสถานะตัวละคร ผู้ล่า↔ถูกล่า ฆาตกร↔ถูกฆ่า เข้มแข็ง↔อ่อนแอ เห็นแก่ตัว↔เสียสละ ฯ (แต่ผมชอบตีความกงเกวียนกรรมเวียน กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง)

อีกสิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือลีลาการตัดต่อ เอาจริงๆมีความลุ้นระทึกยิ่งกว่าตอนแข่งขันเทนนิสเสียอีกนะ แต่แปลกที่มักถูกมองข้าม ไม่โดดเด่นเท่า ประกอบด้วยการตัดสลับไปมาระหว่าง 1) ชายสองต่อสู้กันภายในม้าหมุน 2) เด็กๆที่กำลังเล่นม้าหมุน 3) ผู้ใหญ่ที่อยู่ภายนอกม้าหมุน 4) อาสาสมัครคืบคลานอยู่ภายใต้ม้าหมุน … นี่ยังไม่รวมถึงเสียงประกอบ (Sound Effect) และเพลงประกอบ (Soundtrack) ช่วยขับเน้นซีเควนซ์นี้จนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้

ด้วยข้อจำกัดยุคสมัยนั้น จึงไม่มีทางที่สตูดิโอจะยินยอมลงทุน เสี่ยงกับการพังทลายของเครื่องเล่นม้าหมุน วิธีการก็คือสร้างโมเดลจำลอง (Miniatures) นำไประเบิดตูมตาม แล้วฉายผ่านเครื่อง Rear Projection ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ล้มตาย

That was a miniature blown up on a big screen. The big difficulty with that scene was that the screen had to be angled differently for each shot. We had to move the projector every time the angle changed because many of the shots of the merry-go-round were low cam­era setups. We spent a lot of time setting the screen in line with the camera lens. Anyway, for the carrousel breakdown we used a miniature blown up on a big screen and we put live people in front of the screen.

Alfred Hitchcock

ส่วนเศษซากปรักหักพังของเครื่องเล่นม้าหมุน นั่นคือการจัดฉากเอาภายหลัง ไม่ได้เกิดจากแรงระเบิด หรือเครื่องยนต์ขัดข้องประการใด เพิ่มเติมฝุ่นควันตลบอบอวล ล่อหลอกผู้ชมได้อย่างแนวเนียน

ความตั้งใจดั้งเดิมของผกก. Hitchcock อยากจะตัดจบตั้งแต่ความตายของ Guy แต่ถูกสตูดิโอบังคับให้เพิ่มเติมปัจฉิมบท ไม่ให้มันค้างๆคาๆ จึงแทรกใส่สองตอนจบ

  • ครอบครัว Morton รอคอยโทรศัพท์แจ้งข่าวดี
    • โทรศัพท์ที่วางเบื้องหน้ากล้องช็อตนี้ มันช่างมีขนาดใหญ่พิเศษ เพื่อให้ผู้ชมสังเกต จับจ้อง กลายเป็นจุดสนใจ เหมือนตัวละครกำลังเฝ้ารอคอยโทรศัพท์ แต่ขณะที่ Anne เดินมารับสาย หูโทรศัพท์ที่ยกขึ้นกลับมีขนาดปกติ? (นั่นเพราะมีการเลื่อนกล้องขึ้น หลบมุม เพื่อไม่ให้พบเห็นการสลับเปลี่ยนโทรศัพท์)
  • Guy & Anne ระหว่างเดินทางกลับ ขึ้นบนรถไฟ มีชายแปลกหน้าทักทาย
    • นี่เป็นการล้อกับตอนต้นเรื่องที่ Guy ได้รับการทักทายจาก Bruno ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นๆวายๆ คราวนี้เขาจึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่เอาอีกแล้วสนทนากับคนแปลกหน้าบนขบวนรถไฟ

ตัดต่อโดย William H. Ziegler (1909-77) สัญชาติอเมริกัน ผลงานเด่นๆ อาทิ Strangers on a Train (1951), The Music Man (1962), My Fair Lady (1964) ฯ

