A Sunday in The Country

Un dimanche à la campagne (1984) French : Bertrand Tavernier ♥

A Sunday in the Country ณ ชนบทใกล้กรุงปารีส, ฝรั่งเศส เช้าวันอาทิตย์ ฉากเปิดเรื่องเป็น long-shot เริ่มถ่ายจากชั้น 2 ของบ้าน ชายแก่ตื่นขึ้น ฮัมเพลง กำลังเดินลงบันได ตัดมาชั้นล่าง แม่บ้านเดินออกจากห้องครัว ฮัมเพลง เดินผ่านหน้ากล้องไป เพลงที่ทั้งสองร้องไม่ได้มีทำนองคำร้องประสานกัน แต่อารมณ์ที่ฮัมเพลงขึ้นมานั้น ด้วยเหตุผลเดียวกัน

กำกับโดย Bertrand Tavernier ชาวฝรั่งเศส หนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Best Director จากเทศกาลหนังเมือง Cannes, Tavernier ไม่ใช่คนที่มีสไตล์การกำกับหวือหวา หนังของเขามีความธรรมดา เรียบง่าย แต่มีลูกเล่นในการเล่าเรื่อง ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความเป็นศิลปะ มีคนเปรียบเทียบเขาเป็น Yasujirô Ozu แห่งฝรั่งเศส เพราะชอบเล่าเรื่องที่ธรรมดา บ้านๆ ใจความสำคัญคือครอบครัวและการมีชีวิต, หนังเรื่องอื่นๆที่มีชื่อเสียง อาทิ The Clockmaker (1974) ได้รางวัล Silver Bear, L’Appât (1995) ได้รางวัล Golden Bear  (รางวัลหมี ได้จากเทศกาลหนังเมือง Berlin นะครับ)

จากนิยายของ Pierre Bost เรื่อง Monsieur Ladmiral va bientôt mourir (Mr. Ladmiral will die soon) เห็นว่า Bost เคยร่วมดัดแปลงเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Forbidden Games (1952) ของ René Clément (Bost เสียชีวิตไปเมื่อ 1975), Bertrand Tavernier และภรรยา Colo Tavernier ร่วมดัดแปลงโดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อหนัง Un dimanche à la campagne ที่แปลตรงๆได้ว่า A Sunday in the Country วันอาทิตย์ในชนบท

สังคมไทยสมัยนี้ไม่ค่อยต่างอะไรกับหนังเรื่องนี้นัก เมื่อลูกๆโตขึ้น เรียนจบ ทำงาน ก็ออกจากบ้านนอกไปใช้ชีวิตในเมือง ปล่อยทิ้งให้พ่อแม่สูงวัยเฝ้าบ้านอยู่ต่างจังหวัดเพียงลำพัง นานๆทีเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดเทศกาลถึงจะกลับบ้านสักครั้ง หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อสูงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้านชนบทชานเมืองแห่งหนึ่ง ใกล้กรุงปารีส วันอาทิตย์เป็นวันเดียวที่ลูกๆของเขาจะกลับมาเยี่ยม แต่ครั้งนี้มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพ่อก็แก่มากๆแล้ว ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่

ใครที่เคยดู Tokyo Story (1953) ของ Yasujirô Ozu มาแล้ว ดูหนังเรื่องนี้คงเกิดความรู้สึกคุ้นเคย สังคมญี่ปุ่นกับฝรั่งเศสแม้จะต่างกันมาก แต่เมื่อพูดถึงครอบครัว พ่อแม่สูงวัย และลูกที่โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะที่ไหนของโลกก็จะมีเรื่องราวลักษณะคล้ายๆกันนี้อยู่ แม้ความยอดเยี่ยมเมื่อเทียบความรู้สึกและสาระแล้ว Tokyo Story จะฮุกหมัดต่อยท้องได้เจ็บกว่า แต่ A Sunday in the Country ก็มีลูกล่อลูกชนที่ต่างออกไป แสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตครอบครัว การเลี้ยงลูกของชาวตะวันตกจะสะท้อนกลับมาหาพ่อแม่เมื่อถึงวัยชรา เพราะการที่พวกเขาเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละ ให้อิสระ ไม่บังคับจู้จี้จุกจิกเหมือนคนเอเชีย เด็กที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ความผูกพันธ์กับพ่อแม่ จะไม่ลึกซึ้งเท่ากับคนเอเชีย ใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงเห็นข้อแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน

แต่เดี๋ยวก่อน แล้วหนังเรื่องนี้สามารถจัดเป็นคอลเลคชั่น Painter & Artist ได้ยังไง? ตอนผมค้นหาหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับงานศิลปะ ได้เห็นหนังเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหลายๆลิส คะแนนหนังค่อนข้างสูง แถมได้รางวัลจากเทศกาลหนังด้วย ทำให้ผมรีบหามาดูตั้งแต่เริ่มต้นคอลเลคชั่นนี้เลย ซึ่งหนังมีส่วนที่อ้างอิงกับ Painter แค่ Monsieur Ladmiral เป็นจิตรกรนักวาดภาพคนหนึ่ง … เท่านี้เองนะครับ! เป็นตัวละครในนิยาย ไม่มีตัวตนจริงๆ นี่ไม่ใช่หนังชีวประวัติ ไม่เกี่ยวกับการวาดรูป แนวคิดหรือการสร้างสรรค์ผลงานแม้แต่น้อย สรุปว่าไม่เข้าพวกนะครับ! แต่ที่เอามาเขียน เพราะถือว่าหนังมีดีพอในจุดอื่นที่น่าสนใจ เขียนมาคั่นเวลาเพราะผมยังโหลดหนังเรื่องที่จะดูไม่เสร็จ

นำแสดงโดย Louis Ducreux รับบท Monsieur Ladmiral เห็นว่าปู่ Ducreux เป็นทั้งนักแสดง นักเขียนบท และนักประพันธ์เพลง (ทำเพลงประกอบให้ Max Ophüls เรื่อง La Ronde, หนังเรื่องนี้เหมือนปู่จะช่วยทำ Addition Music ให้ด้วย) ตัวละคร Ladmiral เป็นคนที่ผ่านโลกมานาน เห็นอะไรๆมาก็เยอะ ทำให้เริ่มเข้าใจชีวิต พอแก่ตัวจึงปล่อยวางหลายๆสิ่ง เขาไม่ถือสาอะไรใครในหนังเลย (มีบ่นๆกับแม่บ้านนิดหน่อย แต่ก็เท่านั้น) ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่ต่อว่า ไม่ตำหนิ เพราะเขาคงคิดได้แล้วว่า ทำแบบนั้นไปมีประโยชน์อะไร ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ทำอะไรช้าลงมาก ขนาดว่าเดินจากบ้านไปสถานีรถไฟ ถ้าตอนหนุ่มๆใช้เวลา 10 นาที ตอนนี้ใช้เวลานานขึ้นมาก จนไปไม่ทัน เจอกับลูกและหลานๆระหว่างทางไปสถานีรถไฟ, ขณะให้หลานสาวขี่หลัง ไม่ถึง 5 นาทีก็หมดแรง สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงเสียเลย

ลูกชาย Gonzague นำแสดงโดย Michel Aumont ลูกไม้ที่ตกใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเติบโตให้สูงใหญ่กว่าได้ Gonzague รู้ตัวว่าเป็นลูกที่น่าผิดหวังของพ่อ เขาจึงเลือกที่จะไม่เดินตามรอยเท้า เพราะรู้ว่ายังไงก็สู้ไม่ได้ นี่อธิบายนิสัยใจคอบุคคลิกของตัวละครนี้ได้ทุกอย่าง เขาไม่เคยพยายาม จะรู้ได้ยังไงว่าสู้ไม่ได้ นั่นทำให้เขาเป็นลูกที่รักพ่อ แต่เป็นลูกที่ดีไหม ไม่เลยนะครับ, ภรรยา Marie-Thérèse รับบทโดย Geneviève Mnich หญิงสาวที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว ลูกสะใภ้แบบนี้ผมเห็นบ่อย มักจะไม่ค่อยถูกกับพ่อของสามี, Marie เป็นผู้หญิงที่พยายามทำตัวให้มีอิทธิพลเหนือกว่าคนอื่น ชอบบงการ จู้จี้จุกจิก ทำตัวหัวสูงกับแม่บ้าน วางตัวเหนือกว่าสามี (ขนาดเปลี่ยนชื่อเรียกสามีตัวเอง) แต่เธอไม่สามารถทำตัวให้เหนือกว่าพ่อสามีได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอไม่ชอบ Ladmiral เสียเท่าไหร่ การแสดงออกถึงไม่ชัด แต่การกระทำนี่เหมือนแม่ของผมกับปู่ (พ่อของพ่อ) รู้สึกเลยว่าเป็นแบบนี้คล้ายๆกัน

