Tetsuo: The Iron Man (1989) : Shinya Tsukamoto ♥♥♥♡
โคตรหนัง Cult เรต NC-17 เรื่องนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘Japanese Eraserhead’ อัปลักษณ์ พิศดาร น่าขยะแขยง แต่มีความลึกล้ำระดับ Masterpiece, ชายคนหนึ่งติดโรคประหลาด ค่อยๆกลายร่างเป็นเหล็กก๊องแก๊ง เริ่มจากไอ้จ้อนควงสว่าน เลือดเนื้อหนังกลายเป็นสนิมเหล็กเน่าเกรอะกรัง แขนขาหน้าผม … โอ้ ไม่อยากสาธยาย ฯ นี่มีนัยยะสะท้อนถึงสังคมยุคใหม่ ผู้คนเสพติดเทคโนโลยี/วัตถุนิยม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ลองมองไปรอบๆตัว มีอะไรที่ไม่ได้สร้างด้วย ‘เหล็ก’ หลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ต้องจัดเรต NC-17 ประกอบด้วย งานภาพแม้จะเป็นขาว-ดำ แต่มีความอัปลักษณ์ ขยะแขยง เน่าเฟะ ชวนอ๊วกพุ่ง, Fetish Sex รุนแรงวิตถาร, พล็อตเรื่องแนวคิดสุดพิศดาร ฯ แต่ถ้าคุณสามารถอดทนฝืนกลั้น ฟันฟ่าเอาชนะไปได้ และครุ่นคิดวิเคราะห์ตีความ จะพบว่านี่คืออีกหนึ่งโคตรของงานศิลปะโดยแท้ … ทนไม่ได้ก็อย่าไปฝืนนะครับ
เกร็ด: Fetishism (Fetish = เครื่องลาง, ของขลัง) ใครที่ชื่นชอบดูหนังโป๊น่าจะรู้จัก Fetish Porn คือลักษณะของบุคคลที่มีความสุข พึงพอใจทางเพศกับ ‘วัตถุสิ่งของที่ไม่มีชีวิต’ อาทิ กางเกงใน ถุงน่อง ยกทรง เสื้อ-กระโปรง รองเท้า หรือบางส่วนของร่างกายที่ไม่ใช่อวัยวะเพศโดยตรง เช่น แขน ขา ฯ มีความสุขสุดยอดได้โดยการสัมผัส คำนี้มักใช้กับเพศชาย ถ้าเป็นผู้หญิงจะใช้คำเรียกว่า Kleptomania, ในกรณีของหนังเรื่องนี้ ตัวละครเพศชาย มีความสุขพึงพอใจ(ทางเพศ) กับเหล็กที่ตนเองกลายเป็น ท่าทางของพวกเขาเสพสมอารมณ์หมายเป็นอย่างยิ่ง
Shinya Tsukamoto (เกิดปี 1960) นักแสดง/ผู้กำกับ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ตอนอายุ 14 พ่อมอบของขวัญเป็นกล้อง Super 8 ทำให้ความชื่นชอบหลงใหลเป็นอย่างมาก เริ่มที่จะหัดสร้างภาพยนตร์ด้วยตนเอง ช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย รวมกลุ่มกับเพื่อนทำการแสดงละครเวที แต่รู้สึกเสียดายฉากพื้นหลังที่อุตส่าห์สร้างกันมากำลังต้องทุบทำลายทิ้งขว้าง เลยบันทึกถ่ายทำภาพยนตร์กลายเป็นหนังไซไฟเรื่อง The Adventures of Electric Rod Boy (1987) คว้ารางวัล Grand Prize จากเทศกาลหนัง PIA Film Fest (น่าจะเป็นของนักศึกษา)
สำหรับ Tetsuo (แปลว่า Iron Man) คือภาพยนตร์เรื่องแรกถ่ายทำด้วยกล้อง 16mm ไร้ซึ่งทุนสร้าง ใช้เวลา 18 เดือนในอพาร์ทเม้นท์ของ Kei Fujiwara (ไม่รู้ขณะนั้นเป็นแฟนสาวของผู้กำกับหรือเปล่านะ) ที่รับบท Woman (or Girlfriend) ขณะที่ Tsukamoto รับบท Yatsu (แปลว่า ชายคนนั้น, ถ้าในซับอังกฤษ จะมีอีกคำเรียกว่า Metal Fetishist) เพื่อนๆทีมงานจากที่เคยมีหลายคน ต่างไม่สามารถทนรับสภาพการทำงานได้ ทะยอยจากไปจนแทบไม่เหลือใคร เว้นแต่นักแสดงอีกคน Tomorowo Taguchi รับบท Man/Salaryman เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้อาศัย หมกตัวอยู่ร่วมกับพวกเขา
“It was very tough so I quickly sensed that if you would stay with them all the time, you would inevitably get the urge to escape. So I figured that if I could keep some distance, I would be able to last much longer and keep a good relationship with them.”
– Tomorowo Taguchi
สำหรับอิทธิิพลแรงบันดาลใจค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ประกอบด้วย
– Eraserhead (1977) โคตรหนัง Surrealist, Body Horror ของผู้กำกับ David Lynch
– Videodrome (1983), The Fly (1986) ฯ ของผู้กำกับ David Cronenberg ที่มักใช้ Sex แทนสัญลักษณ์ของการกลายพันธุ์ รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน อันจะทำให้เกิดวิวัฒนาการ/เปลี่ยนแปลงรูปร่าง (metamorphose) จากมนุษย์กลายเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง
– ในญี่ปุ่นจะมีนักสร้างภาพยนตร์ชื่อ Sogo Ishii ผู้บุกเบิกหนังใต้ดินแนว Dystopian Cyberpunk เรื่อง Crazy Thunder Road (1980) และ Burst City (1982)
รับชมหนัง Cult อย่าทำความเข้าใจตรงไปตรงมาจากภาพที่เห็นนะครับ ผมจะใช้การเล่าเรื่องโดยย่อ พร้อมวิเคราะห์ตีความไปพร้อมๆกัน
หนังเปิดเรื่องด้วยตัวละครชายคนหนึ่ง (ใช้คำเรียกว่า Yatsu หรือ Metal Fetishist) กำลังเอาแท่นเหล็กกลมยาวยัดใส่บาดแผลที่ต้นขาของตนเอง ไม่รู้กี่วันผ่านไปเปิดผ้าพันแผลออกมา เน่าเปื่อยเฟะ เต็มไปด้วยหนอนกัดกินแผลติดเชื้อ, นัยยะสื่อถึงสภาพของมนุษย์ผู้หลงใหลในเทคโนโลยี/วัตถุนิยมทั้งหลาย เมื่อติดหนักมากๆเข้า (ยัดเข้าไปในร่างกาย) เวลาผ่านไปก็จะมีสภาพดูไม่ได้ เหมือนหนอนไช
สิ่งสัญลักษณ์ ‘เหล็ก’ สามารถแทนได้ด้วยเทคโนโลยี สิ่งของวัตถุนิยมทั้งหลาย อาทิ เงินทอง, โทรศัพท์, โทรทัศน์, รถยนต์ ฯ
ด้วยความหวาดกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้น Metal Fetishist ออกวิ่งอย่างบ้าคลั่งไม่ลืมหูลืมตาสนใจรอบข้าง ถูกรถชนแล้วนำร่างไปทิ้งไว้ในกองขยะ, ฉากนี้ตั้งคำถามแบบตรงๆเลย เปรียบสิ่งของที่ถึงวันหมดอายุ ก็จักถูกนำไปทิ้งในกองขยะ แล้วมนุษย์ที่ทำตัวไร้ค่า เศษซากขยะสังคมละ เอาไปทิ้งไหน?
ขณะชื่อหนังปรากฎ ชายคนหนึ่ง (Salaryman) ทำท่าคลุ้มคลั่งดิ้นไปมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตื่นขึ้นมาตอนเช้า พบว่ามีเศษเหล็ก/อะไรสักอย่างติดอยู่ที่แก้ม คุยโทรศัพท์กับแฟนสาวก็ไม่ได้มีสาระอะไร, ช่วงนี้เป็นการแนะนำตัวละคร Salaryman/มนุษย์เงินเดือน/พนักงานบริษัท คือบุคคลผู้มักทำอะไรตามๆกัน มีวิถีการทำงานที่ค่อนข้างไม่เป็นอิสระ เงินเดือนจำกัดแต่ชอบทำตามกระแสสังคม เคร่งเครียดจริงจังอยู่ตลอดเวลา และมักรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ใครไปไหนก็แห่ตามไป ไม่ค่อยมีความคิดอ่าน กล้าเป็นตัวของตนเองทำสิ่งแตกต่าง
ระหว่างไปทำงาน Salaryman ได้พบเจอกับสาวแว่นคนหนึ่ง มือของเธอกลายเป็นเหล็กอะไรสักอย่าง พยายามไล่ล่าติดตามอย่างคลุ้มคลั่ง ราวกับมีความอาฆาตแค้นอะไรบางอย่าง, หญิงสาวคนนี้ก็คงเป็น Salaryman นะแหละ (หรือจะเรียก Salarywoman) เธอไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรพระเอก แต่ถูกควบคุมโดย Metal Fetishist จากแขนเหล็กที่หล่นอยู่ใกล้ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสโดนเลยถูกเข้าสิง มีจุดประสงค์เพื่อต้องการแก้แค้นเอาคืน และแพร่เชื้อโรคติดต่อบางอย่างให้
โดยไม่รู้ตัว Salaryman ติดโรคประหลาดนั้นมาแล้ว ร่างกายกำลังค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง วิวัฒนาการไปเป็นมนุษย์เหล็กทีละเล็กละน้อย
เริ่มจากภายในความฝัน ถูกจับมัดให้ร่วมรักกับแฟนสาวที่มีท่อนอวัยวะเพศเหล็กขนาดใหญ่ยาวเหมือนงู ถือจับควงสว่าน ข่มขืนสวนทวารด้านหลัง, Sex ในความฝัน สะท้อนสิ่งอยู่ใต้จิตสำนึก (ตามหลักของ Freud) การรวมตัวระหว่างสองสิ่ง ในที่นี้คือมนุษย์กับเหล็ก สื่อว่าพระเอกได้ติดโรคประหลาดนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
ฉากถัดมาเมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้น ร่วมรักกับแฟนสาวอย่างเมามัน รุนแรงบ้าคลั่ง แทบเป็นแทบตาย, การมี Sex ของชายหญิง คือความพึงพอใจทางภายนอกของร่างกาย จะเห็นว่าตอนพระเอกกลายร่างเป็นมนุษย์เหล็ก หญิงสาวปากอ้างว่ารักเขาจากภายใน แต่พอเห็นสภาพก็กรี๊ดลั่นรับไม่ได้ ปฏิเสธขันแข็ง นี่มันใช่ความรักเสียที่ไหน
เสร็จจากร่วมรักก็กินข้าว แต่เสียงที่พระเอกได้ยินขบเคี้ยวกลับเหมือนเหล็กกระทบเสียดสีกัน ฟังแล้วแสบบาดแก้วหู นี่ถือเป็นขั้นที่ 2-3 ในการแปรสภาพสู่มนุษย์เหล็ก
สิ่งแรกของพระเอกที่กลายเป็นเหล็กอย่างชัดเจนคือข้อต่อ แขนขา และอวัยวะเพศชาย มีลักษณะเหมือนสว่านหมุนด้วยความเร็วสูง ที่ถ้าโดนเข้าไปคงเลือดกระฉูดแน่, จ้าวโลก มักใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงอิทธิพล ครอบงำ เพราะเป็นส่วนที่เมื่อมีปฏิสัมพันธ์ (Sex) แล้ว สามารถให้กำเนิดชีวิตใหม่ นัยยะของการเป็นสิ่งแรกที่เปลี่ยน มองได้คือ สิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพล ครอบงำมนุษย์ ให้กำเนิดวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ ขณะเดียวกันน่าสนใจที่ลักษณะการเปลี่ยนเป็นสว่าน มีพลังทำลายล้างสูง นี่สื่อถึงทางตัน จุดจบของชีวิตอื่น ไม่สามารถสืบ(พันธุ์)สานต่อ มีอนาคต (ลูกหลาน) ต่อไปได้
Flashback เล่าย้อนอดีต เพื่อบอกถึงสาเหตุทำไม Metal Fetishist ถึงจองล้างจองผลาญ จงเกลียดจงชัง Salaryman ก็พบว่ามนุษย์เงินเดือนพร้อมแฟนสาว เป็นผู้ขับรถชนเขาอย่างจังตอนต้นเรื่อง นำพาไปทิ้งข้างทางแทนจะเข้าโรงพยาบาลหรือแจ้งความ แถมมี Sex กันอย่างโจ๋งครึ่มเร้าร้อนเมื่อเห็นความทุกข์ของผู้อื่น (คือความสุขของตน), นี่เป็นการสะท้อนลักษณะของผู้คนยุคสมัยใหม่ มีความสุข(กระ)สันต์จากการได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี/วัตถุนิยมทั้งหลาย หนังนำเสนอฉากนี้ออกมาอย่างวิปริตมากๆ
แล้วอยู่ดีๆ Metal Fetishist ได้ผุดขึ้นจากร่างศพของแฟนสาว นำเสนอวิสัยทัศน์ต่อ New World โลกใบใหม่ให้ Salaryman รับฟัง, ถ้าคุณเคยรับชม Videodrome น่าจะจดจำโลกของ New Flesh เป็นการสื่อถึงโลกในลักษณะ Dystopia จุดสิ้นสุดของอดีต (แฟนเก่า) ตื่นขึ้นสู่อนาคตที่ผู้คนเต็มไปด้วยความยึดติดหลงใหลคลั่งในเทคโนโลยี/วัตถุนิยมทั้งหลาย เสพติดจนมิอาจกลับคืนสู่สภาวะปกติได้
แต่ในตอนแรกมนุษย์เหล็กตัดสินใจวิ่งหนี ปฏิเสธไม่ยอมรับมาถึงตึกร้างหลังหนึ่ง เรียนรู้ผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งรอบข้าง กลายเป็นสนิมเกรอะกรัง ไปๆมาๆทั้งสองรวมร่างกันกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะเหมือนลึงค์ ซึ่งความคิดพวกเขายังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เห็นพ้องซึ่งกันและกันว่า
“Our love can put an end to this fucking world. Let’s Go!”
การรวมร่าง/รวมตัว มีนัยยะคล้ายกับ Sex เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี/ทุนนิยม ไม่สามารถแยกออกจากกันได้แล้ว ซึ่งเมื่อถึงจุดๆนั้น แนวคิดของพวกเขา ‘fucking world’ ถ้าแปลตรงตัวก็ช่างหัวมัน โลกจะเป็นอย่างไรป่านนั้นฉัน (ผู้กำกับ) คงตายห่าไปนานแล้ว (แต่เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่นะ)
แทนที่ตอนจบจะขึ้นว่า The End กลับเป็น GAME OVER, ข้อความนี้สามารถตีความได้หลากหลาย ส่วนตัวมองว่าเป็นการปลุกให้ตื่นจากฝัน เหมือนการเล่นเกมจบแล้ว แต่ชีวิตจริงยังต้องดำเนินต่อ ทุกสิ่งอย่างมันเพิ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
การออกแบบ Tetsuo ร่างกายเต็มไปด้วยสายไฟ เคเบิ้ล เฟือง เกียร์ ท่อ ฯ เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงอุปกรณ์กลไก ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรกล เทคโนโลยีในโลกทศวรรษนั้น, ส่วนสว่านที่หมุนได้ ไม่รู้สมัยนั้นมีถ่านใช้กันหรือยัง คิดว่าน่าจะใช้การต่อสายไฟเข้าไปในกางเกง ว่าไปถือว่าอันตรายเหมือนกันนะเนี่ย
ถ่ายภาพ/ตัดต่อโดย Kei Fujiwara กับ Shinya Tsukamoto ต้องบอกว่าสองส่วนนี้มีความบ้าคลั่งอย่างมาก แสดงถึงความเชี่ยวชาญ อัจฉริยะของทั้งสอง รู้จักพลิกแพลง ประดิษฐ์สร้างภาษาภาพยนตร์มาปรับใช้ในการสร้างได้อย่างลึกล้ำ
ใช้ภาพขาว-ดำ รับอิทธิพลเต็มๆจาก Eraserhead เพราะถ้านำเสนอภาพสีมันจะมีความยุ่งยากซับซ้อน แหวะขยะแยงมากเกิน แถมระดับภาพเน้น Close-Up พอสมควร เป็นการบังคับกลายๆ ให้เห็นภาพแหวะๆ น่าขยะแขยงในระยะประชิดตัว หลายคนคงได้เบือนหน้าหนีบ่อยครั้งทีเดียว
ฉากไฮไลท์เลยคือ การไล่ล่าติดตามบนท้องถนน ที่ทำเอาผมเกิดความไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ ว่าเป็นการวิ่งไปถ่ายไปแล้วตัดต่อ Jump-Cut หรือใช้การถ่ายภาพนิ่งทีละช็อตๆแล้วนำมาเรียงร้อยต่อกันเป็น Stop-Motion (แต่หนังก็มี Stop-Motion จริงๆเยอะอยู่นะครับ กับภาพแหวะๆ การย่อยสลาย ผุดขึ้นจากศพ ฯ)
สำหรับการเล่าเรื่อง เริ่มต้นที่ Metal Fetishist แล้วตัดไป Salaryman ทั้งสองมาบรรจบกันตรงกลาง ระหว่างนั้นมีแทรกใส่ Flashback ภาพย้อนอดีตความทรงจำ วนซ้ำเข้ามาเรื่อยๆ และช่วงท้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ถือว่าเป็นตัวคนเดียวเลยก็ยังได้
เพลงประกอบโดย Chu Ishikawa นักแต่งเพลงแนว Industrial Music ที่มีส่วนผสมการทดลองรูปแบบ Avant Garde ด้วยเครื่องดนตรี Electronic กับเสียงอะไรก็ไม่รู้หลากหลาย ให้ออกมามีทำนอง บรรยากาศอึมครึม มืดมัว รกๆรุงรัง เต็มไปด้วยมลพิษ(ทางเสียง) สร้างความหวาดหวั่นสะพรึงกลัว สามารถลุกขึ้นมาเต้นแบบคนบ้าไร้สติ
ก็ลองฟัง Main Theme/Opening Title ของหนังดูก็แล้วกันนะครับ แล้วคุณจะเข้าใจแนว Industrial Music แทบจะโดยทันทีเลยละ เป็นบทเพลงสื่อถึง ให้สัมผัสของ ‘เหล็ก’ ได้อย่างใช่มากๆ
บทเพลงสุดท้ายของหนัง Megatron เมื่อสัตว์ประหลาดรวมร่าง ตัดสินใจร่วมกันที่จะทำลายล้างโลก, สันชาติญาณบอกกับผมว่า นี่เป็นเพลงที่เจ๋งมากๆเลยนะ แต่ความรู้สึกส่วนตัวกลับตรงกันข้าม มันเพลงบ้าอะไรว่ะไม่เคยฟังมาก่อน นี่ต้องรสนิยมเฉพาะทางจริงๆนะเนี่ยถึงสามารถหลงใหลอะไรแบบนี้ได้
ใจความของหนังเรื่องนี้ เป็นการนำเสนอแนวคิดถึงการเข้ามามีอิทธิพลของเทคโนโลยี/วัตถุนิยม ที่ได้ทำการครอบงำกลืนกินมนุษย์ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบใหม่ที่ -อาจจะมองในแง่ร้ายสักนิด- น่ารังเกียจ ขยะแขยง มุ่งสู่หายนะวันสิ้นสุดโลก, นี่ถือเป็นทัศนะ การมองโลกของผู้กำกับ Shinya Tsukamoto ด้วยความวิตกกังวล ในช่วงทศวรรษ 80s (ทศวรรษที่ภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่น เต็มไปด้วยแนว Dystopia สะท้อนปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2) ที่ถึงปัจจุบันเราอาจบอกว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายแรงอย่างที่พยากรณ์คาดการณ์ไว้ขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะดีเลิศประเสริฐศรีสักเท่าไหร่
เทคโนโลยีทำให้เกิดความความสะดวกสบายในชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำให้มนุษย์หลงระเริงใจ ลืมเลือนเป้าหมายการเกิดมามีชีวิตของตนเอง กลายเป็นแบบ Salaryman บุคคลผู้ไหลตามน้ำ ถูกกระแสโลกกลืนกินเป็นส่วนหนึ่ง ไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นหวนคืนกลับเป็นตัวของตนเองได้
ในมุมมองของคนรุ่นเก่าๆ นี่ย่อมเป็นโลกที่ ‘น่าเป็นห่วง’ เพราะคุณภาพจิตใจของมนุษย์จะค่อยๆต่ำทรามลง แค่ปัจจุบันนั่งกินข้าว แทบทุกคนจะก้มหน้าก้มตาเช็คมือถือ Smartphone ก่อนเลย ติดตามข่าวสาร ใครทักมาถึงฉันบ้าง โพสข้อความเรียกร้องความสนใจ บลา บลา บลา, เด็กรุ่นใหม่คงสวนกลับ แล้วมันผิดอะไรใครตรงไหน? คุณพี่/คุณพ่อ/คุณปู่ ทำไมเฉื่อยชาช้าขนาดนี้ โลกมันหมุนเร็วไปไหนแล้ว แบบนี้จะไปตามทันได้อย่างไร
ผมละอยากสวนกลับไปมากว่า โลกมันไม่ได้หมุนเร็วขึ้นหรอกนะครับ ยังคง 1,674.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใจคนนะแหละที่รวดเร็วขึ้น พูดแบบไม่คิด กระทำอย่างไร้สติ ต่อให้อินเตอร์เน็ตไวเท่าความเร็วแสง 3 x 108 เมตรต่อวินาที ก็ตามใจคนไม่ทันหรอก
หนังมีสร้างภาคต่อกลายเป็น ไตรภาค แต่ผมไม่คิดจะหามารับชมอีกแล้วละ ทรมานเกิ้น
– Tetsuo II: Body Hammer (1992)
– Tetsuo: The Bullet Man (2009)
รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ครุ่นคิดตาม เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ รับรู้แนวคิดของผู้อื่นต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน (ถ้าสมัยนั้นจะมองว่าเป็นการพยากรณ์โลกอนาคต/Cyberpunk) เกิดการทบทวนตัวเอง นี่เรากลายเป็นแบบ Tetsuo หรือเปล่า? หนังมันแหวะๆเกินจริง Surrealist ไปสักนิด แต่สะท้อนความจริงของโลกปัจจุบันได้อย่างถึงกึ๋นโดยแท้
แนะนำกับคอหนัง Cult Horror แบบขยะแขยง แหวะๆ Surrealist, ชื่นชอบแนว Cyberpunk แฝงแนวคิด พยากรณ์โลกอนาคต, รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ Shinya Tsukamoto ลองหามาทดสอบความบ้าของชายคนนี้ดูนะครับ
เรต NC-17 ไม่เหมาะกับเด็ก ผู้สูงวัย คนท้อง กลัวความสูง คลื่นไส้มึนเมาง่าย และพวกโลกสวยทั้งหลาย
Leave a Reply