เริ่มต้นจากความบังเอิญของชายสองคน Guy Haines & Bruno Antony พบเจอกันบนขบวนรถไฟ คุยไปคุยมา ชักชวนแลกเปลี่ยนแผนการฆาตกรรม ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน หนังนำเสนอสลับมุมมองกันไปมา หลังจาก Bruno ฆ่ารัดคอ Miriam ก็ถึงคราวของ Guy แต่กลับพยายามปฏิเสธ บ่ายเบี่ยง อ้างว่าฉันเป็นคนดี ไม่มีวันทำเช่นนี้ จึงถูกคุกคาม แทรกซึมเข้าในชีวิต/แวดวงสังคม หลังการแข่งขันเทนนิส จึงตัดสินใจเผชิญหน้ายังสวนสนุก บนรถม้าหรรษา

  • อารัมบท, Stranger on a Train
    • ชายแปลกหน้าสองพบเจอกันบนขบวนรถไฟ
    • คุยไปคุยมา Bruno ชักชวน Guy แลกเปลี่ยนการฆาตกรรม ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธโดยพลัน
  • ความตายของ Miriam
    • หลังลงจากขบวนรถไฟ Guy พบเจอกับภรรยา Miriam ต้องการเลิกราหย่าร้าง แต่เธอกลับปฏิเสธทำตามคำร้องขอ
    • Bruno กลับมาถึงบ้าน ได้รับความรักจากมารดา เพียงความเย็นชาจากบิดา รับโทรศัพท์จาก Guy แม้ไม่ได้คุยอะไรมากมาย แต่เขาก็เข้าใจเหตุการณ์บังเกิดขึ้น
    • Bruno เดินทางมายัง Metcalf แอบติดตาม Miriam มายังสวนสนุก ขึ้นเรือไปยังเกาะกลาง ก่อนทำการฆ่ารัดคอจนเธอเสียชีวิต
  • การถูกคุกคามของ Guy
    • ค่ำคืนนั้น Bruno แอบมาพบเจอ Guy บอกว่าตนเองได้เข่นฆ่า Miriam และเรียกร้องให้เขาทำตามข้อแลกเปลี่ยน แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธ
    • Guy ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะไม่มีประจักษ์พยานพิสูจน์ว่าเขาอยู่แห่งหนใดระหว่างเกิดเหตุฆาตกรรม
    • Bruno คอยจับจ้อง แอบติดตาม Guy อยู่ห่างๆ สร้างความกดดัน เรียกร้องให้เขาทำตามข้อแลกเปลี่ยน
    • ต่อมา Bruno ก็แทรกซึมเข้ามาในแวดวงสังคมของ Guy ตีสนิทกับคนใกล้ชิด เข้าร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ได้รับเชิญ
  • การตัดสินใจลุกขึ้นยืน เผชิญหน้าความจริง
    • Guy สารภาพเหตุการณ์บังเกิดขึ้นกับแฟนสาว Anne 
    • ค่ำคืนถัดๆมา Guy เดินทางไปยังคฤหาสถ์ของ Bruno เพื่อจะบอกความจริงกับบิดา แต่กลับพบเจอเพียง Bruno ที่พร้อมท้าทาย เปิดเผยเบื้องหลังความจริง
    • Anne เดินทางมาคฤหาสถ์ของ Bruno พยายามพูดอธิบายกับมารดา (ของ Bruno) แต่กลับไม่มีใครยินยอมรับฟัง จากนั้นถูก Bruno ทำให้ไขว้เขว
  • การตีโต้ตอบระหว่าง Guy vs. Bruno
    • Guy ปรึกษากับ Anne ได้ข้อสรุปว่าหลังเสร็จการแข่งขันเทนนิส ต้องรีบไปยังสวนสนุก/สถานที่เกิดเหตุ
    • Guy ทำการแข่งขันเทนนิส
      • ตัดสลับกับ Bruno ออกเดินทางสู่สวนสนุก แต่พลัดทำไฟแช็ก/หลักฐานตกหล่น
    • หลังเสร็จการแข่งขัน Guy รีบออกเดินทางสู่ Metcalf มาจนถึงสวนสนุก เผชิญหน้า ยื้อแก่งแย้งไฟแช็กกับ Bruno บนม้าหมุนหรรษา

แม้เมื่อตอนหนังเข้าฉาย ซีเควนซ์การแข่งขันเทนนิสจะถูกผู้ชม/นักวิจารณ์พร่ำบ่น ถึงลีลาตัดต่อสลับไปสลับมาจนวิงเวียนศีรษะ แต่กาลเวลากลับเปลี่ยนมาให้การยกย่องสรรเสริญ เพราะสามารถสร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ไม่ใช่แค่นักกีฬาสองคนตีโต้ตอบ ยังแทรกภาพ Bruno ออกเดินทางสู่สวนสนุก พลัดทำไฟแช็คตกลงท่อระบายน้ำ กลายเป็นทฤษฎี/เทคนิคเล่าเรื่องคู่ขนาน ‘Montage’ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถึงปัจจุบัน … พวกหนังจักรวาล Marvel ที่มีฉากต่อสู้ต้องสลับไปมา ล้วนมีรากฐานมาจากลีลาตัดต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้นี่แหละ!


เพลงประกอบโดย Dimitri Zinovievich Tiomkin (1894-1979) นักแต่งเพลงสัญชาติ Russian-American เกิดที่ Kremenchug, Poltava Governorate (ปัจจุบันคือ Kremenchuk, Ukraine) ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish มารดาเป็นครูสอนเปียโนให้บุตรชายตั้งแต่เด็ก ก่อนเข้าศึกษาต่อ Saint Petersburg Conservatory เป็นลูกศิษย์ของ Felix Blumenfeld และ Alexander Glazunov, การมาถึงของ Russian Revolution 1917 ตัดสินใจอพยพมาลี้ภัยอยู่ Berlin ตามด้วย Paris และมุ่งสู่สหรัฐอเมริกา เริ่มจากทำงานละคอนเวทีที่ New York หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นล่ม ค.ศ. 1929 เดินทางสู่ Hollywood เริ่มมีชื่อเสียงจากร่วมงานขาประจำ Frank Capra, Howard Hawks อาทิ Lost Horizon (1937), Can’t Take It With You (1938), Mr. Smith Goes to Washington (1939), Meet John Doe (1941), It’s a Wonderful Life (1946), Red River (1948), High Noon (1952), Rio Bravo (1959), ผลงานเด่นอื่นๆ Shadow of a Doubt (1943), Duel in the Sun (1946), Strangers on a Train (1951), Dial M for Murder (1954), The High and the Mighty (1954), Giant (1956), Gunfight at the O.K. Corral (1957), The Old Man and the Sea (1958), The Guns of Navarone (1961) ฯ

ก่อนหน้านี้ผกก. Hitchcock เต็มไปด้วยอคติต่อการใช้ออร์เคสตราคลอประกอบพื้นหลัง (ตามสไตล์โปรดิวเซอร์ David O. Selznick) จึงพยายามมองหานักทำเพลงที่ยินยอมตัดแต่งท่วงทำนองสั้นๆ ดังขึ้นประกอบเหตุการณ์ ขยับขยายโสตสัมผัสอารมณ์ แล้วค่อยๆเงียบหายไป (โปรดิวเซอร์ Selznick ให้คำนิยาม “goddamn jigsaw cutting”)

การร่วมงานกับ Tiomkin ถือเป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติของผกก. Hitchcock ต่อการใช้บทเพลงประกอบภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง! เพราะพี่แกเลื่องชื่อในการลงรายละเอียดออร์เคสตรา พยายามรังสรรค์ตัวโน๊ต จังหวะ ท่วงทำนอง ให้สอดคล้องเข้ากับอารมณ์ เหตุการณ์ รวมถึงน้ำเสียงสนทนา กล่าวคือไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าแต่งเพลงตามใบสั่ง หรือเพียงฟังคำแนะนำผู้สร้าง แต่ยังพยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์ให้มากที่สุด … Tiomkin เข้าชิง Oscar จำนวน 22 ครั้ง คว้ามา 4 รางวัล ต้องถือว่าระดับตำนาน

After reading the script, Tiomkin would then outline the film’s major themes and movements. After the film itself has been filmed, he would make a detailed study of the timing of scenes, using a stopwatch to arrange precise synchronization of the music with the scenes. He would complete the final score after assembling all the musicians and orchestra, rehearse a number of times, and then record the final soundtrack.

Dave Epstein นักดนตรีวิทยา (Musicologist) อธิบายการทำงานของ Dimitri Tiomkin

ด้วยความที่หนังอุดมไปด้วย “สูตรสอง” เพลงประกอบก็เฉกเช่นเดียว Guy’s Theme และ Bruno’s Theme จะมีความแตกต่างตรงกันข้ามทั้งการเลือกเครื่องดนตรี ลีลาการบรรเลง

For ‘Guy’s Theme’, Tiomkin created a hesitant, passive idea, made-to-order music for Farley Granger’s performance.

Harmonic complexity defines the motifs associated with Bruno: rumbling bass, shocking clusters, and glassy string harmonics. These disturbing sounds, heard to superb effect in cues such as ‘The Meeting,’ ‘Senator’s Office,’ and ‘Jefferson Memorial,’ are not just about Bruno, but about how he is perceived by those whose lives he crosses—first Guy, then everyone in Guy’s entourage.

Jack Sullivan จากหนังสือ Hitchcock’s Music (2006)

ไฮไลท์ของหนังต้องยกให้การผสมผสานทั้ง diegetic และ non-diegetic โดยเฉพาะไคลน์แม็กซ์ การเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่าง Guy & Bruno เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงสวนสนุก จะได้ยินบทเพลงดังจากเครื่องเล่น The Band Played On (ในลักษณะ diegetic music) พอเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงปืนพลาดไปโดนพนักงานควบคุม ทำให้ม้าหมุนค่อยๆเร่งความเร็ว (Crescendo) เพลงสวนสนุกก็เฉกเช่นเดียวกัน!

จากนั้นพอมีคนอาสาเข้าไปหยุดการทำงานม้าหมุน จะเปลี่ยนมาใช้บทเพลง Soundtrack (non-diegetic music) ท่วงทำนองก็ยังค่อยๆไต่ไล่ระดับขึ้นเรื่อยๆ (Crescendo) เพิ่มเติมคือเวลาตัวละครชกต่อย สาวๆส่งเสียงกรี๊ดกราด หรือเด็กๆพลัดหล่นจากหลังม้า จะมีเสียงดนตรีสอดคล้องรับกับเหตุการณ์นั้นๆดังแทรกขึ้นมา

บรรดาบทเพลงดังขึ้นในสวนสนุก (non-diegetic music) ล้วนเป็นตัวเลือกของผกก. Hitchcock นำเอาบทเพลงเก่าๆมามอบให้ Tiomkin เรียบเรียงเขียนทำเป็นบทเพลงสไตล์ Street Organ (หรือ Barrel Organ)

  • The Band Played On (1895) ทำนองโดย Chas. B. Ward, คำร้องโดย John F. Palmer
    • บทเพลงประกอบเครื่องเล่นม้าหมุน ที่ตอนต้นเรื่องหนุ่มๆสาวๆขับร้องกันอย่างสนุกสนาน อารัมบทก่อนเข้าสู่โศกนาฎกรรม
  • Oh! You Beautiful Doll (1911) แต่งโดย Nat Ayer
    • ดังขึ้นระหว่าง Bruno กำลังหลบหนี ให้ความช่วยเหลือชายตาบอดข้ามถนน
    • ช่วงท้ายดังขึ้นเมื่อตำรวจเดินทางมาถึงสวนสนุก
  • Ain’t We Got Fun (1921) แต่งโดย Richard A. Whiting
    • ดังขึ้นช่วงท้ายระหว่าง Bruno กำลังต่อแถวรอคิวลงเรือข้ามฟาก
  • Ain’t She Sweet (1927) แต่งโดย Milton Ager
    • ดังขึ้นเมื่อตัวละครเดินทางมาถึงสวนสนุก
  • Carolina in the Morning (1922) แต่งโดย Walter Donaldson
    • ดังขึ้นระหว่างแวะซื้อซื้อไอศกรีม
  • Baby Face (1926) แต่งโดย Harry Akst
    • ดังขึ้นระหว่างเรือลอดอุโมงค์ Tunnel of Love

Strangers on a Train (1951) นำเสนอเรื่องราวของสองคนแปลกหน้า บังเอิญมาพบเจอบนขบวนรถไฟ (แต่มันบังเอิญจริงๆนะหรือ?) พูดคุยกันถูกคอ ชายคนหนึ่งจึงชักชวนกระทำการ ‘Crisscross Murder’ สลับกันฆาตกรรมบุคคลที่พวกเขารังเกียจเดียดฉันท์ ฉันฆ่าเมียนาย นายฆ่าพ่อฉัน เราสองไม่รู้จักกัน มันช่างเป็น ‘Perfect Murder’

ต้นฉบับนวนิยายของ Patricia Highsmith เขียนให้ชายทั้งสองกระทำการ ‘Crisscross Murder’ ต่างเข่นฆ่าบุคคลแปลกหน้าที่ตนเองไม่รับรู้จัก ผลลัพท์ทำให้ Guy จมปลักอยู่ในความรู้สึกผิด (แบบเดียวกับตัวละครของ Farley Granger ในภาพยนตร์ Rope (1948)) ท้ายที่สุดหลัง Bruno ประสบอุบัติเหตุเรือล่ม จมน้ำเสียชีวิต ยินยอมรับสารภาพ เข้ามอบตัวกับตำรวจ

แต่ฉบับภาพยนตร์ของผกก. Hitchcock อาจเพราะเคยนำเสนอพล็อตคล้ายๆกันนี้มาแล้วใน Rope (1948) จึงปรับเปลี่ยนตัวละคร Guy Haines ให้มีความแตกต่างตรงกันข้ามกับ Bruno ปฏิเสธลงมือฆาตกรรม และจากเคยแต่ก้มหัวศิโรราบ ถูกอีกฝ่ายควบคุมครอบงำ ค่อยๆบังเกิดความหาญกล้า สามารถลุกขึ้นมาเผชิญหน้า ต่อสู้ เอาชนะศัตรู กำจัดสิ่งชั่วร้ายให้พ้นภัยทาง

สาระข้อคิดของหนังประมาณว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้า”

เอาจริงๆเนื้อหาสาระดังกล่าว มันแทบไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใดต่อหนัง อย่างที่นักเขียน Raymond Chandler เคยกล่าวด้อยค่าเอาไว้ “to sacrifice dramatic logic for the sake of a camera effect.” สิ่งที่ผกก. Hitchcock รังสรรค์ออกมานั้น คือความพยายามสร้างทฤษฎี ประดิษฐ์เทคนิคดำเนินเรื่อง “สูตรสอง” ทุกสิ่งอย่างล้วนมีการนำเสนอสองครั้ง ในลักษณะแตกต่างตรงข้าม ยกตัวอย่าง

  • Guy เป็นนักเทนนิสหนุ่ม อนาคตสดใส ต้องการเลิกราภรรยาเพื่อแต่งงานใหม่ ไม่เคยกระทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ตรงกันข้ามกับ Bruno ไร้การไร้งาน อาศัยอยู่กับบิดา-มารดา ไม่เคยมองโลกในแง่ดี จมปลักอยู่ในความมืดมิด
    • Good vs. Evil, Strong vs. Weak, Light vs. Dark
  • Guy ทักทายชายแปลกหน้าบนขบวนรถไฟสองครั้ง ครั้งแรก Bruno เข้ามาพูดคุย (ตอนกลางวัน), ครั้งสองเป็นคนชวนคุยกับ Professor Collins (ตอนกลางคืน)
  • มีซีเควนซ์สวนสนุกสองครั้ง ครั้งแรก Bruno ฆ่ารัดคอ Miriam (ตอนกลางคืน), ครั้งหลัง Bruno เสียชีวิตจากการถูกเครื่องเล่นม้าหมุนล้มทับ (ตอนกลางวัน)
  • Miriam สวมใส่แว่นตาหนาเตอะ, น้องสาวของ Anne ก็เฉกเช่นเดียวกัน (Doppelgänger) นั่นทำให้เมื่อ Bruno พบเจอเธอในงานปาร์ตี้ บังเกิดภาพหลอน หวนระลึกความหลัง บีบคอแขกเหรื่อโดยไม่รับรู้ตัวเอง
  • ยามค่ำคืน Guy บุกเข้าไปยังคฤหาสถ์ของ Bruno เพื่อพูดเล่าความจริงกับบิดา (ของ Bruno), เช้าวันถัดมา Anne เดินทางไปยังคฤหาสถ์ของ Bruno พร่ำพูดอธิบายกับมารดา (ของ Bruno)
  • เทนนิส คือกีฬาที่ตีโต้ไปมาระหว่างสองฟากฝั่ง
    ฯลฯ