ลูกสาว Irène นำแสดงโดย Sabine Azéma จะว่าเธอเป็นตัวแย่งซีนของหนังเลยก็ได้ ครึ่งแรกที่มีแต่พ่อและลูกชาย ลูกสะใภ้ หนังดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างน่าเบื่อ การปรากฏตัวของ Irène สร้างสีสัน ชีวิตชีวาให้กับหนัง เธอเปรียบเสมือนพายุไต้ฝุ่น ที่พัดพาเอาความสนุกสนาน ครึกครื้น รื่นเริง ตื่นเต้น ไม่ใช่แค่กับพ่อหรือพี่ชาย แต่ยังกับหลานๆ, ผมรู้สึกเป็นเรื่องปกติมากที่เด็กชายอายุ 6-12 มักจะชอบป้าหรือน้ามากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง (เพราะพ่อแม่มักจะเข้างวด แต่ญาติคนอื่นๆมักจะปล่อยตัวตามสบาย เอาใจหลานๆเต็มที่), แต่เบื้องลึกที่อยู่ในใจของ Irène มันมีพายุอีกลูกที่ซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย (ฟังจากเสียงบรรยาย) แต่เธอแสดงออกมาให้คนมองเห็นเธอ ว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี สดใสแจ่มใสเหมือนแสงตะวันตลอดเวลา ต้องคนที่เข้าใจและมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าแท้จริงของเธอ เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน อ่อนไหว ต้องการความรักเอาใจใส่อย่างมาก, ฉากที่เธอเต้นรำกับพ่อ ทำเอาผมน้ำตาคลอเลย หญิงสาวที่ใส่ตาข่ายคลุมหน้า (เหมือนปกปิดบางสิ่งที่อยู่ในใจ) การเต้นเหมือนการเปิดใจ เปิดรับ มอบให้ เสียสละ เธอรักพ่อมากๆ แต่เธอไม่อยากอยู่ใกล้เขา เพราะมันจะทำให้พ่อถูกพายุลูกที่อยู่ในใจของเธอพัดทำลายไปด้วย

ถ่ายภาพโดย Bruno de Keyzer ถือว่าสวยงามมากๆ โดยเฉพาะ long-take และการเคลื่อนไหวกล้องที่มักจะติดตามตัวละครขณะเดินไปมาอยู่ตลอด เทคนิคนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเรื่องราวมีความลื่นไหลต่อเนื่องไม่สะดุดติดขัด, ผมชอบช่วง long take ขณะที่ Ladmiral กำลังเดินเลียบกำแพงบ้าน ตอนเช้าขาไปรับลูกที่สถานีรถไฟ ตอนเย็นขากลับหลังไปส่งลูกขึ้นรถไฟ long-take ยาวๆนี้มันช่างโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เงียบเหงาเสียเลยเกิน ประกอบกับเสียงเชลโล่ที่แสนเหว่ว้า มนุษย์เราเกิดมาก็ตัวคนเดียว ตอนตายก็ยังอยู่คนเดียวอีก

ตัดต่อโดย Armand Psenny หนังเรื่องนี้มีส่วนผสมของ ปัจจุบัน, อดีต, ความฝันและจินตนาการ มันอาจดูแปลกๆที่มีขณะหนึ่ง แม่ (ที่ในหนังเสียชีวิตไปแล้ว) โผล่ออกมาให้ตัวละครที่ยังมีชีวิตเห็น หรือภาพจินตนาการ ลางสังหรณ์ที่เห็นพ่อนอนเสียชีวิต, ผมคิดว่าภาพเหล่านี้ที่ตัดใส่เข้ามา ก็เพื่อเป็นการบรรยายแทนคำพูดของตัวละคร ออกมาเป็นภาพ (ไม่ใช่คำพูด) มันคือการหวนระลึกถึงอดีต ความหวั่นวิตกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต นี่เป็นภาพจริงล้วนๆ แค่มันอาจเกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด (แต่เกิดแน่ในอนาคต) ไม่มีฉากจินตนาการแบบล้ำไปไกล ภาพพวกนี้แสดงให้เห็นถึงวัฎจักรชีวิต วนเวียน เกิดแก่และตายเป็นสัจธรรม

หนังเล่าเรื่องโดยใช้ วันอาทิตย์ เป็นจุดอ้างอิง เริ่มต้นจากเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ มีการพบเจอและพรากจาก มีสุขทุกข์ เศร้าใจเสียใจ ดีใจอิ่มเอิบ เราสามารถเปรียบเรื่องราวใน 1 วันได้กับชีวิตของคนๆหนึ่งทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิด เติบโต แต่งงาน มีลูก มีหลาน พบเจอ แยก ชื่อนิยาย Mr. Ladmiral will die soon รู้สึกว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของ Ladmiral คืนนั้นเขาหลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต วันสุดท้ายที่ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า เป็นบทสรุปของชีวิตทั้งชีวิต ทบทวนตัวเอง ปัจจุบันไม่มีอะไรเหลือให้เขาห่วงอีกแล้ว ลูกๆก็โตจนเลี้ยงดูตัวเองได้ มันก็ถึงเวลาสักทีที่เขาจะต้องไป

เพลงประกอบโดย Gabriel Fauré เรียบเรียงโดย Philippe Sarde ผมชอบเสียงเชลโล่ในเพลงประกอบหนังเรื่องนี้มากๆ ฟังแล้วหัวใจหวิวๆ มันช่างโหยหวน โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย เป็นเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึกของชายแก่ Ladmiral บอกว่าเขาอ้างว้างเพียงใด วันอาทิตย์คงเป็นวันเดียวที่ทำให้เขาหลงลืมความรู้สึกพวกนี้ มันอาจเป็นวันเดียวด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่าควรค่าแก่การที่ตนยังมีชีวิตอยู่

หนังเรื่องนี้ไม่เชิงเป็นหนังบรรยากาศ (Atmospheric) นะครับ คือมันมีเนื้อเรื่อง ใจความอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรใหญ่โตที่ดูแล้วน่าสนใจ เป็นเรื่องราวชีวิตประจำวัน เรื่อยๆเปื่อยๆ ลูกๆกลับมาเยี่ยมบ้าน พ่อถามไถ่ชีวิต การทำงาน ครอบครัวเป็นอย่างไร หลานๆก็ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านไม่สนใจอะไร เป็นหนังที่พูดถึงความรู้สึก แฝงการใช้ชีวิต ผมไปอ่านเจอว่าหนังของ Tavernier จะต้องมีฉากกินข้าว นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร ธรรมชาติของมนุษย์ต้องกินข้าว นี่ทำให้ผมนึกถึงหนังของ Edward Yang และ Hsiao-Hsien Hou (ว่าไปกลิ่นอายหนังของ Tavernier คล้ายกับ Yang มากกว่า Ozu อีกนะ)

ข้อคิดหนึ่งที่ผมได้จากหนัง คือวิธีการเลือกใช้ชีวิต Ladmiral พ่อผู้ซึ่งเป็นนักวาดรูปที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เขาใช้เวลาไปกับการวาดภาพมุมห้อง สิ่งของต่างๆวางไว้อยู่กับที่แล้ววาดมันขึ้นมา นี่แสดงถึงความธรรมดาในการใช้ชีวิต ไม่มีอะไรหวือหวา, ครั้งหนึ่งพ่อบอกกับ Irène ว่าเขาเลือกวาดภาพตามทฤษฎี ตามอาจารย์ที่สอนมาอย่างเคร่งครัด ถ้าตอนนั้นเขากล้าที่จะทดลองทำอะไรใหม่ๆ ป่านนี้เขาคงมีชื่อเสียงโด่งดังไปแล้ว, Gonzague ลูกชายที่ตั้งใจเดินตามรอยเท้าพ่อ แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ดีกว่า จึงยอมแพ้และหนีไปทำอย่างอื่นที่ นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการใช้ชีวิตนะครับ สู้ไม่ได้ก็หนี ไม่มีใครต่อว่าคุณหรอกถ้าเลือกไม่สู้ แต่แบบนี้ในอีกมุมหนึ่งมันเหมือนการหนีปัญหา เขาอาจจะได้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่มันก็เพียงพอให้สามารถรับผิดชอบเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆให้มีชีวิตได้, ลูกสาว Irène เธอก็หนีเหมือนกัน แต่เธอสร้างทางเดินของตัวเองขึ้นมา ไม่ได้ตามรอยเท้าพ่อหรือพี่ หนังไม่ได้บอกว่าเธอชอบวาดภาพหรือเปล่า แต่เธอไม่ค่อยชอบภาพวาดของพ่อ มันดูธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจ ตอนที่เธอเข้ามาในห้องของพ่อ เธอเคลื่อนย้ายโน่นนี่ ทำเอาฉากที่จัดไว้สำหรับวาดรูปเสียไป นี่แหละคือวิธีการใช้ชีวิตของเธอ ชอบอะไรก็ทำ ไม่ชอบก็เปลี่ยน แต่ครั้งหนึ่งเธอบอกกับพ่อ อยากให้พ่อเป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยน คงเพราะนี่อาจเป็นวิถีชีวิตที่เธอชอบที่สุด แต่ไม่ขอเลือกก็เป็นได้, เป็นคุณจะเลือกใช้ชีวิตคล้ายใคร Ladmiral, Gonzague หรือ Irène

ฉากจบ Ladmiral นั่งอยู่ในห้องทำงาน มองออกไปนอกหน้าต่าง กล้องค่อยๆเคลื่อนเข้าไป เขาเตรียมการสำหรับวาดภาพใหม่ แต่เขาจะวาดอะไร กล้องยังคงเคลื่อนออกไปข้างนอก ฤาจะวาดทิวทัศน์นี้ (Impressionist landscape) ฤาภาพอะไรสักอย่างที่อยู่ในจิตใจของเขา จบแบบนี้เหมือนค้างคา ไม่มีคำตอบ แต่ผมมองเห็นเป็นการเคลื่อนออกของร่างกายกับจิต ที่เรียกว่าความตาย ภาพที่เขากำลังวาด มันคงเป็นความทรงจำทั้งหมดของชีวิต ประมวลกลายมาเป็นภาพ ที่ผมจะตั้งชื่อภาพนี้ให้ว่า Life “ภาพวาดของชีวิต”

กับคนที่ชอบดูหนังแบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เรื่อยๆ บรรยากาศผ่อนคลาย นี่เป็นหนังเหมาะกับท่านเลย ใช้เวลาว่างๆยามบ่าย ไม่มีอะไรก็ลองหาหนังเรื่องนี้มาดู, ภาพสวยๆ เพลงเพราะๆ นักดูหนังสมัยใหม่ผมแนะนำให้ข้ามไปเลยนะครับ เชื่อว่าคุณคงไม่สามารถดื่มด่ำกับรสชาติที่แสนธรรมดา แต่ข้างในนุ่มลึกของหนังเรื่องนี้ได้ จัดเรต PG

TAGLINE | “หนึ่งวันใน A Sunday in the Country คือบทสรุปของชีวิตคนๆหนึ่ง ถ้าคุณไม่อยากมีภาพชีวิตที่โดดเดี่ยวแบบเพลงประกอบที่อ้างว้างในหนัง คิดให้ดีว่าจะมีชีวิตยังไง”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: