Story of Women

Story of Women (1988) French : Claude Chabrol ♥♥♥♥

เรื่องจริงของ Marie-Louise Giraud (รับบทโดย Isabelle Huppert คว้ารางวัล Volpi Cup for Best Actress) ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินในช่วง Vichy France เนื่องจากรับทำแท้งเถื่อนหญิงสาว 27 คน มันอาจดูเป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่ลองรับฟังเหตุผลของเธอก่อน แล้วค่อยตัดสินถูก-ผิด ดี-ชั่ว สมควรได้รับความสงสารเห็นใจหรือไม่

ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสถูกยึดครองโดยนาซีเยอรมัน จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด Vichy France หรือ Régime de Vichy (1940-44) ชื่อสามัญของรัฐฝรั่งเศส (État français) ผู้นำคือจอมพล Philippe Pétain (1856-1951) บังคับใช้กฎหมายคุณธรรม ตัดสินโทษด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เพื่อให้เป็นต้นแบบอย่างแก่ประชาชน

การเข้ามายึดครองของ Nazi Germany ไม่ใช่แค่ทำการกวาดต้อนชาวยิวสู่ค่ายกักกัน แต่ยังรวมถึงบรรดาชายฉกรรจ์ฝรั่งเศสเพื่อไปใช้แรงงานหนัก จำต้องทอดทิ้งภรรยาและบุตรให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพียงลำพัง หาเช้ากินค่ำ ข้าวยากหมากแพง การงานก็แทบจะไม่มี วิธีเอาตัวรอดคือขายบริการให้ทหารเยอรมัน แถมยุคสมัยนั้นยังไม่มีถุงยางอนามัย โอกาสพลั้งพลาดติดโรค/ตั้งครรภ์ การทำแท้งจึงกลายเป็นหนทางออกหนึ่ง … แต่เพราะมันขัดต่อหลักศีลธรรม จึงยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ถ้าโดนจับได้จะถูกลงโทษทัณฑ์อย่างรุนแรง!

วันก่อนผมเพิ่งเขียนถึง Violette Nozière (1978) คาดไม่ถึงว่าจะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ Une affaire de femmes (1988) ราวกับพี่น้อง/ภาคต่อทางจิตวิญญาณ

  • Violette Nozière (1978) หญิงสาววัย 17-18 ปี ลงมือกระทำการปิตุฆาต แล้วตีแผ่ปัญหาภายในครอบครัวที่มีความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ คาดว่าบิดาอาจข่มขืนบุตรสาวตั้งแต่เด็ก (Incest)
  • Story of Women (1988) นำเสนอเรื่องราวหญิงชาวฝรั่งเศส ต่อสู้ดิ้นรนในยุคสมัย Vichy France ตีแผ่ปัญหาสังคมที่มีความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ … การเข้ายึดครองของ Nazi Germany ไม่แตกต่างจากข่มขืนกระทำชำเราชาวฝรั่งเศส

ในขณะที่ Violette Nozière (1978) ผมรู้สึกว่าผกก. Chabrol มีความติสต์แตกไปหน่อย ทำเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นโครงสร้างอันซับซ้อน เพื่ออะไร?, ผิดกับ Une affaire de femmes (1988) เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา มีความลงตัว กลมกล่อม ผิดกับแนวคิดของหนังช่างลึกล้ำ ทรงพลัง แถมยังเหนือกาลเวลาอีกด้วย! … เพราะการทำแท้งถูกกฎหมาย vs. ศีลธรรมศาสนา จนถึงปัจจุบันยังคงถกเถียงไม่เลิกรา


ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึง Marie-Louise Giraud ชื่อเดิม Marie-Louise Lempérière (1903-43) เกิดที่ Barneville-Carteret, Manche ชานเมือง Cherbourg แคว้น Normandy ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส, ครอบครัวมีฐานะยากจน วัยเด็กเคยโดนจับข้อหาลักเล็กขโมยน้อย ติดคุกนานสองเดือน หลังแต่งงานกับกะลาสีเรือ Paul Giraud ทำงานเป็นแม่บ้าน รับจ้างรีดผ้า ทำความสะอาด มีบุตรร่วมกันสองคน

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างที่สามีถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานหนักในค่ายกักกัน ทำให้เธอต้องต่อสู้ดิ้นรน หาหนทางเอาตัวรอด เลี้ยงดูแลบุตรทั้งสอง ด้วยการเปิดห้องเช่าสำหรับโสเภณีขายบริการ แล้วเริ่มรับจ้างทำแท้งเถื่อน (Abortions) ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1942 รวมทั้งหมด 27 ครั้งก่อนถูกจับกุม (มีรายหนึ่งเสียชีวิตระหว่างทำแท้ง) ได้รับการตัดสินโทษประชีวิตด้วยกิโยติน ณ เรือนจำ Prisons de la Roquette, Paris วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 สิริอายุ 39 ปี

เกร็ด: Marie-Louise Giraud ได้รับฉายา Faiseuse d’anges แปลตรงตัวว่า Female maker of angels คือศัพท์แสลงของผู้หญิงที่รับจ้างทำแท้งเถื่อน

Claude Henri Jean Chabrol (1930-2010) ผู้กำกับ/นักวิจารณ์ภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris แต่ไปเติบโตยังชนบท Sardent, Nouvelle-Aquitaine ครอบครัวเป็นเจ้าของร้านขายยา คาดหวังให้บุตรชายสืบทอดกิจการ แต่กลับค้นพบความสนใจสื่อภาพยนตร์ “seized by the demon of cinema” ก่อตั้งชมรม Film Club ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ หลงใหลเรื่องราวนักสืบ แนวตื่นเต้นลุ้นระทึก (Thriller), หลังสงครามโลกสิ้นสุดเดินทางสู่ Paris เข้าศึกษาต่อ Université de Paris (บ้างว่าร่ำเรียนเภสัชศาสตร์ บ้างว่านิติศาสตร์) แต่มักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ยัง Ciné-Club du Quartier Latin และ Cinémathèque Française หลังเรียนจบอาสาสมัครทหาร French Medical Corps ไต่เต้าจนได้ยศผู้หมวด (Sergeant) พอปลดประจำการ กลายเป็นนักวิจารณ์นิตยสาร Cahiers du Cinéma, ร่วมกับ Éric Rohmer ตีพิมพ์หนังสืออัตชีวประวัติ Hitchcock (1957), ให้ความช่วยเหลือ Jacques Rivette สรรค์สร้างหนังสั้น Le coup du Berger (1957), กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Le Beau Serge (1958) ถือเป็นจุดเริ่มต้นกลุ่มเคลื่อนไหว French New Wave

ผกก. Chabrol น่าจะมีโอกาสรับรู้จักเรื่องราวของ Marie-Louise Giraud มาตั้งแต่ช่วงสงครามโลก หรือไม่ก็ตอนที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข Simone Veil ประกาศใช้กฎหมาย Loi Veil (หรือ Veil Act) เมื่อปี ค.ศ. 1975 อนุญาตให้สตรีมีสิทธิ์ในการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย … เพราะมีการยกคดีความของ Marie-Louise มากล่าวอ้างในรัฐสภาพ ตัวอย่างความจำเป็นในการทำแท้งของผู้หญิง

แต่ความสนใจของผกก. Chabrol เกิดขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือ Une affaire de femmes: Paris 1943, exécution d’une avorteuse (1986) แปลตรงตัว A Women’s Affair: Paris 1943, Execution of an Abortionist รวบรวมขึ้นโดย Francis Szpiner (เกิดปี ค.ศ. 1954) นักกฎหมาย ทนายความ นายกเทศมนตรีเขตการปกครองที่ 12 ในกรุง Pairs และดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาฝรั่งเศส สังกัดพรรค The Republicans

ในส่วนของบทหนัง ผกก. Chabrol พยายามมองหาผู้ช่วย/นักเขียนหญิงที่น่าจะสามารถทำความเข้าใจเรื่องราวอันละเอียดอ่อนนี้ได้ดีกว่าตนเอง เห็นว่าผู้กำกับรุ่นน้อง Bertrand Tavernier เป็นคนแนะนำอดีตภรรยา/นักเขียน Colo Tavernier O’Hagan (1942-2020) สัญชาติ British-French โด่งดังจากบทหนัง A Sunday in the Country (1984)


ภายใต้รัฐบาลหุ่นเชิด Vichy France หลังจากสามี Paul Latour (รับบทโดย François Cluzet) ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน ทำให้ภรรยา Marie (รับบทโดย Isabelle Huppert) ต้องต่อสู้ดิ้นรน หาหนทางเอาตัวรอด เลี้ยงปากท้องตนเองและบุตรสองคน

วันหนึ่งเพื่อนข้างห้องขอให้ Marie ช่วยทำแท้ง กำจัดทารกในครรภ์ แม้เธอไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ใดๆ บังเอิ้ญกลับสามารถทำสำเร็จ นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้น มองเห็นลู่ทางทำมาหากิน ในยุคสมัยสงคราม ถ้าต้องการเอาตัวรอด ต้องพร้อมทำทุกสิ่งอย่าง


Isabelle Anne Madeleine Huppert (เกิดปี 1953) นักแสดง สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris บิดาเป็นชาว Jews ส่วนมารดาทำงานครูสอนภาษาอังกฤษ ผลักดันให้ลูกๆเป็นนักแสดงตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาได้เข้าเรียน Conservatoire à rayonnement régional de Versailles ติดตามด้วย Conservatoire national supérieur d’art dramatique (CNSAD) เริ่มต้นมีผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ Le Prussien (1971), ตามด้วยภาพยนตร์ Faustine et le Bel Été (1972), Les Valseuses (1974), The Common Man (1975), La Dentelliere (1977) **คว้ารางวัล BAFTA Award: Most Promising Newcomer, ผลงานเด่นๆ อาทิ Aloïse (1975), Violette Nozière (1978), Une affaire de femmes (1988), La Cérémonie (1995), The Piano Teacher (2001), Gabrielle (2005), Amour (2012), Elle (2016) ฯ

รับบท Marie หญิงวัยกลางคน ฐานะยากจน แถมต้องเลี้ยงดูลูกสองระหว่างสามีถูกส่งไปค่ายกักกัน เพ้อใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง แต่ยุคสมัยรัฐบาล Vichy France กลับต้องอดกลั้นฝืนทน หาหนทางดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้ช่วยเหลือเพื่อนสาวข้างห้องทำแท้ง กำจัดทารกในครรภ์ จึงเริ่มต้นวางแผนการ ตีสนิทเพื่อนสาวโสเภณี Lulu/Lucie (รับบทโดย Marie Trintignant) เปิดห้องให้เช่า (สำหรับขายบริการ) หรือใครพลั้งพลาดตั้งครรภ์ ก็มีบริการทำแท้งเถื่อน เมื่อเงินทองไหลมาเทมา สามารถใช้ชีวิตสุขสบาย เข้าคอร์สร่ำเรียนร้องเพลง ทุกสิ่งอย่างช่างเป็นใจ

แต่การกลับมาของสามี Paul ในสภาพเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า (จากอาการ ‘Shell Shock’) กลายเป็นคนอ่อนแอปวกเปียก ไม่สามารถพึ่งพาอะไร หาการงานทำไม่ได้ เลยถูกด้อยค่า ไร้ความสำคัญ ภรรยาปฏิเสธร่วมรักหลับนอน เลยเต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง ยินยอมฝืนทนจนจับได้ว่าเธอคบชู้นอกใจ จึงเขียนจดหมายเปิดเผยรายละเอียดต่อทางการ ทำให้ Marie โดนจับกุม ตัดสินโทษประหารชีวิตกิโยติน

ใบหน้าท่าทางของ Huppert เมื่ออยู่กับสามีและบุตรช่างดูเยือกเย็นชา เพราะพวกเขาคือพันธนาการเหนี่ยวรั้ง ทำให้เธอต้องต่อสู้ดิ้นรน ทนทรมานอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก แต่เมื่อไหร่ก้าวออกจากบ้าน ได้ทำในสิ่งชื่นชอบใฝ่ฝัน ขับร้องเพลง เริงระบำ ไม่เพียงรอยยิ้มเบิกบาน ท่าทางยังระริกระรี้ ปล่อยตัวปล่อยใจ พริ้วไหวไปกับอิสรภาพ

ในขณะที่ Violette Nozière (1978) ผู้ชมสัมผัสถึงอารมณ์อัดอั้น แทบอยากจะคลุ้มบ้าคลั่ง นำไปจุดแตกหักที่ทำให้ตัวละครของ Huppert ลงมือกระทำปิตุฆาต, Une affaire de femmes (1988) อาจไม่ได้ตึงเครียดอะไรขนาดนั้น ผู้ชมสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวัฒนาการตัวละคร พบเห็นความมุ่งมั่น ดื้อรั้น จิตวิญญาณโหยหาอิสรภาพ ยินยอมเสียสละความเป็นมนุษย์ เพื่อเงินทอง อิ่มท้อง ครอบครัวสุขสบาย และโอกาสได้ทำสิ่งเติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน

ส่วนไฮไลท์ที่ถือเป็น Masterclass ของ Huppert คือค่ำคืนสุดท้ายก่อนถูกประหารชีวิต เธอถูกจับแยกขังเดี่ยว เมื่ออยู่ตัวคนเดียว เกิดอาการหนาวเหน็บ กลัวความตาย ร่างกายสั่นสะท้าน น้ำหูน้ำตาไหลทะลักออกมา มือสองข้างพยายามตะเกียกตะกาย ปีนป่าย หาหนทางออกจากกรงขัง … ถือเป็นหนึ่งในฉากทรงพลังการแสดงที่สุดในอาชีพการงานของ Huppert เลยก็ว่าได้!