There are two respectable and influential fathers, two women with eyeglasses, and two women at a party who delight in thinking up ways of committing the perfect crime. There are two sets of two detectives in two cities, two little boys at the two trips to the fairground, two old men at the carousel, two boyfriends accompanying the woman about to be murdered, and two Hitchcocks in the film.

Donald Spoto จากหนังสือ The Dark Side of Genius: The Life of Alfred Hitchcock (1983)

หนังสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1951 เป็นช่วงที่บรรยากาศการเมืองสหรัฐอเมริกา กำลังวุ่นๆวายๆกับการจับแพะชนแกะ ใส่ร้ายป้ายสี McCarthyism ตีตราบุคคลฝักใฝ่พรรคคอมมิวนิสต์ว่าคือศัตรูของรัฐ ขนาดว่าสมาชิกรัฐสภาเคยใช้คำเรียก ‘moral preverts’ เปรียบเทียบพวก Hollywood Ten ไม่ต่างจากคนรักร่วมเพศ (Homosexual)

That hysteria was targeting homosexuals along with Communists as enemies of the state… The U.S. Senate was busy investigating the suspicion that ‘moral perverts’ in the government were also undermining national security—going so far as to commission a study, Employment of Homosexuals and Other Sex Perverts in Government.

Patrick McGilligan จากหนังสือ Alfred Hitchcock: A Life in Darkness and Light (2004)

ตัวละคร Guy Haines สามารถเปรียบเทียบแทนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงผู้ตกเป็นเหยื่อของพวก Homophobic (อาการเกลียดหรือกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือรักร่วมเพศ) ถูกต้องสงสัยว่ากระทำความผิดที่ไม่ได้ก่อ ต่อให้พยายามพิสูจน์ตนเองแต่ไร้หลักฐาน ประจักษ์พยาน จึงถูกติดตาม คุกคาม ตกอยู่ความหวาดระแวง ไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข … เป็นการอารัมบทเข้าสู่บรรยากาศสงครามเย็นได้ด้วยเช่นกัน

To all appearances Guy is the all-American stereotype, an athlete, unassuming despite his fame, conservatively dressed. He is a man of indeterminate sexual identity found in circumstances making him vulnerable to being compromised.

มันไม่ใช่ว่าผกก. Hitchcock มีอคติอะไรต่อชาวรักร่วมเพศ แต่เขารู้จักนำเอาพฤติกรรมลับๆล่อๆ สองแง่สองง่าม มาสร้างความหวาดระแวง วิตกจริตให้กับผู้ชมสมัยนั้น เกิดอาการหวาดกลัว รังเกียจเดียดฉันท์ … คือถ้าคุณไม่ได้มีอคติอะไรต่อชุมชน LGBT+ ย่อมไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านใดๆ ตรงกันข้ามกับพวกแสดงอาการสะดีดสะดิ้ง ยินยอมรับไม่ได้ ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามันคือ Homophobic

ผมพยายามมองหาความสัมพันธ์ระหว่าง Stranger on a Train (1951) กับผกก. Hitchcock มีใครหรือเปล่าที่เขาอยากเข่นฆ่าให้ตกตาย? เท่าที่นึกออกก็คือโปรดิวเซอร์ David O. Selznick เรียกได้ว่าไม่เบื่อไม้เมา จงเกลียดจงชังเข้ากระดูกดำ เพราะแนวทางการทำงานที่แตกต่างตรงกันข้าม (ผมเคยบรรยายสรรพคุณไว้เยอะแล้วตั้งแต่ภาพยนตร์ Rebecca (1940)) ทั้งยังชื่นชอบควบคุมครอบงำ เรียกร้องโน่นนี่นั่น อวดอำนาจบารมี โปรดิวเซอร์ถือว่ามีกรรมสิทธิ์ขาดในผลงานภาพยนตร์

แม้ยังอีกหลายปีกว่าที่โปรดิวเซอร์ Selznick จะเสียชีวิต ค.ศ. 1965 แต่ทว่าหลังหมดสัญญา(ทาส)กับผกก. Hitchcock ชื่อเสียง/ความสำเร็จในวงการภาพยนตร์ก็ค่อยๆสาละวันเตี้ยลง Selznick International Pictures ยุติกิจการปี ค.ศ. 1943, Vanguard Films ปิดบริษัทปี ค.ศ. 1951, และสตูดิโอจัดจำหน่าย Selznick Releasing Organization เรื่องสุดท้ายคือ A Farewell to Arms (1957) … ไม่ต่างจากความตายของ Bruno มันคือวิถีแห่งชีวิต มีขึ้นย่อมมีลง กำอะไรไว้แน่นก็จำต้องปล่อยวาง กงเกวียนกรรมเกวียน เวียนวนรอบบนเครื่องเล่นม้าหมุน


ด้วยทุนสร้าง $1.6 ล้านเหรียญ สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกา $1.788 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลกประมาณ $7 ล้านเหรียญ ทำให้ผกก. Hitchcock โล่งอกโล่งใจ หลังสร้างหนังเจ๊งติดต่อเนื่องมาสี่เรื่องติดๆ The Paradine Case (1947), Rope (1948), Under Capricorn (1949) และ Stage Fright (1950)

แต่เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์กลับออกไปทางผสมๆ ส่วนใหญ่ชื่นชอบการแสดง และถ่ายภาพ (ได้เข้าชิง Oscar: Best Cinematography, Black & White) รำคาญลีลาตัดต่อ ทั้งยังบ่นอุบว่าบทสรุปไม่น่าพึงพอใจ (Unsatisfactory) ปรับแก้ไขรายละเอียดจากต้นฉบับนวนิยายจนแทบจะกลายเป็นคนละเรื่อง!

กาลเวลาทำให้หนังได้รับการยกย่องสรรเสริญ จักรวาลแซ่ซ้อง นักวิจารณ์ Roger Ebert ไม่เพียงจัดให้เป็น Great Movie ยังคือ Top 5 ยอดเยี่ยมที่สุดของผกก. Hitchcock และหลายๆสถาบันมักใช้เป็นต้นแบบ ตำราภาพยนตร์ สำหรับคนรุ่นใหม่ใช้ศึกษาเรียนรู้

A provocative premise and inventive set design lights the way for Hitchcock[‘s] diabolically entertaining masterpiece.

ฉันทมติ 98% จากเว็บ Rottentomatoes

ปัจจุบันยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะ Blu-Ray ของ Warner Bros. เมื่อปี ค.ศ. 2012 ยังมีคุณภาพแค่ HD Transfer แต่ก็ได้รับคำชื่นชมพอสมควร และเต็มไปด้วยของแถมที่น่าสนใจ

Stranger on a Train (1951) เป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ “First-Rate Thriller” แต่ปัญหาคือช่วง Peak Year ของผกก. Hitchcock สรรค์สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซหลายเรื่องติดๆกัน นั่นทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นเพชรท่ามกลางเพชร ดาวท่ามกลางหมู่ดาว เลยไม่ค่อยได้รับการกล่าวขวัญถึงเท่าที่ควร

ผมเองก็ชื่นชอบประทับใจ Stranger on a Train (1951) อย่างมากๆ ภาพสวย ตัดต่อเยี่ยม เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ แต่เมื่อต้องเทียบกับ Vertigo (1959), North by Northwest (1959), Psycho (1960) ฯ ทำให้เรียนรู้ว่าท่ามกลางดวงดาวบนฟากฟ้า ยังแบ่งแยกรัศมี ระดับความเจิดรัสที่แตกต่างกัน

จัดเรต 13+ กับการฆาตกรรม พฤติกรรมจิตเภท (Psychopathy)

คำโปรย | Stranger on a Train ภาพยนตร์สูตรสองของผู้กำกับ Alfried Hitchcock เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ รถไฟชนกัน
คุณภาพ | กั
ส่วนตัว | ระทึกขวัญ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: