Walk the Line (2005) : James Mangold ♥♥♥♡
แค่คำพูดประโยคเดียวของพ่อ ทำให้ชีวิตของนักดนตรีคันทรี่ Johnny Cash ราวกับเดินอยู่บนเส้นด้าย (Walk the Line) รายล้อมด้วงกงจักรไฟ (Ring of Fire) ทอดทิ้งภรรยาและลูก เกี้ยวพาหญิงสาวแต่งงานอยู่แล้ว เสพยาก่อนขึ้นแสดงคอนเสิร์ต นี่ถ้าไม่เพราะเธอฉุดเขาขึ้นจากขุมนรก คงไม่มีวันพานพบหนทางแห่งความหวัง
เมื่อตอนที่หนังออกฉาย ผมกลายเป็นแฟนคลับ Johnny Cash คลั่งไคล้บทเพลงคันทรี่อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับฟังสักเท่าไหร่ เลยหาจังหวะหวนกลับมารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง … คือก็ยังชอบเพลงอยู่ แต่รู้สึกว่าอะไรๆดูจะสูตรสำเร็จไปเสียหน่อย
ภาพยนตร์แนวชีวประวัติศิลปิน นักดนตรี จะมีสูตรสำเร็จที่คล้ายๆคลึงกัน เริ่มต้นนำเสนอปมปัญหา ความเพ้อใฝ่ฝัน อิทธิพลแรงบันดาลใจ จากนั้นค่อยๆเรียนรู้ เติบโต ค้นพบหนทาง เมื่อถึงจุดๆหนึ่งประสบความสำเร็จ ได้รับการยินยอมรับ ชื่อเสียงโด่งดัง เงินทองไหลมาเทมา จากนั้นชีวิตก็เริ่มไถลลงข้างทาง เลิกราคนรัก แต่งงานแฟนใหม่ หรือไม่ก็ติดยา ถ้ายังสามารถเอารอดชีวิต ก็ราวกับได้รับโอกาสสองเริ่มต้นใหม่
Walk the Line ถือว่าเข้าสูตรสำเร็จดังที่ผมกล่าวมาแทบจะเปะๆเลยนะ แต่ภาพยนตร์แนวนี้ที่ยังขายได้อยู่เรื่อยๆ สาเหตุเพราะศิลปินและผลงาน คือสิ่งผู้ชมอยากรับรู้เห็น จุดเริ่มต้นที่มาที่ไป อิทธิพลแรงบันดาลใจ ก่อนกลายมาเป็นบทเพลงฮิตที่โปรดปราน
ซึ่งไฮไลท์ของ Walk the Line คือการแสดงของ Joaquin Phoenix และ Reese Witherspoon ไม่เพียงเคมีเข้าขา สวมวิญญาณกลายร่างเป็นตัวละคร แต่ยังน้ำเสียงขับร้องเพลง สามารถเชื่อสนิทใจว่าเป็น Johnny Cash และ June Carter ตัวจริงๆ
Johnny Cash ชื่อเกิด J.R. Cash (1932 – 2003) นักร้อง นักกีตาร์ แต่งเพลง หนึ่งในนักดนตรีทรงอิทธิพลมากสุดในศตวรรษที่ 20 สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Kingsland, Arkansas บุตรคนที่ 4 จาก 7 ตั้งแต่เด็กมีความสนใจในเพลง Gospel Music เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 12 เสียงร้องช่วงแรกคือ High-Tenor พอโตขึ้นพัฒนาเป็น Bass-Bariton, โตขึ้นสมัครทหารอาหาร ได้ไปประจำการ U.S. Air Force Security Service ที่ Landsberg, Germany ฝ่าย Morse Code Operator เพื่อดักฟังการส่งสัญญาณของกองทัพสหภาพโซเวียต ที่นั่นเองรวบรวมพรรคเพื่อนตั้งวงดนตรีแรก The Landsberg Barbarians
หลังกลับมาสหรัฐอเมริกา แต่งงานภรรยาคนแรก Vivian Liberto ย้ายไปอยู่ Memphis, Tennessee ทำงานเป็นเซลล์แมนขายของ ตอนกลางคืนเล่นดนตรีร่วมกับ Luther Perkins และ Marshall Grant (ให้เครดิต Tennessee Two) จนกระทั่งวันหนึ่งไปออดิชั่นกับ Sam Philips ยัง Sun Records ตอนแรกเล่นเพลง Gospel Music แต่ก็ถูกตีกลับเลยขับร้องเพลง Hey Porter, Cry! Cry! Cry! เลยได้เซ็นสัญญาออกอัลบัมแรกโดยทันที
เอกลักษณ์ของ Cash มักแต่งกายสีเข้ม ลำลองสีดำจนได้รับฉายา ‘Man in Black’ โดยขณะเริ่มต้นคอนเสิร์ตจะแนะนำตนเองว่า ‘Hello, I’m Johnny Cash’ บทเพลงดังๆ อาทิ I Walk the Line, Folsom Prison Blues, Ring of Fire, Get Rhythm, Man in Black ฯ
ขณะที่เหตุการณ์ทำให้เขากลายเป็นตำนาน คือการแสดงคอนเสิร์ตในคุก วันที่ 1 มกราคม 1958 ที่ San Quentin State Prison ก่อนมาทำเป็นอัลบัม Johnny Cash at Folsom Prison (1968), Johnny Cash at San Quentin (1969) ติดอันดับหนึ่ง Billboard Country Album ยอดขายกว่า 6.5 ล้านอัลบัม
จุดเริ่มต้นภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องไล่ย้อนไปตั้งแต่ปี 1993 เมื่อ Johnny Cash ได้เป็นดารารับเชิญดราม่าซีรีย์เรื่อง Dr. Quinn, Medicine Woman (1993-98) ทำให้รู้จักกับ Jane Seymour และสามีของเธอ Jame Keach ซึ่งเป็นผู้กำกับตอนนั้น เลยถูกทาบทาบให้สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของตนเอง
Keach ร่วมงานกับนักเขียน Gill Dennis พัฒนาบทภาพยนตร์ชีวประวัติ Johnny Cash โดยการนัดสัมภาษณ์พูดคุย แล้วใช้เวลาสองปีเต็มในการสรรหาสตูดิโอ แต่ไม่มีใครไหนให้ความสนใจ เลยส่งไม้ต่อให้ James Mangold ที่แสดงความสนใจ ซึ่งก็ใช้เวลาอีกหลายปีเต็มกว่าจะสรรหาได้ Fox 2000 ออกทุนสร้างให้เมื่อปี 2001
James Mangold (เกิดปี 1963) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City แม่มีเชื้อสาย Jews โตขึ้นเข้าเรียนสาขาภาพยนตร์ California Institute of the Arts ลูกศิษย์ของ Alexander Mackendrick ซึ่งก็ได้แนะนำให้เรียนการแสดงต่อที่ CalArts School of Theater เพื่อจะได้มีความรู้เข้าใจนักแสดงมากขึ้น, หลังเรียนจบได้งานเขียนบท Oliver and Company (1988), เรียนต่อปริญญาโท Columbia University ภายใต้อาจารย์ Miloš Forman กำกับภาพยนตร์อินดี้เรื่องแรก Heavy (1995), Cop Land (1997), Girl, Interrupted (1999), Kate & Leopold (2001) ฯ
สำหรับ Walk the Line ได้แรงบันดาลใจจากหนังสืออัตชีวประวัติ Johnny Cash สองเล่ม
– Man in Black: His Own Story in His Own Words (1975)
– Cash: The Autobiography (1997)
เรื่องราวเริ่มต้นที่ Folsom State Prison เมื่อ Johnny Cash (รับบทโดย Joaquin Phoenix) กำลังจะขึ้นแสดงคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ ทำให้เขาหวนระลึกนึกย้อนถึงอดีต
– ปี 1944, เด็กชาย J.R. เติบโตขึ้นที่ Dyess, Arkansas พานพบเห็นพี่ชาย Jack ต้องการเป็นบาทหลวงแต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เลยถูกพ่อตำหนิต่อว่าเขาคือตัวการผู้ชั่วร้าย
– ปี 1950, สมัครทหารอากาศ เดินทางไปประจำการยัง West Germany ซื้อกีตาร์ เขียนจดหมายหาสาว และแต่งบทเพลง Folsom Prison Blues
– หลังปลดประจำการแต่งงานกับ Vivian Liberto (รับบทโดย Ginnifer Goodwin) ย้ายมาอยู่ Memphis, Tennessee ทำงานเป็นเซลล์แมน จนกระทั่งได้ออกอัลบัมเพลง
– ช่วงระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ต พานพบเจอ June Carter (รับบทโดย Reese Witherspoon) ตกหลุมรักแรกพบทั้งๆรู้ว่าเธอมีสามีอยู่แล้ว เฝ้ารอคอยโอกาสที่เธอหย่าร้าง พยายามเข้าหาแต่ถูกบอกปัด นั่นเองทำให้เขาเริ่มติดเหล้า ใช้ยา
– ต่อมามีโอกาสออกทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันยัง Las Vegas ในที่สุดสามารถเกี้ยวพาราสี ร่วมรักหลับนอนได้สำเร็จ แต่เช้าวันถัดมาเมื่อเธอพบเห็นเขาเสพติดยา เลยพยายามปฏิเสธขัดขืน ไม่ยินยอมรับ ทำให้ค่ำคืนนั้นทุกอย่างสร้างมาพลันล่มสลายลง ถูกตำรวจจับกุมเพราะครอบครองยาเสพติด หวนกลับไปบ้านยังถูกภรรยาเลิกราทอดทิ้ง
– จุดตกต่ำสุดในชีวิตของ Cash แต่เงินยังเหลือจึงซื้อบ้านติดทะเลสาปที่ Hendersonville และได้รับความช่วยเหลือจาก June Carter จนสามารถเลิกเสพติดยา หวนกลับมาออกอัลบัม แสดงคอนเสิร์ตในคุก และที่สุดคือขอเธอแต่งงานบทเวที
เกร็ด: ทั้ง Cash และ Carter มีโอกาสพบเจอและอนุญาตให้ Phoenix และ Witherspoon รับบทบาทตนเอง แต่พวกเขาทั้งสองต่างเสียชีวิตไปเมื่อปี 2003 ไม่ทันมีโอกาสรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้
Joaquín Rafael Phoenix ชื่อเดิม Leaf Phoenix (เกิดปี 1974) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Juan, Puerto Rico เป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 5 คน (พี่น้องเขาชื่อ River, Rain, Liberty, Summer) กลับมาเติบโตอาศัยอยู่ที่ Los Angeles เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงเด็ก มีผลงานโฆษณา ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์เรื่องแรก SpaceCamp (1986) ตามด้วย To Die For (1995), U Turn (1997), 8mm (1999) มีชื่อเสียงโด่งดังจากการรับบท Emperor Commodus เรื่อง Gladiator (2000), Signs (2002), Walk the Line (2005), The Master (2012), Her (2013) ฯ
รับบท Johnny Cash ชายผู้มีความทึ่มๆ ซื่อๆ เวลาต้องการอะไรก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อมลีลา แม้แต่เวลาเล่นกีตาร์ยังตัวเกร็งๆ น้ำเสียงร้องเพลงมีความดุดัน พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเหมือนรถไฟ ขณะที่เนื้อคำร้องเฉียบคมคายดั่งใบมีดโกนหนวด
สิ่งน่าทึ่งมากๆสำหรับ Phoenix ไม่ใช่แค่การเลียนเสียงร้องเพลงเหมือนเปะ แต่คือความซื่อตรงไปตรงมา ทุ่มเทให้กับทุกสิ่งอย่างต่อหน้า จนมิอาจปกปิดบังอะไรๆต่อใครได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะการเกี้ยวพาราสี June Carter ไม่รู้จักพิธีรีตอง ความถูกต้องเหมาะสมควร แค่เสียงเพรียกเรียกร้องของหัวใจ เมื่อไหร่เธอจะยินยอมตอบตกลงฉันเสียที!
เกร็ด: Phoenix และ Witherspoon เข้าเรียนร้องเพลงเป็นเวลาถึง 6 เดือนเต็ม เพื่อตระเตรียมเสียงร้องใช้ในการแสดง
เอาจริงๆผมว่าน้ำเสียงร้องของ Phoenix ไม่ได้ใกล้เคียง Johnny Cash สักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ลีลา ลูกเล่น/ลูกคอ ถือว่าคัทลอกเลียนแบบมาเหมือนเปะ นั่นทำให้ผู้ชมเมื่อได้ฟังเกินมโนภาพขึ้นมาเอง ครุ่นคิดไปว่าคือต้นฉบับ … ฟังเทียบกันสักพักก็จะแยกแยะออกได้นะครับ
Laura Jeanne Reese Witherspoon (เกิดปี 1976) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New Orleans, Louisiana, ในครอบครัว Episcopalian วัยเด็กเรียนเก่ง ชื่นชอบอ่านหนังสือ ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ โตขึ้นเข้าเรียนสาขาวรรณกรรมภาษาอังกฤษ Standford University ไม่ทันจบได้รับคัดเลือกแสดง The Man in the Moon (1991), ตามมาด้วย Freeway (1996), Pleasantville (1998), ได้รับคำชมล้นหลาามกับ Election (1999), โด่งดังระดับนานาชาติ Legally Blonde (2001), และคว้า Oscar: Best Actress เรื่อง Walk the Line (2005)
รับบท June Carter นักร้องสาวที่แม้ความสามารถด้านร้องเพลง/เล่นดนตรีไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่บุคคลิกนิสัยขี้เล่นซุกซน สร้างความสนใจให้ผู้ชมและ Johnny Cash เป็นอย่างมาก ทั้งๆตัวตนแท้จริงของเธอก็หาใช่คนแบบนั้น จู้จี้จุกจิก มากด้วยจริต ต้องการแต่งงานกับคนที่ตนเองได้ผลประโยชน์สุขสบาย … แต่สุดท้ายก็มิอาจหักห้ามยอมใจ เพราะเขาคือคู่แท้ เกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน
จริตของ Witherspoon ไม่เพียงสร้างสีสันให้ตัวละคร แต่ยังแต่งเติมโลกทั้งใบของ Johnny Cash ให้มีความสวยสดใส ร้องเข้าคู่กันอย่างคู่รัก อินเลิฟ แม้ภายนอกจะพยายามปฏิเสธต่อต้าน แต่ตัวตนข้างในชัดเจนว่ามันต้องมีเยื่อใยบางอย่าง
เกร็ด: วัยเด็กของ Witherspoon เป็นแฟนตัวยงของ Dolly Parton ซึ่งสุนทรพจน์ของเธอขณะขึ้นรับรางวัล Oscar พูดขอบคุณโปรดิวเซอร์ T Bone Burnett
“helping me realize my childhood dream of being a country music singer”.
– Reese Witherspoon
ถ่ายภาพโดย Phedon Papamichael สัญชาติกรีก ผลงานเด่นๆ อาทิ Sideways (2004), Walk the Line (2005), The Ides of March (2011), Nebraska (2013) ฯ
จุดเด่นของงานภาพคือการเลือกใช้โทนสีสัน หลักๆคือน้ำตาล ให้สัมผัสยุคสมัย 50s ซึ่งจะทำให้เสื้อผ้าหน้าผมตัวละครมีความโดดเด่นชัดขึ้นมา โดยเฉพาะชุดของ June Carter สะดุดตา Johnny Cash เป็นพิเศษ
เชื่อว่าหลายคนอาจไม่ทันครุ่นคิด ทำไม Johnny Cash ถึงจับจ้องมองเครื่องตัดไม้ที่อยู่ในคุก? เพราะเจ้าสิ่งนี้ได้คร่าชีวิตพี่ชาย Jack ทำให้เขาต้องเดินบนเส้นด้ายตลอดเวลา (มันจะมีช็อตที่ผู้คุมเดินเลียบกรงขัง นั่นสื่อแทนชื่อหนัง Walk the Line ได้เหมือนกันนะ)
ครั้งแรกที่ Cash พานพบเห็น June Carter เธอสวมใส่เดรสสีแดง ยืนอยู่หลังผ้าม่านสีแดง (สีสัญลักษณ์แห่งความลุ่มหลงใหล ราคะ เร่าร้อนรน) กอดจูบกับสามีคนแรกที่กำลังใกล้หย่าร้างรา
ซึ่งวินาทีแรกพานพบเจอกัน ก็ไม่รู้อีท่าไหร่ สายกีตาร์พันเข้ากับชุดของเธอ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์พวกเขา เชื่อมโยงกันก็เพราะดนตรี การแสดงคอนเสิร์ตนี่แหละ
ในฉากคอนเสิร์ต พบเห็นบ่อยครั้งพบเห็นมุมกล้องท่ามกลางผู้ชม ซึ่งเหมือนจะใช้กล้อง Hand-Held ดูสั่นๆ เคลื่อนขยับไปมา เพิ่มความตื่นเต้น สนุกสนาน รุกเร้าใจ
ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นๆจะมีการเล่นมุมกล้อง ผู้ชมอยู่ในเงามืด จะได้ไม่สิ้นเปลืองค่าจ้างตัวประกอบ, แต่ Walk the Line มีจุดประสงค์อื่นเคลือบแอบแฝงอยู่ด้วย เพื่อสร้างบรรยากาศกดดันจริงๆให้กับนักแสดงบนเวที
แซว: สีหน้าเกร็งๆของ Phoenix ตอนขึ้นแสดงครั้งแรกๆ นี่น่าจะของจริงเลยละ
เพราะความต้องการตกปลา ทำให้ Johnny Cash สูญเสียพี่ชายไป(เมื่อครั้นวัยเด็ก) นั่นทำให้เมื่อเขาเติบโตขึ้น จึงแทบไม่เคยตกปลาที่ไหนอีกเลย จนกระทั่งได้รับคำชักชวนจาก June Carter
ภาพช็อตนี้พยายามแบ่งแยกทั้งสองออกจากกัน (ด้วยต้นไม้) แต่เพราะ Cash ตกปลาไม่เป็น เธอจึงต้องข้ามฝั่งมาให้ความช่วยเหลือ … นี่สะท้อนเหตุการณ์ต่อเขาขับแทรกเตอร์ตกน้ำ ติดยาอาการหนัก ถ้าไม่เพราะ Carter ตำนานคงได้ดับสิ้นสูญไปตั้งแต่กาลครั้งนั้น
นี่ไม่ใช่เทพนิยาย/เรื่องแต่งในภาพยนตร์ แต่คือ Johnny Cash ขอแต่งงาน June Carter บนเวทีจริงๆนะครับ เหตุการณ์เกิดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ 1968 ณ London Ice House ระหว่างขับร้องบทเพลง Jackson ซึ่งเธอตอบตกลง และพวกเขาเข้าพิธีสมรสสัปดาห์ถัดจากนั้น
ตัดต่อโดย Michael McCusker ขาประจำผู้กำกับ Mangold ผลงานเด่นๆ Walk the Line (2005), Australia (2008), The Amazing Spider-Man (2012), The Wolverine (2013) ฯ
หนังใช้การเล่าเรื่องย้อนอดีตจากความทรงจำ/มุมมองสายตาของ Johnny Cash โดยเริ่มจากการแสดงที่คุก Folsom State Prison แล้วไล่ย้อนช่วงวัยเด็ก เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ออกอัลบัมแรก ติดยา และหวนกลับมาถึงปัจจุบัน ดำเนินไปข้างหน้าอีกนิดเพื่อขอแต่งงานกับ June Carter
ความโดดเด่นในการตัดต่อ ต้องยกให้ฉากการแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งจะมีการร้อยเรียงภาพจากบนเวที ด้านหน้า-ด้านหลัง มุมมองนักร้อง ผู้ชม ตัดสลับไปมาด้วยความรวดเร็วฉับไว สร้างความตื่นเต้นเร้าใจตามท่วงทำนองบทเพลงนั้นๆ
ฉากการตัดต่อที่ผมชื่นชอบสุด คือคอนเสิร์ตครั้งแรกของ Cash สีหน้าเต็มไปด้วยความเกร็งๆ กดดัน เลยแนะนำตัวไปแบบเชยๆ แต่พอดนตรีเริ่มบรรเลง ผู้ชมลุกขึ้นปรบมือโยกเต้น อะไรๆช่างดูดีประสบความสำเร็จไปเสียที
เพลงประกอบโดย T Bone Burnett นักร้อง นักกีตาร์ แต่งเพลง สัญชาติอเมริกัน มีชื่อเสียงโด่งดังจากเป็นมือกีตาร์ให้ Bob Dylan ตามด้วยภาพยนตร์ O Brother, Where Art Thou? (2000) Cold Mountain (2004), Walk the Line (2006), Crazy Heart (2010) ฯ
นอกจากการเรียงเรียง บันทึกเสียงใหม่โดย Joaquin Phoenix และ Reese Witherspoon หนังไม่ได้มีแค่บทเพลงของ Johnny Cash นะครับ อาทิ
– It Ain’t Me Babe แต่งโดย Bob Dylan
– Wildwood Flower แต่งโดย A.P. Carter
– I’m a Long Way from Home แต่งโดย Hank Cochran ต้นฉบับขับร้องโดย Waylon Jennings
ฯลฯ
I Walk the Line (1956) บทเพลงแรกของ Johnny Cash ติดอันดับ 1 ชาร์ท US Hot Country Songs ยอดขายเกินกว่า 2 ล้านก็อปปี้ เห็นว่าแต่งขึ้นด้วยระยะเวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้น!
“I wrote the song backstage one night in 1956 in Gladewater, Texas. I was newly married at the time, and I suppose I was laying out my pledge of devotion”.
– Johnny Cash
เอกลักษณ์บทเพลงของ Cash คือเสียงกระฉึกกระฉัก ที่มีลักษณะเหมือนรถไฟ (โดย Tennessee Two), เนื้อคำร้องสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ และเสียงร้องออกจมูกกดทุ้มต่ำเรี่ยราดดิน
Ring of Fire (1962) แต่งโดย June Carter และ Merle Kilgore แรกเริ่มบันทึกเสียงโดย The Carter Family แต่เมื่อ Johnny Cash นำมาขับร้อง (ร่วมกับภรรยา Carter) ปรากฎว่าฮิตถล่มทลายยิ่งกว่า ติดอันดับ 1 ชาร์ท US Hot Country Songs ถึง 7 สัปดาห์ ยอดขายเกิน 1 ล้านก็อปปี้
June Carter แต่งบทเพลงนี้เพื่อสะท้อนความรู้สึก/ประสบการณ์ความรักตนเองกับ Johnny Cash ซึ่งว่ากันว่าท่อน ‘Love is like a burning ring of fire’ ได้แรงบันดาลใจจากบทกวีของลุง A. P. Carter (ที่มักแต่งเพลงให้ The Carter Family บ่อยครั้ง)
แต่ในหนังสือ I Walked the Line เขียนโดยภรรยาคนแรก Vivian Liberto เชื่อว่า Carter ไม่ได้แต่งบทเพลงนี้อย่างแน่นอน
“The truth is, Johnny wrote that song, while pilled up and drunk, about a certain private female body part. All those years of her claiming she wrote it herself, and she probably never knew what the song was really about”.
– Vivian Liberto
Get Rhythm (1956) อาจไม่ใช่บทเพลงฮิตถล่มทลายของ Johnny Cash แต่เสียงขับร้องของ Joaquin Phoenix ไม่เพียงสร้างความน่าสนใจ ยังดังขึ้นในจังหวะผู้ชมเฝ้ารอคอยมากๆ
ตอนผมได้ยินบทเพลงนี้ครั้งแรกในหนัง บอกเลยว่าขนลุกซู่ เพราะก่อนหน้านี้มีเพียงทำนอง ไม่ก็เสียงร้องแบบยังไม่ค้นพบตนเอง ทำให้เกิดความประทับตราตรึงต่อ Johnny Cash ขับร้องเพลงได้อย่างทรงเสน่ห์มากๆ และจังหวะกระฉึกกระฉัก สมชื่อ Get Rhythm จริงๆ
สุดท้ายขอนำเพลง Jackson (1963) แต่งโดย Billy Edd Wheeler กับ Jerry Leiber ที่พอได้รับการ Cover เป็นแนวคันทรี่โดย Johnny Cash กับ June Carter ติดอันดับ 2 ชาร์ท US Hot Country Songs
เรื่องราวชีวิตของ Johnny Cash อาจเต็มไปด้วยความหลงผิด เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ แต่หนังได้ชี้ถึงสาเหตุผลว่าทำไม ปมจากวัยเด็กทำให้เขาต้องต่อสู้ดิ้นรน ทนทุกข์ทรมานจากความเห็นผิดเป็นชอบ ซึ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่งสามารถกลับตัวกลับใจ ได้รับโอกาสสอง ค้นพบหนทางออกของทุกปัญหา
แต่จะว่าไป Walk the Line แลดูเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติก เทพนิยายเพ้อฝัน มากกว่าเรื่องราวชีวประวัติ Johnny Cash เสียอีกนะ! สาเหตุเพราะ June Carter เธอราวกับนางฟ้าในสายตาเขา แม้มีอะไรๆขัดแย้งกันบ่อยครั้ง แต่ก็ยังยินยอมให้ความช่วยเหลือ ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายสุดในชีวิต … ถ้านั่นไม่ใช่เพราะรัก คนทึ่มๆอย่าง Cash ก็ครุ่นคิดไม่ออกแล้วว่าเพราะอะไร
ผมครุ่นคิดอยู่นมนานว่าทำไมตนเองถึงชื่นชอบ Johnny Cash เป็นพิเศษ ก็พบว่าตัวตนของเขาที่สะท้อนออกมาในบทเพลง กระฉึกกระฉัก มีความซื่อตรงไปตรงมา จิตใตโหยหาความสงบสุขพอเพียง แต่กว่าจะพบเจอก็แทบปางตายทีเดียว
คอนเสิร์ตในคุกของ Cash เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ผมขนลุกเลยละ นั่นคือการค้นพบ รับรู้ตนเอง เพราะฉันก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ พานผ่านกระทำสิ่งเลวร้าวมาก็มาก โดยไม่รู้ตัวแต่งเพลงที่สามารถเป็นกำลังใจให้ผู้คน นี่แหละคือจิตวิญญาณของคันทรี่ ท่วงทำนองเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เข้าถึงผู้ฟังได้ทุกเพศทุกวัย
ด้วยทุนสร้าง $28 ล้านเหรียญ ทำเงินในสหรัฐอเมริกา $119.5 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $186.4 ล้านเหรียญ กลายเป็นภาพยนตร์แนว Music Biopic ทำเงินสูงสุด จนกระทั่งถูกแซงโดย Straight Outta Compton (2015)
เข้าชิง Oscar 5 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
– Best Actor (Joaquin Phoenix) พ่ายให้กับ Philip Seymour Hoffman เรื่อง Capote (2005)
– Best Actress (Reese Witherspoon) ** คว้ารางวัล
– Best Film Editing
– Best Costume Design
– Best Sound Mixing
ผมว่าสาเหตุสำคัญๆที่หนังประสบความสำเร็จระดับนี้ น่าจะเพราะ Johnny Cash เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน งานเพลงของเขายังคงกึกก้องอยู่ในหูผู้ฟัง และเมื่อคุณภาพออกมาดี การันตีรางวัล Oscar เลยไร้เหตุผลจะไม่สามารถทำกำไร
ถ้าเป็นเมื่อหนังออกฉายผมคงให้คะแนนความชื่นชอบ รักมาก! แต่รับชมครานี้แอบเสียดายกับความเฉิ่มเชย เรื่องราวสูตรสำเร็จ แม้สองนักแสดงจะทรงเสน่ห์ แต่ด้านอื่นๆกลับจืดจางไปพอสมควร
จัดเรต 13+ กับพฤติกรรม Walk the Line ของ Johnny Cash
Leave a Reply