ถ่ายภาพโดย Jean Rabier (1927-2016) สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Montfort-L’Amaury จากเป็นศิลปินวาดรูป ผันสู่ทำงานตากล้องภาพยนตร์ เริ่มจากควบคุมกล้อง (Camera Operator) ถ่ายทำหนังสั้นตั้งแต่ปี 1948, ผู้ช่วย Henri Decaë ถ่ายทำ Crèvecoeur (1955), Le Beau Serge (1958), Elevator to the Gallows (1958), The 400 Blows (1959), จากนั้นได้รับการผลักดันจาก Claude Chabrol เป็นตากล้องเต็มตัว/ขาประจำตั้งแต่ Wise Guys (1961), ผลงานโด่งดัง อาทิ Cléo from 5 to 7 (1962), Bay of Angels (1963), The Umbrellas of Cherbourg (1964), Le Bonheur (1965) ฯ

On the staging side, I had fun making a film from 1943 and not a film about 1943. The filmmakers of the time had not yet seen Citizen Kane. They ignored perspective, depth of field. I played on it. And, for my personal pleasure, I tried new methods of narration.

Claude Chabrol

เท่าที่ผมหาข้อมูลจาก Wikipedia และ IMDB ระบุว่าอัตราส่วนภาพคือ 1.66:1 แบบเดียวกับ Violette Nozière (1978) แต่ทว่าฉบับบูรณะของ CNC ที่ได้รับชมนั้นมันน่าจะประมาณ 1.85:1 (16:9) มาตรฐาน Widescreen สมัยใหม่ ซึ่งความแตกต่างถือว่ามากโข เพราะขอบซ้ายขวาทำให้ไม่อึดอัด คับแคบ รู้สึกผ่อนคลายกว่า

เมื่อตอนผมรับชม Violette Nozière (1978) อัตราส่วนภาพที่คับแคบ ทำให้ฉากภายในอพาร์ทเม้นท์ดูแออัด แถมหนังยังชื่นชอบถ่ายภาพระยะกลาง-ใกล้ (Medium & Close Up) เพื่อสร้างแรงกดดัน เก็บกด อัดอั้นให้กับตัวละคร, ขณะที่ Une affaire de femmes (1988) แทบจะไม่รู้สึกอะไรแบบนั้น มันยังมีพื้นที่ว่างสำหรับหายใจ เพียงบรรยากาศทะมึน อึมครึม เวลาอยู่กับครอบครัวนักแสดงมักมีใบหน้าบูดบึ้งตึง

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นบ่อยครั้ง คือมุมกล้องที่ดูเหมือนการแอบถ้ำมอง (Voyeurism) เด็กชายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยืนจับจ้อง มองลอดช่องว่าง ประตูหน้าต่าง หลายครั้งกล้องยังค่อยๆเคลื่อนไหล ก้าวย่างเข้าไป เปิดเผยสิ่งที่อยู่ภายในอย่างช้าๆ … มุมกล้องลักษณะนี้เพื่อสร้างสัมผัสเหมือนมีบางสิ่งอย่างคอยสอดส่อง ถ้ำมอง ครอบงำหญิงสาว อิสรภาพที่เธอได้รับแค่เพียงชั่วครั้งคราว

ในตอนแรกผกก. Chabrol อยากเลือกใช้สถานที่จริง หรือไม่ก็ละแวกเมือง Cherbourg แต่ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงเปลี่ยนเป็นชุมชน Bout du Quai ในเมือง Dieppe, Seine-Maritime อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโล แต่ก็ยังทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ติดช่องแคบอังกฤษเหมือนกัน


“I’m still young. I need to have fun.” คำกล่าวของ Marie อาจฟังดูขาดความรับผิดชอบ ทอดทิ้งบุตรทั้งสองไว้อพาร์ทเม้นท์ แต่นั่นคือโลกทัศน์คนสมัยก่อน ผู้หญิงต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ แต่งงานแล้วต้องปรนปรนิบัติสามี ทำหน้าที่มารดาเลี้ยงดูแลบุตร … มันผิดอะไรที่ผู้หญิงแต่งงานแล้ว มีบุตรแล้ว จะให้เวลากับตนเองไม่ได้?

แต่ทีแรกผมครุ่นคิดว่า Marie จะหาความสนุกกับเพื่อนชาย กลับโยกเต้นเริงระบำกับเพื่อนหญิง Rachel แถมยังเกี้ยวพาราสี พูดชมตาสวยเหมือนนางฟ้า มันชัดเจนมากๆถึงรสนิยมทางเพศเลสเบี้ยน (คงต้องเรียกว่า Bisexual ได้หมดทั้งชาย-หญิง)

ผมอ่านเจอว่า เมื่อตอนมารดาของผกก. Chabrol ตั้งครรภ์ได้สามเดือน เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เลยได้รับคำแนะนำจากหมอให้ทำแท้ง ซึ่งเธอก็เคยพยายามด้วยการ … คล้ายๆแบบฉากนี้กระมัง … ตอนบิดามาพบเจอเห็นสลบไสลในอ่างอาบน้ำ หายใจไม่ออกเพราะอุณหภูมิน้ำร้อนเกินไป ผลลัพท์ประสบความล้มเหลว … ดั่งคำกล่าวของ Marie ที่บอกว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล

ทีแรกผมไม่ได้จะครุ่นคิดอะไรมากมายกับการทำแท้ง แต่คำพูดนี้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ เวลาร่วมรักนอนราบกับพื้น อสุจิพุ่งเข้าช่องคลอด ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ <> ท่านอนเดียวกัน ฉีดน้ำสบู่เข้าช่องคลอด แท้งลูกเลือดไหลออกมา มันช่างมีความละม้ายคล้าย ในทิศทางตรงกันข้าม

ปล. ใครเคยรับชมโคตรภาพยนตร์ปาล์มทอง 4 Months, 3 Weeks and 2 Days (2007) น่าจะรับรู้ว่าการทำแท้งมันไม่ง่ายแบบที่พบเห็นในหนังเรื่องนี้หรอกนะครับ! นั่นเพราะผกก. Chabrol ไม่ได้ต้องการให้ผู้ชมสนใจประเด็นนี้นัก แค่เล่าผ่านๆ เพียงพอจินตนาการ พบเห็นความสัมพันธ์เกิด-ตาย ตั้งครรภ์-แท้งบุตร ก็เพียงพอแล้วละ!

การหวนกลับมาของบิดา ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาด Lamentation of Christ (คาดว่าระหว่าง 1475-1501) ผลงานของ Andrea Mantegna (1431-1506) จิตรกรสัญชาติ Italian Renaissance พบเห็น Saint John, พระแม่มารี และ Mary Magdalene กำลังร่ำไห้อยู่ข้างเตียง Jesus Chrit ภายหลังการตรึงกางเขน

บิดาในภาพนี้แม้ยังไม่เสียชีวิต แต่ความละม้ายคล้ายคลึงกับภาพวาด เราสามารถตีความการหวนกลับมา (The Return) ในเชิงศาสนาถึงการฟื้นคืนชีพ (Resurrection) นี่ก็แปลว่าบิดา = Jesus Christ (บุตรของพระเจ้า)

มุมกล้องดูเหมือนแอบถ่ายผ่านประตู เริ่มจากตุ๊กตาวางบนชั้น จากนั้นกล้องค่อยๆเคลื่อนลงด้านล่าง (Tilt Down) พบเห็นเพื่อนข้างห้องกำลังแท้งลูก เลือดไหลจากช่องคลอด … เข้าใจภาษาภาพยนตร์นี้ไหมเอ่ย? กุมารทอง กล้องเคลื่อนลง หญิงสาวแท้งลูก

Maria พบเจอกับ Lulu/Lucie ยังร้านตัดผม สนทนาถูกคอเลยชักชวนมาคุยต่อยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่การตกแต่งร้านนี้ราวกับเจ้าของคือชาวประมง เต็มไปด้วยภาพวาดท้องทะเล และแหดักปลา ซึ่งสามารถสื่อถึง Maria ทำการหวานแห/ตกเบ็ด Lulu ด้วยการบอกว่าถ้ามีปัญหา(ต้องการทำแท้ง)ให้ติดต่อมาได้เลย

การย้ายอพาร์ทเม้นท์ ต่อด้วยเป่าเค้กวันเกิดครอบครัว (เป่ากันทั้งบ้าน) ล้วนคือสัญลักษณ์การเริ่มต้นใหม่ ทำสิ่งใหม่ๆ ในบริบทนี้ก็คือ Marie ค้นพบเส้นทางชีวิตของตนเอง วาดฝันอนาคตสวยหรู สุขสบาย ได้กระทำสิ่งเติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน … ทุกคนล้วนมีความฝันหมดยกเว้นสามี Paul

ทำไมบุตรชายถึงอยากเป็นเพชฌฆาต? นี่ฟังดูราวกับพยากรณ์ความตายของ Marie แต่เหตุผลจริงๆผมว่าเกิดจากความเก็บกด อดกลั้น เพราะเป็นบุตรคนโตเลยถูกคาดหวัง ต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นลูกผู้ชาย ต้องเสียสละเพื่อน้อง ครุ่นคิดว่ามารดาไม่รัก (เคยโดนตบ ตำหนิต่อว่า ทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง) เลยเต็มไปด้วยอคติต่อต้าน และยิ่งแอบพบเห็นอะไรหลายๆอย่างก็เริ่มรับไม่ได้ ต้องการเข่นฆ่าให้ตกตาย โตขึ้นกลายเป็นเพชฌฆาตย่อมสามารถลงโทษทัณฑ์มารดา

ปล. โดยคาดไม่ถึง! เด็กชายคนนี้สามารถมองเป็นตัวตายตัวแทนผกก. Chabrol เมื่อครั้นยังเป็นเด็กน้อย เต็มไปด้วยความเก็บกด อดกลั้น ในฐานะพี่คนโตเลยถูกคาดหวังอะไรๆมากมายจากครอบครัว

ใครเคยรับชม Le Boucher (1970) น่าจะมักคุ้นกับเด็กชายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่องนั้นครอบครัวโยนความรับผิดชอบให้กับคุณครู, มาคราวนี้บิดาพูดอย่างไม่ยี่หร่าอะไร ดื่มนิดดื่มหน่อย ลูกผู้ชายต้องดื่มได้ เพื่อว่าพอไวน์เข้าปาก จะพูดบอกอะไรบางอย่างออกมา (สอบถามเรื่องมารดาหาเงินจากไหนมากมาย?) … ด้วยความที่ฉากลักษณะนี้เคยพบเห็นมากกว่าหนึ่งครั้ง ผมว่ามันค่อนข้างชัดเจนว่าผกก. Chabrol ต้องเคยพานผ่านประสบการณ์คล้ายๆเดียวกัน

เกมของนาซี ใครสามารถปิดตาตัดคอห่านสำเร็จ จะได้รับห่านตัวนี้เป็นของรางวัล นี่เช่นกันพยากรณ์ความตายของ Marie แต่สิ่งที่ผู้ชมคาดไม่ถึง คือการฉายให้เห็นห่านตัวนี้ถูกตัดคอจริงๆ เลือดพุ่งกระฉูด หลายคนคงปรี๊ดขึ้นสมอง รับไม่ได้อย่างรุนแรง … นั่นคือปฏิกิริยาที่คุณควรรู้สึกเช่นเดียวกันกับการตัดสินโทษประหารชีวิต

ผมพยายามเค้นสมองอยู่นาน แต่ยังไม่นึกไม่ออกว่าหน้ากากยักษ์แต่งหญิงต้องการล้อเลียนคือใคร ทีแรกครุ่นคิดว่าอาจคือ Charles de Gaulle ผู้นำกลุ่ม Free France แต่ไม่น่าจะใช่หรอกนะ

ทีแรกผมครุ่นคิดว่ากิจกรรมยามว่างของ Paul ตัดแปะกระดาษ คงแค่สื่อถึงกระทำสิ่งไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ แต่พอจับจ้องมองภาพนี้อยู่สักพัก ก่อนเอะใจว่ามันดูคล้ายๆประภาคาร (Lighthouse) ละเลงสีเหลืองๆอาจคือแสงไฟสาดส่อง นี่อาจเคลือบแฝงนัยยะถึงการมองหาสิ่งสามารถเป็นแสงสว่างนำทางให้เรือกลับเข้าฝั่ง/ตนเองค้นพบเส้นทางชีวิตใหม่ … จะว่าไปพื้นหลังของหนัง Cherbourg รวมถึงสถานที่ถ่ายทำ Dieppe, Seine-Maritime ล้วนอยู่ติดกับช่องแคบอังกฤษ มีช็อตติดทะเลสวยๆหลายภาพทีเดียว

เมื่อตอน Paul จับได้ว่า Marie แอบคบชู้นอกใจ พยายามพูดสอบถาม เดินเข้าข้างหลัง (เป็นได้เพียงช้างเท้าหลัง/แมงดาเกาะกิน) แต่เธอกลับปฏิเสธตอบคำถาม นิ่งเงียบงัน จนเขาเดินเข้าห้องนอน พบเห็นบุตรชายยืนจับจ้องมองอย่างไม่รู้ประสีประสา ไร้ซึ่งสิทธิ์เสียงในแสดงออก ตัดสินใจอะไรใดๆ

แซว: ผมละอยากเรียกซีนนี้ว่า “Anti-Citizen Kane” เพราะเรื่องนั้นพยายามทำให้ทุกสิ่งอย่างอยู่ภายในเฟรมเดียวกัน เด็กชายนอกหน้าต่างไร้ซึ่งสิทธิ์เสียงตัดสินใจ, แต่เรื่องนี้ต้องใช้การเคลื่อนเลื่อนกล้อง บิดาเดินไปพบเห็นบุตรชาย(แอบ)ยืนอยู่ภายในอีกห้อง

ในบรรดาลูกค้าของ Marie มีอยู่รายหนึ่งผ่านการทำแท้งสารพัดวิธี ล้วนแต่ประสบความล้มเหลว จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย สามีอดรนทนไม่ได้จึงกระโดดให้รถไฟชนตาย ทอดทิ้งบุตรทั้งหกให้บรรดาญาติพี่น้อง สรุปแล้วนี่ความผิดใคร? ผู้ชายที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศ? ภรรยามิอาจปฏิเสธสามี? หรือคนทำแท้งเถื่อนที่ทำแท้งไม่สำเร็จ?

มันไม่ใช่ว่า Marie จะไม่มีความรู้สึกใดๆ วินาทีที่เธอรับรู้ความตายของสามี-ภรรยาคู่นั้น กล้องซูมเข้าหาใบหน้า มันคือภาษาภาพยนตร์แทนอาการใจหายวาป ตกหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ตัวสั่นเทาเล็กๆแต่พยายามเก็บอาการ ขึ้นเสียงใส่อารมณ์ ถึงอย่างนั้นธารน้ำตาก็ยังไหลหยดออกมา

ผมหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ๆก่อนพบเจอว่านี่คือ Bar Billiards รูปแบบหนึ่งของเกมบิลเลียด (Billiard) ทำแต้มโดยการแทงลูกบอล (ขาว 7, แดง 1) ลงหลุมบนพื้นผิวโต๊ะ (จำนวน 9 หลุม) ซึ่งบางครั้งจะมีสลักดอกเห็ด (Pegs หรือ Mushrooms) วางกีดขวางเพื่อเพิ่มความยากในการเล่น

ปล. Bar Billiards มีแข่งขันชิงแชมป์โลกด้วยนะครับ ใครอยากรู้กติกาเล่นยังไงหาคลิปชมใน Youtube เอาเองแล้วกัน

ผกก. Chabrol ได้รับฉายาว่า “French Hitchcock” พบเห็นเครื่องเล่นม้าหมุนชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Strangers on a Train (1951) แม้ขณะนี้ไม่มีใครตาย แต่ก็สร้างสัมผัสหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา (ตอนจบของ Strangers on a Train คือเครื่องเล่นม้าหมุนถล่มลงมา) กงเกวียนกรรมเกวียน ใครทำอะไรไว้ก็ใกล้จะได้รับผลกรรมคืนสนอง

ใครสักคนพูดแซวบุตรชาย “He think he’s the captain of the Titanic.” นี่อาจฟังดูขำๆ แต่เป็นการรำพันถึงหายนะเฉกเช่นเดียวกัน นั่นเพราะเรือเดินสมุทร RMS Titanic ที่เคยยิ่งใหญ่ ไม่มีวันอับปาง แต่กลับพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งอย่างจังงัง จมลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก … จิตใจเด็กชายก็จมดิ่งสู่ก้นเบื้องมหาสมุทรหลังมารดาถูกตัดสินโทษประหารชีวิต

ฉากนี้ถือว่ามีลีลาเคลื่อนเลื่องกล้องอันน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของหนัง! เริ่มจาก Paul เขียนจดหมายถึงทางการ (จริงๆใช้การตัดแปะตัวอักษร เพื่อไม่ให้ย้อนกลับเข้าหาตนเอง) ได้เสียงกล่าวถึงพฤติกรรมชั่วร้ายภรรยา ซึ่งขณะนี้เธอกำลังก้าวเดินมายังโรงเรียนสอนร้องเพลง … นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขของ Marie ที่จะทำในสิ่งเพ้อใฝ่ฝัน แต่กลับถูกสามีทรยศหักหลัง เสียงอ่านจดหมายราวกับ ‘Voice of God’ ที่ต้องการควบคุม ครอบงำ ไม่ยินยอมให้เธอได้อิสรภาพดังกล่าว

  • เริ่มต้นกล้องจะตั้งอยู่เฉยๆ Marie เดินข้ามถนน ตรงเข้ามาหา (Marie ก้าวเดินมายังเป้าหมาย)
  • พอมาถึงตำแหน่งที่กล้องตั้งอยู่ จะเริ่มมีการเคลื่อนถอยหลัง เกาะติดตามตัวละคร (Tracking Shot) จนถึงประตูทางเข้า (Marie และเป้าหมายดำเนินไปเคียงข้างกัน)
  • เมื่อเธอเข้าไปภายใน กล้องจะเคลื่อนย้อนกลับไปทิศทางเก่า ไม่รู้เนิ่นยาวนานเท่าไหร่
  • จากนั้นกล้องค่อยๆเลื่อนขึ้นตรงหน้าต่าง พบเห็น Marie กำลังฝึกซ้อมร้องเพลง แต่จะไม่ได้ยินเสียงอะไรดังออกมา (ช่วงเวลาเติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน ขับขานสิ่งที่อยู่ภายใน แต่ยุคสมัยนั้นสตรีเพศยังไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมา)
  • จนกระทั่งกล้องตัดภาพเข้าสู่ภายใน ถึงได้ยินเสียงขับร้องอุปรากร Poème de l’amour et de la mer (1882-92) แปลว่า Poem of Love and the Sea คาดว่าน่าจะท่อนที่สอง La Mort de l’amour แปลว่า The Death of Love

หลังเสร็จจากเรียนร้องเพลง Marie เดินทางกลับบ้านด้วยอารมณ์เบิกบาน เข้ามาเล่นสนุกสนานกับบุตรทั้งสอง แต่แล้วจู่ๆตำรวจก็เข้ามาขัดจังหวะ ล้อมจับกุม พอทั้งสามเดินออกจากเฟรมนี้ไป กล้องค่อยๆลดระดับความสูงลงมาถ่ายเด็กๆ แสดงสีหน้าตกตะลึง คาดไม่ถึง พร้อมได้ยินเสียงบรรยายจากอนาคตของเด็กชาย เพ้อรำพันถึงช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย

ในชีวิตจริงของผกก. Chabrol ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง บิดาเป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้าน ส่งบุตรชายไปอาศัยอยู่บ้านย่าที่เมืองชนบท Sardent ไม่ได้พบเจอหน้าครอบครัวอยู่หลายปี ตอนต้องเดินทางออกจาก Paris ก็คงหน้าตาบูดบึ้งประมาณนี้กระมัง

เมื่อเข้ามาในเรือนจำ Marie จำต้องถอดเสื้อผ้า ปลดเปลื้องทุกสิ่งอย่างสะสมสร้างมา เสียงบรรยายบุตรชายในอนาคตมีการกล่าวถึง Alice in Wonderland และ Through the Looking-Glass โดยไม่รู้ตัวฉากถัดมาในห้องคุมขัง ระหว่างที่กล้องค่อยๆเลื่อนลงมา (Tilt Down) พระจันทร์ภายนอกดูยังไงก็เป็นภาพวาด ของปลอม (in Wonderland) ค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

ทนายความคนนี้ (ใครก็ไม่รู้ละ) อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์หรูหรา ขนาดว่าห้องน้ำปูกระเบื้องหินอ่อน (ในยุคสมัย Vichy France บุคคลที่สามารถอยู่อพาร์ทเม้นท์หรูๆแบบนี้ได้ มักคือพวกทรยศขายชาติ) แต่ระหว่างกำลังโกนหนวด พลั้งพลาดเลือดไหล นี่ก็ลางบอกเหตุร้าย ไม่มีทางได้รับชัยชนะจากคดีความดังกล่าว

ฉากการพบเจอระหว่าง Marie กับทนายความ ฟากฝั่งของเธอมีแม่ชียืนประกบ ส่วนฝั่งของฝ่ายชายมีรูปภาพจอมพล Philippe Pétain ผู้นำรัฐบาล Vichy France แสดงให้เห็นว่าศาสนา+การเมือง ต่างมีอิทธิพลต่อคดีความนี้

และช็อตสุดท้ายระหว่างโคลสอัพใบหน้าทนายความ พบเห็นภาพสะท้อน Marie บนกระจกด้านหลัง ดูเลือนลาง เจือจาง มองแทบไม่เห็น ก็เหมือนโชคชะตาของเธอที่ไม่โอกาสได้รับชัยชนะในคดีความนี้

หลังจากพูดคุยกับทนาย มีการสวดอธิษฐานถึงพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศาสนา แม้แต่ภายในเรือนจำยังมีแม่ชีคอยออกคำสั่งโน่นนี่นั่น … เหมือนเป็นการเปรียบเทียบศาสนา = เผด็จการในเรือนจำ

เฉกเช่นเดียวกับนายพลผู้บ้าอำนาจ สวมใส่ถุงมือราวกับอาชญากร โจรผู้ร้าย (เวลาออกปล้นหรือลงมือฆาตกรรม จะได้ไม่หลงเหลือร่องรอยนิ้วมือหลักฐาน) ใช้ข้ออ้างฟื้นฟูศีลธรรม ตัดสินโทษทัณฑ์ผู้กระทำความผิดด้วยความรุนแรงสุดโต่ง เพื่อเป็นต้นแบบอย่างให้กับประชาชน ก้มหัวศิโรราบต่อนาซีเยอรมัน

เพื่อไม่ให้ซ้ำกับ Violette Nozière (1978) ที่กล้องเคลื่อนลง (Tilt Down) จากภาพวาดสู่ผู้พิพากษา มาคราวนี้เลยถ่ายภาพมุมกว้าง (ให้เห็นทั้งภาพวาดและผู้พิพากษาทั้งห้าคน) ก่อนค่อยๆซูมเข้า (Zoom In) หาหัวหน้าผู้พิพากษาคนกลาง แต่เคลือบแฝงนัยยะเดียวกันถึงกฎหมายศีลธรรม อ้างอิงจากความเชื่อ ศาสนา สิ่งเคยยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา หาได้เที่ยงตรง เที่ยงธรรม ยึดหลักการเสมอภาคเท่าเทียม

เกร็ด: ภาพวาดนี้คือ Justice and Divine Vengeance Pursuing Crime (1804-08) โดยจิตรกรฝรั่งเศส Pierre-Paul Prud’hon (1758-1823) เคยจัดแสดงอยู่ยัง Criminal Tribunal Hall ณ Palais de Justice, Paria (ปัจจุบันย้ายมาเก็บที่พิพิธภัณฑ์ Louvre)

หลังการตัดสินของศาล ลงโทษประหารชีวิตด้วยกิโยติน Marie ถูกแยกขังเดี่ยว พอหลงเหลือตัวคนเดียว พบเห็นการแสดงระดับ Masterclass ของ Huppert น้ำมูกน้ำตาไหลหลั่ง ร่างกายสั่นสะท้อน พยายามตะเกียกตะกาย โหยหาแสงสว่าง ต้องการออกไปจากสถานที่แห่ง

เมื่อตอน Violette Nozière (1978) หลังศาลตัดสินประณาม Violette เธอทำสร้อยคอหล่นหาย แล้วกล่าวประณามผู้พิพากษาทั้งหลาย “You disgust me.” แต่คราวนี้ Marie ได้รับสร้อยคอ First Communion (มอบให้กับคนที่เพิ่งรับศีลมหาสนิทครั้งแรก) มือสั่นๆระหว่างสวมใส่ ก่อนพูดคำสาปแช่ง “Hail Mary, full of shit. Rotten is the fruit of your womb.”

คำรำพันสิ้นหวังของทนายความ กล่าวตำหนิต่อว่าฝรั่งเศสกลายเป็นขี้ไก่ (สัตว์สัญญะของฝรั่งเศสคือไก่ตัวผู้, Rooster) กล้องเคลื่อนเลื่อนไปถ่ายทิวทัศน์ด้านหลัง ฟากฝั่งตรงข้ามบ่อน้ำ พบเห็นเด็กๆกำลังวิ่งเล่นสนุกสนาน สามารถสื่อถึงความสิ้นหวังในปัจจุบันย่อมส่งผลถึงลูกหลาน อนาคต คนรุ่นถัดไป ต้องอับอายขายขี้หน้าต่อรัฐบาล Vichy France และคำตัดสินดังกล่าว

ข้อความประโยคสุดท้ายนี้ช่างแปลกประหลาด เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับใจความหนังเลยสักนิด! แทนที่กล่าวถึงกฎหมายการทำแท้ง ต่อต้านสงคราม หรือโทษประหารอย่างไม่เป็นธรรม กลับเรียกร้องขอให้ผู้ชมสงสารเห็นใจทายาทผู้ถูกประณาม มันไม่ใช่ว่าปีที่หนังออกฉาย ลูกๆของ Marie ล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่หมดแล้วฤา?

แต่ถ้าเรามองหนังผ่านสายตาเด็กชาย (ที่ถือเป็นตัวตายตัวแทนผกก. Chabrol) รวมถึงเสียงบรรยายชายวัยกลางคนที่ดังขึ้นบ่อยครั้ง (คืออนาคตของเด็กชายเมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่) ภาพยนตร์เรื่องนี้ราวกับความทรงจำ หวนระลึกความหลัง พรรณาความทุกข์ทรมานของเด็กวัย 7 ขวบ เติบโตหลังสูญเสียมารดาจากการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม … ผกก. Chabrol น่าจะไม่ได้สูญเสียใครระหว่างสงครามโลก แต่คงต้องการนำเสนอมุมมองเพื่อสร้างความรู้สึกสงสารเห็นใจมากกว่า

ตัดต่อโดย Monique Fardoulis ร่วมงานผู้กำกับ Claude Chabrol ตั้งแต่ Alice or The Last Escapade (1977), Une affaire de femmes (1988), Madame Bovary (1991), Betty (1992), L’enfer (1994), La Cérémonie (1995) ฯ

หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของ Marie (ในสายตายของบุตรชาย Pierrot) ตั้งแต่สามีถูกส่งไปค่ายกักกันนาซี ทำให้ต้องต่อสู้ดิ้นรน หาหนทางเอาตัวรอด จับพลัดจับพลูบังเอิญทำแท้งสำเร็จ ค้นพบความเป็นเอกเทศ เก็บสะสมเงินทอง เพื่อใช้ชีวิตอย่างอิสรภาพ กระทำสิ่งตอบสนองความเพ้อใฝ่ฝัน

  • เรื่องราวของ Marie
    • อาศัยอยู่กับบุตรสองคน ค่ำคืนหลังส่งเข้านอน ออกไปเริงระบำ หาความสุขสำราญกับเพื่อนสาว
    • ให้ความช่วยเหลือเพื่อนห้องข้างๆทำแท้งเถื่อน
    • เมื่อสามี Paul กลับมาบ้าน ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ถูกภรรยาปฏิเสธร่วมเพศสัมพันธ์ (เพราะกลัวตั้งครรภ์ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะแก่การมีบุตร)
    • เพื่อนห้องข้างๆแท้งลูกสำเร็จ เลยนำเครื่องเล่นแผ่นเสียงมามอบให้
  • เริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
    • Marie เข้าตีสนิทโสเภณี Lulu/Lucie แอบกระซิบบอกว่าตนเองสามารถทำแท้งเถื่อน
    • Marie และครอบครัวย้ายเข้าอพาร์ทเม้นท์หลังใหม่
    • มีหญิงสาวมาติดต่อทำแท้งเถื่อน ขอให้จ่ายเงินล่วงหน้า
    • Marie นำเงินนั้นไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อหาความสุขสบาย
    • Marie ตัดสินใจเปิดห้องให้เช่าสำหรับโสเภณีขายบริการ
    • Marie ปฏิเสธร่วมรักสามี แต่เธอกลับตกหลุมรักชายหนุ่มรูปงาม Lucien
  • อิสรภาพแลกมากับหายนะ
    • Marie นอกใจสามี หลับนอนกับ Lucien
    • ลูกค้าคนหนึ่งของ Marie เสียชีวิตระหว่างตกเลือด
    • Marie ว่าจ้างผู้ช่วยให้การทำแท้ง ส่วนตนเองระริกระรี้กับ Lucien พบเห็นโดยสามี Paul
    • Paul เขียนจดหมายถึงทางการ ระหว่าง Marie เดินทางไปร่ำเรียนร้องเพลง
    • Marie ถูกตำรวจล้อมจับกุม
  • คำตัดสินประหารชีวิต
    • แม้ทนายความเชื่อมั่นว่าเธอน่าจะรอดพ้นผิด
    • แต่ทว่าผู้พิพากษากลับตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน

หลายๆครั้งได้ยินเสียงบรรยาย ‘God Voice’ คาดว่าคือบุตรชายตอนโต (เพราะมักดังขึ้นระหว่างเด็กชายกำลังแอบถ้ำมองมารดา) เคลือบแฝงอคติ สำแดงความไม่พึงพอใจ นั่นคือลักษณะของการครอบงำ สำแดงทัศนคติของบุรุษที่ไม่ต้องการให้สตรีมีสิทธิ์เสียง ได้รับเสรีภาพ


ในส่วนของเพลงประกอบ ดั้งเดิมนั้นผกก. Chabrol มักเลือกใช้บริการเพื่อนสนิท/ขาประจำ Pierre Jansen แต่บุตรชาย Matthieu Chabrol (เกิดปี ค.ศ. 1958) ของภรรยา Agnès Goute มีความสนใจด้านดนตรี เคยร่ำเรียนการแต่งเพลงกับ Jansen เลยกลายมาเป็นตัวตายตัวแทน เริ่มทำเพลงประกอบภาพยนตร์กับบิดาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979

งานเพลงของ Matthieu ในภาพยนตร์ Une affaire de femmes (1988) แทบไม่มีความโดดเด่น กลมกลืนเข้ากับพื้นหลัง คอยสอดแทรกเข้าในช่วงเวลาที่ต้องการสัมผัสทางอารมณ์ แต่ส่วนใหญ่คือ ‘diegetic music’ ได้ยินจากเครื่องเล่น แหล่งกำเนิดเสียง ขับร้อง-บรรเลงเปียโน คละคลุ้งบรรยากาศทศวรรษ 40s น่าจดจำกว่าเสียอีก!

  • อุปรากรที่ Marie ขับร้องคือ Poème de l’amour et de la mer, Op. 19 (1882-92) แปลว่า Poem of Love and the Sea แต่งโดย Ernest Chausson (1855-99) คีตกวีสัญชาติฝรั่งเศส แห่งยุคสมัย Romantic ซึ่งมีอยู่สองท่อนคั่นด้วย Interlude (รวมแล้วก็คือสามท่อนนะแหละ) ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า Isabelle Huppert ข้บร้องเองเลยหรือเปล่า
    • La Fleur des eaux แปลว่า The Flower of the Waters
    • Interlude (ไม่มีคำร้อง)
    • La Mort de l’amour แปลว่า The Death of Love
  • บทเพลงที่ Marie เปิดฟังจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง La chanson du maçon (1941) แปลว่า The Mason’s Song แต่งโดย Henri Betti, คำร้องโดย Maurice Chevalier & Maurice Vandair, ขับร้องโดย Maurice Chevalier

แม้ฝรั่งเศสจะผ่านกฎหมาย La Loi Veil (The Veil Act) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ถ้ามีเหตุผลอันสมควร (ถูกข่มขืน, ร่างกายไม่พร้อม, ได้รับการยินยอมจากครอบครัว คู่สมรส ฯ) แต่จนถึงปัจจุบันมันยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไหว ไม่ใช่ทุกคนจะให้การยินยอมรับ ขัดต่อหลักศาสนา และสามัญสำนึกของมนุษย์

ความสนใจของผกก. Chabrol ต่อเรื่องราวของ Marie-Louise Giraud ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการทำแท้งว่ามีความถูก-ผิด กฎหมาย-ศีลธรรม แต่พุ่งเป้าไปที่การวิพากย์วิจารณ์สังคม การเมือง ศาสนา ในยุคสมัยบุรุษเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หลงระเริงในอำนาจนิยม กดขี่ข่มเหงสตรีเพศ ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อไม่ให้พวกเธอได้รับสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาคเท่าเทียม

ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสถูกยึดครองโดยนาซีเยอรมัน ก่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด Vichy France เพื่อควบคุมครอบงำ บังคับใช้กฎหมายคุณธรรม ตัดสินโทษด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เพื่อเป็นต้นแบบอย่างแก่ประชาชน ก้มหัวศิโรราบ ยินยอมรับความพ่ายแพ้โดยดี … มันช่างไม่แตกต่างจาก(ฝรั่งเศส)ถูก(เยอรมัน)ข่มขืนกระทำชำเรา!

การที่บุรุษต้องเดินทางไปสนามรบ นั่นคือช่วงเวลาที่สตรีเพศได้ลิ้มรสอิสรภาพ พวกเธอต้องต่อสู้ดิ้นรน ทำทุกสิ่งอย่างด้วยตนเอง เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย และเมื่อพวกเขากลับจากสงคราม ส่วนใหญ่ล้วนล้มป่วย “Shell Shock” แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากายใจ ทำให้ไม่สามารถพึ่งพักพิง นั่นคือจุดที่ผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักในครอบครัว … สงครามคือช่วงเวลาที่บุรุษมีความอ่อนแอ(ทางจิตใจ) สวนทางกลับสตรีต้องเข้มแข็งอดทนเพื่อเอาตัวรอดปลอดภัย

The Fall of France is a fall of French masculinity, literally embodied in the maimed figure of Paul Latour. Absent in the film’s early scenes, Paul is not introduced as a vigorous human being but by belongings dumped on the kitchen table on his return. The man himself is fast asleep in bed, rigid as a corpse, his hands on his waistband as if he has just finished masturbating. His wife Marie refuses to sleep with him, ostensibly because household drudgery has corroded her desire. The scene, however, in which she protests while cleaning Paul’s shit-stained underpants – for her the physical evidence of his cowardice – shows that the source of her disgust is the sense of his personal (and by extension national).

Darragh O’Donoghue บทความจาก Sense of Cinema

ธรรมชาติสร้างบุรุษให้มีพละกำลัง สำหรับใช้ในการปกป้อง ครอบครอง คัดเลือกสายพันธุ์ แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์พลิกกลับตารปัตร หญิงสาว/ภรรยามีอำนาจ เงินทอง กลายเป็นเสาหลักครอบครัว ย่อมสร้างความห่อเหี่ยว สิ้นหวัง ไม่อยากยินยอมรับสภาพเป็นจริง เมื่อถึงจุดๆหนึ่งจึงพยายามทวงคืนอำนาจ อ้างความถูกต้องชอบธรรมตามวิถีสังคม กฎหมายบ้านเมือง และหลักคำสอนทางศาสนา … เหตุผลที่ Paul ทรยศหักหลัง Marie คือส่วนผสมความอิจฉาริษยา การสูญเสียอำนาจความเป็นชาย รวมถึงข้ออ้างทางศีลธรรม

Une affaire de femmes แปลว่า A Women’s Affair ส่วนใหญ่จะแปล Affair หมายถึงธุระ ธุรกิจ เรื่องราว (Story of Women) แต่มันยังสามารถหมายถึงความรัก การคบชู้นอกใจ (have an affair) สอดคล้องเข้ากับหญิงสาวโหยหาอิสรภาพ ต้องการทำสิ่งโน่นนี่นั่น แต่มันกลับไม่ต่างจากคบชู้นอกใจสามี (มีความหมายทั้งรูปธรรม-นามธรรม) เลยถูกทรยศหักหลัง ได้รับการตัดสินโทษทัณฑ์

สำหรับผกก. Chabrol เทียบแทนตัวเองคือเด็กชาย Pierrot เพราะเป็นลูกคนโตเลยถูกคาดหวัง ต้องเข้มแข็ง ต้องพึ่งพาได้ ต้องเป็นลูกผู้ชาย ครุ่นคิดว่ามารดาไม่รัก (เธอเคยพยายามทำแท้งตอนอายุครรภ์สามเดือน) เลยเต็มไปด้วยอคติต่อต้าน พอต้องเหินห่างในช่วงสงคราม (ถูกส่งไปอาศัยอยู่บ้านย่าที่ Sardent) เลยตระหนักถึงช่องว่าง สุญญากาศในจิตใจ … ช่วงสงครามไม่มีสมาชิกในครอบครัวผกก. Chabrol เสียชีวิต แต่เขาก็ได้รับบทเรียนไม่ต่างจาก Pierrot ตอนจบจึงพยายามให้ข้อคิด “โปรดจงสงสารเห็นใจทายาทผู้ถูกประณาม”

ความสำคัญเหนือกาลเวลาของ Une affaire de femmes (1988) ไม่ใช่แค่ประเด็นการทำแท้งที่ยังถูกโต้ถกเถียงถึงความถูกต้องเหมาะสม, ผมมองว่าหนังยังทำการเกริ่นนำยุคสมัยที่เป็นจุดเริ่มต้น สาเหตุผล วิวัฒนาการก่อนกาลมาถึงของยุคสมัยสตรีนิยม (Feminist)


เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนัง Venice เสียงตอบรับถือว่าดียอดเยี่ยม ถือเป็นปีสายแข็งเพราะมีภาพยนตร์ดังๆอย่าง The Legend of the Holy Drinker (1988), Landscape in the Mist (1988), The Camp at Thiaroye (1988), Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ฯ แต่ยังสามารถคว้ามาถึง 3 รางวัล!

  • Volpi Cup for Best Actress (Isabelle Huppert)
    • เคียงคู่กับ Shirley MacLaine ภาพยนตร์ Madame Sousatzka (1988)
  • Filmcritica “Bastone Bianco” Award – Special Mention
  • Golden Ciak: Best Film

เมื่อเข้าฉายในฝรั่งเศสได้รับกระแสลบอย่างรุนแรงจากชาวคริสเตียน มีการกล่าวประณาม (Condamn) ชุมนุมประท้วง ใช้ความรุนแรงในย่าน Montparnasse เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายรับมากนัก ยอดจำหน่ายตั๋ว(ในฝรั่งเศส)สูงถึง 977,594 ใบ ตัวเลขเกือบล้านไม่มีทางขาดทุนอย่างแน่นอน! ช่วงปลายได้เข้าชิง César Awards จำนวนสามสาขา น่าเสียดายไม่มีลุ้นรางวัลใดๆ

  • Best Director
  • Best Actress (Isabelle Huppert)
  • Best Supporting Actress (Marie Trintignant)

นอกจากนี้หนังยังได้เข้าชิง Golden Globe Award: Best Foreign Language Film (พ่ายให้กับ Cinema Paradiso (1988)) แต่กลับไม่ได้เป็นตัวแทนฝรั่งเศสลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film เพราะคณะกรรมการปีนั้นตัดสินใจเลือก Camille Claudel (1988) (ที่ก็เข้าชิง Golden Globe Award ปีเดียวกัน)

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ คุณภาพ 4K โดยสถาบัน Centre national du cinéma et de l’image animée (CNC) เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2021 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray ของค่าย Carlotta Films

ผมมีความเพลิดเพลินในการรับชม Une affaire de femmes (1988) มากมากกว่า Violette Nozière (1978) มันอาจเพราะผกก. Chabrol เริ่มมีประสบการณ์กับหนังย้อนยุค จึงสามารถเรียนรู้ ปรับตัว ค้นพบวิธีนำเสนอที่ไหลลื่น ขณะที่การแสดงของ Isabelle Huppert ก็ดูผ่อนคลายกว่า ท่าทางพริ้วไหว ใบหน้าเริดเชิด นั่นคือภาพจำอันคุ้นเคย และไฮไลท์ค่ำคืนก่อนถูกประหาร หนึ่งในฉากทรงพลังการแสดงที่สุดในอาชีพการงาน!

จัดเรต 18+ บรรยากาศสงคราม ผู้หญิงขายบริการ รับจ้างทำแท้ง

คำโปรย | Une affaire de femmes เรื่องราวของ Isabelle Huppert ที่สร้างความสั่นสะเทือนอวัยวะเพศบุรุษ
คุณภาพ | สั่ทื
ส่วนตัว | ห่อเหี่ยว

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: