Dr. No

Dr. No (1962) British : Terence Young 

ครั้งแรกของแฟนไชร์ที่สร้างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก James Bond สายลับอังกฤษ 007 กับนักแสดงนำคนแรก Sean Connery, Dr. No คือใครกัน? Noah? Noel? หรือ Nobody? ชื่อเต็มของเขาคือ Dr. Julius No ผู้มีปม Napoleon complex และเป็น Mad Scientist, มาดูกันสิว่าพยัคฆ์ร้าย 007 จะเอาตัวรอดจากการทดลองบ้าๆครั้งนี้ไปได้ยังไง

Ian Lancaster Fleming (1908-1964) นักเขียนนิยายและนักข่าวชาวอังกฤษ, ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เข้าร่วมเป็น Naval Intelligence Division (NID) หน่วยสืบราชการลับของทหารเรือ (หน่วยนี้มีชื่อเล่นว่า Room 39) นี่กระมังที่เป็นจุดเริ่มต้น และถือเป็นประสบการณ์ตรงให้ Flaming มีความสนใจเขียนนิยายสายสืบ (Espionage) เรื่อง James Bond ที่เป็นหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลอังกฤษ

นิยาย James Bond เล่มแรกที่ Fleming เขียนคือ Casino Royale เมื่อปี 1952 ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1953 ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนต้องจัดพิมพ์เพิ่ม และเขียนภาคออกต่อมา, รวมนิยาย James Bond ทั้งหมดที่ Fleming เขียนมี 12 เล่ม กับอีก 9 เรื่องสั้น ตีพิมพ์ระหว่างปี 1953 ถึง 1966 ประกอบด้วย

  • Casino Royale (1953)
  • Live and Let Die (1954)
  • Moonraker (1955)
  • Diamonds Are Forever (1956)
  • From Russia, with Love (1957)
  • Dr. No (1958)
  • Goldfinger (1959)
  • Thunderball (1961)
  • The Spy Who Loved Me (1962)
  • On Her Majesty’s Secret Service (1963)
  • Thrilling Cities (1963)
  • The Man with the Golden Gun (1965)

รวมเรื่องสั้นทั้ง 9 เรื่อง จำนวน 2 เล่ม

  • For Your Eyes Only (1960)
    • From a View to a Kill
    • For Your Eyes Only
    • Quantum of Solace
    • Risico
    • The Hildebrand Rarity
  • Octopussy and The Living Daylights (1966) ** เดิมมีแค่ 2 เรื่องแรก แต่ตีพิมพ์ครั้งหลังๆ ใส่เพิ่มอีก 2 เรื่องท้าย
    • Octopussy
    • The Living Daylights
    • The Property of a Lady
    • 007 in New York

มีนักวิเคราะห์มองสไตล์การเขียนของ Fleming แบ่งออกเป็น 2 ช่วง
– ช่วงเล่มระหว่างปี 1953-1960 (จาก Casino Royale จนถึง For Your Eyes Only) Fleming จะให้ความสนใจกับพัฒนาการของตัวละคร อารมณ์และความก้าวหน้าของเนื้อเรื่อง, ตัวร้ายจักคือ SMERSH ดำเนินเรื่องราวในช่วงสงครามเย็น
– ช่วงเล่มระหว่างปี 1961-1966 เรื่องราวจะต้องใช้จินตนาการมากขึ้น และดำเนินเรื่องแบบเรื่องเล่า (Story Teller), ตัวร้ายหลักคือ Blofeld และองค์กร SPECTRE (SPecial Executive for Counter-intelligence, Terrorism, Revenge and Extortion)

หลังจาก Fleming เสียชีวิต นิยายเล่มนี้ก็ยังไม่ตายนะครับ มีนักเขียนอื่นที่เข้ามาสานต่อมากมาย อาทิ Kingsley Amis (ใช้ชื่อ Robert Markham), Sebastian Faulks, Jeffery Deaver, William Boyd, Anthony Horowitz ฯ และยังมีนิยาย Young Bond เขียนโดย Charlie Higson เฉลี่ยแล้วทุก 2-3 ปีจะมีนิยาย James Bond เล่มใหม่วางขาย รวมๆแล้วก็น่าจะเกิน 50 เรื่องแล้ว (มีทรัพยากรให้สร้างเป็นหนังไม่อั้นจริงๆ)

เกร็ด: ในปี 2008 มีการประเมินยอดขายรวมของนิยายชุด James Bond ประมาณ 100 ล้านเล่มทั่วโลก

สำหรับนิยายเรื่อง Dr. No (1958) เริ่มต้นเมื่อปี 1956 ขณะที่ Fleming ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ Henry Morgenthau III ในการสร้าง TV-Series เรื่อง Commander Jamaica มีเรื่องราวเกิดขึ้นที่ Caribbean ในประเทศ Jamaica ซึ่งนี่กลายมาเป็นพื้นหลังของนิยายเล่มใหม่, ขณะเขียนนิยายเล่มนี้ Fleming เดินทางไปพักอยู่ที่บ้านใน Jamaica ใช้เวลาเขียนอยู่ประมาณ 2 เดือน ก็ได้นิยายฉบับแรกความยาว 206 หน้า ใช้ชื่อว่า The Wound Man

Doctor No ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวละคร Dr. Fu Manchu ตัวละครผู้ร้ายเชื้อสายจีน จากนิยายของนักเขียนชาวอังกฤษ Sax Rohmer, นักวิจารณ์นิยายของอังกฤษต่อว่า Fleming อย่างรุนแรงว่า เป็นการลอกเลียนแบบหน้าด้านๆ (a straight steal) นอกจากตัวละครแล้ว สถานที่ทดลองลับๆของ Dr. No และกลุ่มของ Mad Scientist ก็มาจาก Dr Fu Manchu เช่นกัน

จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์นี้ เกิดจากโปรดิวเซอร์ Harry Saltzman เป็นผู้ได้ลิขสิทธิ์นิยายมาจาก Ian Fleming แต่ยังไม่มีโอกาสได้เริ่มทำอะไร และ Albert R. Broccoli ที่มีความสนใจในนิยาย ต้องการซื้อลิขสิทธิ์มาจาก Saltzman แต่กลับไม่ยอมขาย, ทั้งสองเลยร่วมกันเป็น partnership เพื่อสร้างหนังเรื่องนี้, เมื่อเอาโปรเจคไปเสนอสตูดิโอใน Hollywood หลายแห่งบอกปัดด้วยเหตุผล นิยายเล่มนี้เป็นอังกฤษมากไป (too British) หรือไม่ก็ติดเรตเกินไป (too blatantly sexual) สุดท้ายได้ United Artists เป็นผู้ออกทุนสร้างให้

เกร็ด: partnership ของ Saltzman และ Broccoli ยืนยาวถึงปี 1975 ทั้งคู่เกิดความขัดแย้งรุนแรงในขณะสร้าง The Man with the Golden Gun (1975) ที่ทำให้ Salzman ขายหุ้นของตนให้กับ United Artists แล้วยุติบทบาทการเป็นโปรดิวเซอร์ให้หนัง James Bond

Terence Young ผู้กำกับชาวอังกฤษ อาจไม่ได้มีชื่อเสียงหรือผลงานโด่งดังเสียเท่าไหร่ ซึ่งการได้เป็นผู้กำกับ James Bond ถึง 3 ภาค Dr. No (1962), From Russia with Love (1963) และ Thunderball (1965) ถือว่าเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดแล้ว หนังเรื่องอื่นๆของ Young ไม่มีที่น่าพูดถึงอีกเลย, ยกเว้นเกร็ดชีวประวัติหนึ่งที่น่าสนใจ ขณะสงครามโลกครั้งที่สอง บ้านของ Young ได้รับเลี้ยงดู Andrey Hepburn วัยเยาว์เพื่อหลบลี้ภัยสงคราม ตอนที่ทั้งสองได้ร่วมงานกันในหนังเรื่อง Wait Until Dark (1967) เห็นว่า Hepburn ชอบหยอดมุกกับ Young ว่า ‘สมัยก่อนถ้าไม่ได้ลุง คงไม่มีดาราหญิงชื่อดังที่ชื่อ Andrey Hepburn เป็นแน่’

เจมส์ บอนด์ (James Bond) สายลับอังกฤษ (Secret Intelligence Service, MI6) รหัส 007 และเป็นผู้บังคับการใน Royal Naval Reserve, มีนิสัยเจ้าชู้ ชอบใส่สูทผูกไทด์แบบผู้ดี มีรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ยั่วยวนใจสาวๆ เล่นไพ่โป๊กเกอร์เก่ง และเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดและรวดเร็ว (ผสมโชค) สามารถเอาตัวรอดมาได้ใน(เกือบ)ทุกๆสถานการณ์

ตัวละคร James Bond ที่ Ian Fleming สร้างขึ้น ได้แรงบันดาลใจมาจาก สายลับทั้งหลายที่เขาได้พบเจอระหว่างสงคราม (was a compound of all the secret agents and commando types I met during the war) ส่วน James Bond เป็นชื่อของนักนกวิทยา (Fleming เป็นคนชอบดูนกมาก) และเป็นผู้แต่งหนังสือเรื่อง Birds of the West Indies

When I wrote the first one in 1953, I wanted Bond to be an extremely dull, uninteresting man to whom things happened; I wanted him to be a blunt instrument … when I was casting around for a name for my protagonist I thought by God, [James Bond] is the dullest name I ever heard.

Ian Fleming, The New Yorker, 21 April 1962

สำหรับผู้จะมารับบท James Bond ตัวเลือกแรกของ Broccoli และ Fleming คือ Cary Grant ที่รับบทนำใน North by Northwest (ที่ถือเป็นต้นแบบของหนังเรื่องนี้ด้วย) แต่ Grant บอกปัดเพราะรู้ตัวว่าแก่เกินไป นักแสดงคนอื่นๆที่ได้รับการติดต่อ อาทิ James Mason, Steve Reeves, Patrick McGoohan, Trevor Howard, Rex Harrison, Stewart Granger, Richard Johnson, William Franklyn, Richard Todd, Stanley Baker, Ian Hendry, Richard Burton, John Frankenheimer ฯ

เหตุผลที่ Broccoli ตัดสินใจเลือก Sean Connery เพราะความที่เขาตัวใหญ่ ดูถึก (tough-looking) และที่สำคัญคือ มีการเคลื่อนไหวที่งดงาม (เหมือนแมว), หลังจากที่ Connery ได้รับเลือก ผู้กำกับ Young พาเขาไปที่ร้านตัดเสื้อและร้านทำผม ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ แล้วพาไปแนะนำให้รู้จักกับชีวิตคนชั้นสูง (High Life), Restaurants ของคนรวย, Casino และผู้หญิงไฮโซใน London เพื่อใช้ศึกษาเป็นแบบอย่างในการแสดง

Fleming เมื่อรู้ว่า Sean Connery ได้รับบท ก็แสดงความไม่พอใจเสียเท่าไหร่ เพราะ Bond เป็นคนอังกฤษ แต่ Connery เป็นชาว Scottish, Bond เป็นคน upper-class ส่วน Connery เป็น working-class, และ Bond เป็นคนการศึกษาสูง ผิดกับ Connery ที่เรียนไม่จบ … แต่พอหลังหนังฉาย Fleming ก็เปลี่ยนทัศนคติ แสดงความชื่นชมว่า Connery เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

การแสดงของ Connery ต้องถือว่าแทบจะลอกพิมพ์เดียวมาจาก Cary Grant (ใน North by Northwest เลย) ใส่สูทผูกไทด์เท่ห์ๆ ท่าเดินมีมาด คำพูดคำจาก็มีเสน่ห์ สายตาก็เย้ายวน (โดยเฉพาะกับสาวๆ), การแสดงของปู่ Connery ผมขอเรียกว่า Classic James Bond คือมีเอกลักษณ์ที่ (น่าจะ) ตรงต่อ ใกล้เคียงกับต้นฉบับนิยาย ตามจินตนาการของ Ian Fleming ที่สุดแล้ว

กับฉากเปิดตัว James Bond อาจมีคนรู้สึกว่าไม่เห็นอลังการอะไรเลย … ก็น่ะครับ หนังสมัยก่อนจะไปเอาอะไรมาก แต่ผมว่าฉากนี้ถือว่าคลาสสิกสุดๆ (ถึงขนาดมีนักวิจารณ์เรียกว่าเป็น immortal introduction) เป็นขณะกำลังเล่นไพ่ป๊อก (Baccarat) ที่ Le Cercle at Les Ambassadeurs คาสิโนในอังกฤษ ระหว่าง James Bond กับ Sylvia Trench (เดิมทีฉากนี้เป็นการเปิดตัว Bond ในนิยาย Casino Royale นะครับ แต่ผู้สร้างดึงมาใช้ เพราะมีแสดงถึงตัวตนของ Bond ได้ครบถ้วนสุดแล้ว) ภาพแรกที่ตัดเห็นหน้า Bond กำลังคาบบุหรี่ จั่วไพ่ และกำลังชนะ แต่เพราะงานเข้ารัดตัว เขาจำต้องลาจากโต๊ะพนันไป แต่หญิงสาวผู้พ่ายแพ้ไม่ยอมเลิกรา เพราะติดใจในโชคของ Bond จึงต้องการเสี่ยงโชคกับเขาต่อ (ด้วยการแอบเข้าไปในห้องนอน เพื่อหวังทวงโชคของตนเองคืนมา) … คงไม่ต้องบอกนะครับว่าทำอะไรกัน

Bond Girl คนแรกของแฟนไชร์นี้ Ursula Andress ในบท Honey Ryder (ชื่อในนิยายคือ Honeychile Rider), เห็นว่า Julie Christie เคยได้รับการพิจารณา แต่ไม่ได้รับบทเพราะหน้าอกเธอเล็กไป!, เหตุที่ Andress ได้รับบท เพราะตรงสเป็คกับ Broccoli ที่ว่า ‘เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ยังไม่เรื่องมาก และเรียกร้องค่าตัวมหาศาล’

ว่ากันตามตรง ผมไม่เห็น Bond Girl จะมีประโยชน์อะไรกับหนังเรื่องนี้เลยนะครับ (ในบทมีแค่ เธอพา Bond ไปที่ซ่อนตัว แต่… ไหนละที่ซ่อน) นอกจากออกมาแสดงความ Sexy และเข้าคู่กับ James Bond แล้ว ก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลย

เกร็ด: ในฉบับนิยาย Honey Ryder ตอนที่พบกับ Bond ครั้งแรก เธอเปลือยทั้งตัวนะครับ ไม่ได้ใส่แม้แต่ชุด…ว่ายน้ำ

Doctor No ตัวร้ายของเรื่อง ที่กว่าจะโผล่มาให้เห็นหน้า ก็องก์ 3 ของหนัง ช่วงท้ายๆเลย, นักแสดงที่ได้รับการพิจารณา อาทิ Noël Coward, Christopher Lee ฯ ที่เลือก Joseph Wiseman เพราะ Saltzman ชื่นชอบการแสดงของเขาในหนังเรื่อง Detective Story (1951) ที่เขาแต่งหน้าเหมือนกับคนเชื้อสายจีน ได้คล้ายมากๆ

เป้าหมายหลักของ Doctor No สั้นๆง่ายๆคือ ครองโลก, ปมของเขาเรียกว่า Napoleon complex คือการมองตัวเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น (ที่เรียกนโปเลียน เพราะเป็นการเปรียบเทียบถึงคนตัวเตี้ย [นโปเลียนสูง 158 เซนติเมตร จริงๆก็ไม่ถือว่าเตี้ยนะครับ แต่ในยุโรป ความสูงเท่านี้ถือว่าเตี้ยมากๆ] มีปมเรื่องความสูงน้อยกว่าคนอื่น เลยพยายามทำตัวให้สูงกว่าคนอื่น), Dr. No เป็นคน 2 เชื้อชาติคือ จีนและเยอรมัน ตัวเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ แต่กลับไม่มีประเทศไหนยอมรับ จึงใช้การก่อร่างสร้างตนขึ้นมาใน Jamaica ที่เกาะ Crab Key แล้วทำการทดลองกับธาตุนิวเคลียร์ (ดูแล้วก็น่าจะอาวุธนิวเคลียร์) เพื่อโจมตีทั้งสองประเทศ เป็นการประกาศศักดา ตบหน้า ตอบโต้ประเทศทั้งหลายที่ดูถูก ไม่ยอมรับในตัวเขา

เกร็ด: ในนิยาย Doctor No เป็นสมาชิกของ SMERSH นะครับ ไม่ใช่ SPECTER

เกร็ด2: ในห้องของ Doctor No จะมีรูปภาพ Portrait of the Duke of Wellington วาดโดยจิตรกรชาวสเปน Francisco Goya ที่ขณะนั้นสูญหายไปแล้ว เป็นภาพ Copy มีใจความว่า Doctor No นี่แหละที่ขโมยไป

หนังถ่ายทำที่สตูดิโอ Pinewood, London สำหรับฉากภายใน และออกเดินทางไปจาไมกา ระหว่างวันที่ 16 มกราคม ถึง 21 กุมภาพันธ์ปี 1962

ถ่ายภาพโดย Ted Moore ที่ได้ Oscar: Best Cinematographer จากหนังเรื่อง A Man for All Seasons (1966), Moore ได้เป็นตากล้องขาประจำ ถ่ายหนัง James Bond ถึง 6 เรื่อง เรื่องฝีมือถือว่ายอดเยี่ยม ใช้ได้เลย โดดเด่นเรื่องการควบคุมโทนแสงสี และบรรยากาศหนังได้อยู่หมัด

ลีลาการเคลื่อนกล้องก็ถือว่าเรียบง่าย คล่องตัว ลื่นไหล แม้การจัดองค์ประกอบภาพจะเทียบไม่ได้กับ North by Northwest แต่ถ้าสังเกตอุปกรณ์ประกอบฉากดีๆ จะพบว่ามีความเข้ากับ ตัวตนเจ้าของห้อง, เช่น ห้อง/ห้องขัง ของ Dr. No จะมีวัตถุโบราณเก่าๆมากมาย, รูปภาพ/งานศิลปะ ย่อมสะท้อนรสนิยม พื้นฐาน แนวคิดของตัวละครเจ้าของห้องนั้นๆเป็นแน่, น่าเสียดายผมไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ สิ่งของประดับตกแต่ง ถ้าใครรู้จักงานศิลปะเยอะๆ คงชื่นชอบหนังมากแน่ๆ

Maurice Binder คือผู้ออกแบบ Title Sequence ตั้งแต่ Dr.No (1962) จนถึง Licence to Kill (1989), ช็อตเปิดเรื่องในตำนานขณะที่ Bond เดินเท่ห์ๆ แล้วหันเข้ามายิงปืนใส่ผู้ชม ฉากนี้มีชื่อเรียกว่า Gun Berrel Sequence ใช้กล้อง pinhole camera ขนาดจิ๋ว ใส่ลงในกระบอกปืน .38 calibre gun barrel ถ่ายภาพ Sepia ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองออกจากปากกระบอกปืนจริงๆ

ตัดต่อโดย Peter R. Hunt, หนังเริ่มต้นโดยใช้เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่จาไมก้า เป็นตัวทำให้ผู้ชมรู้จักกับหน่วยข่าวกรอง ส่งเรื่องต่อไปยังสายลับ ก่อนที่จะเปิดตัว James Bond พบกับ Moneypenny และเจ้านาย M ก่อนปิด intro ด้วย love scene กับหญิงสาว (ก่อนขึ้นเครื่องไปจาไมก้า), การเล่าเรื่องลักษณะนี้ คือการทำให้เรื่องราวเกิดความต่อเนื่อง ไหลลื่น ด้วยการเปลี่ยนมุมมอง จากคนหนึ่ง/เหตุการณ์หนึ่ง ไปยังคนถัดไป/เหตุการณ์ถัดไป ไม่ใช่เล่าโดยมุมมองของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ นี่ทำให้กว่าที่ Dr. No จะปรากฎตัวเห็นหน้าเต็มๆก็ช่วงท้ายๆเลย เพราะหนังนำเสนอให้เราเห็น/เข้าใจก่อนว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ผู้ร้ายทำอะไร ผลกระทบ/ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นคืออะไร เมื่อรู้ทุกสิ่งอย่าง ถึงค่อยได้พบเจอตัวจริง และอธิบายแนวคิด เป้าหมายสุดท้ายของหนัง

สำหรับฉาก Action มีนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นขณะนั้นในการตัดต่อ ที่ทำให้มีความเร็วมากขึ้น เรียกว่า fast motion สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชม (มันก็ยังช้าอยู่มาก เมื่อเทียบกับหนังปัจจุบัน) ความตั้งใจของ Hunt คือ ‘การตัดภาพด้วยความเร็วตลอดเวลา จะทำให้เกิดสไตล์รูปแบบใหม่’ (move fast and push it along the whole time, while giving it a certain style) นี่ทำให้ผู้ชม (สมัยนั้น) ไม่ทันสังเกตความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ หรือบทหนังบางช่วงที่ยังไม่สมเหตุสมผลด้วย

สำหรับเพลงประกอบ เชื่อว่าใครๆคงคุ้นกันดีกับ James Bond Theme แต่งโดย Monty Norman เรียบเรียงทำนอง และบรรเลงโดย John Barry (ที่ไม่ได้เครดิตการเรียบเรียง แต่ได้เครดิตการแสดง), James Bond ไม่ว่าจะภาคไหนต่อภาคไหน มีการเรียบเรียงทำนองเปลี่ยนไปในรูปแบบต่างๆมากมาย แต่ฉบับ Original มักจะมีความไพเราะที่สุดคลาสสิกเสมอ, ทำนองขณะโซโลกีตาร์ไฟฟ้า ถือว่า กวนตีน, เป้อเย้อ, มืดหม่น, อันตราย, เซ็กซี่ และหยุดไม่ได้ ฟังซ้ำเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

นอกจากเพลง Main Theme ยังมีการนำเพลงดังๆขณะนั้นมาใช้ เช่น
– เพลง Kingston Calypso (Three Blind Mice) ในฉากแรกของหนัง นี่เป็นเพลง nursery rhyme (คำร้อง/กลอน กล่อมเด็ก) ของประเทศอังกฤษ (Round Folks Song ลำดับที่ 3753) ตีพิมพ์โน๊ตเพลงครั้งแรกปี 1805, มีการดัดแปลงเปลี่ยนคำร้องนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับเรื่องราวของหนัง ใช้ทำนอง Calypso music (เพลงสไตล์ Afro-Caribbean) ขับร้องโดย Byron Lee และวง Dragonaires
– Under the Mango Tree เป็นเพลง traditional ของ Jamaican ขับร้องโดย Diana Coupland

นอกจากเพลงประกอบที่คงคุ้นหูแฟนหนัง James Bond เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีการผสมผสานกลิ่นอายเครื่องดนตรี Tradition ของประเทศจาไมก้า ให้รู้สึกเหมือนกำลังเที่ยวสำราญอยู่บนเกาะส่วนตัว ริมชายหาดทะเล Caribbean และกำลังดื่มด่ำกับน้ำมะพร้าวสดๆ ก่อถูกกระหน่ำด้วยเสียงปืน และมังกรพ่นไฟได้

เกร็ด: นี่เป็น James Bond ภาคเดียวที่ไม่มีเพลงประจำหนัง (แต่มี James Bond Theme เปิดซ้ำ 2 รอบขณะ Opening Sequence)

ความพ่ายแพ้ของตัวร้าย คือการจมลงในบ่อกรด/น้ำร้อน (หรืออะไรสักอย่าง) ไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาเองได้ นี่แสดงถึง แพ้ภัยตนเอง ผลของการกระทำ ทำให้ตัวเองตกต่ำเสียจนไม่สามารถกลับขึ้นมาได้, หลายคนอาจรู้สึกทำไมมันง่ายจัง สั้นๆห้วนๆ เห็นหน้าตัวร้ายแปปเดียวก็จบแล้ว! คือหนังสมัยนั้น Action ก็ได้ประมาณนี้นะครับ คือทำให้เป็นศิลปะ มีความน่าสนเท่ห์ เรียบง่ายและใส่แนวคิด ไม่ใช่เอะอะก็ต่อยกันให้ตาย/แพ้กันไปข้างหนึ่ง นั่นแฝงความรุนแรงอย่างมาก (สมัยก่อนเห็นคนต่อยกัน ก็ถือว่าแฝงความรุนแรงแล้วนะครับ)

James Bond คือเป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ ความตั้งใจก็คือนำเสนอความตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน มันอาจไม่มีข้อคิดหรือประโยชน์อะไรอื่นแฝงอยู่ และสายลับจริงๆก็ไม่ได้ดูดี เท่ห์มีเสน่ห์แบบ James Bond แม้แต่น้อย (สายลับตัวจริง ควรจะทำตัวเนียนๆ แทรกตัวไปกับฝูงชนได้ ไม่ใช่โดดเด่น หล่อเหลา เจ้าเสน่ห์แบบ Bond แน่ๆ)

คงมีเด็กๆ (ที่ปัจจุบันโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว) เลียนแบบอะไรการกระทำหลายๆอย่างจาก James Bond, ผมเคยเอาเส้นด้ายบางๆติดกับประตู เพื่อดูว่ามีคนแอบเข้าห้องหรือเปล่า, เอาแป้งโรยกุญแจที่กระเป๋า จะได้รู้ว่าแม่แอบมาเปิดกระเป๋านักเรียนหรือเปล่า … มันอาจดูไม่มีสาระกับการทำแบบนี้ แต่มันคือจินตนาการ ความเพ้อฝันของเด็กๆ ที่ทำแล้วสนุกสนาน แต่มีความจริงจัง เอาจริง (ก็คือเลียนแบบนะแหละครับ) ว่าไปเห็นแบบนี้ในหนัง ให้อารมณ์ Nostagia เหมือนกัน เชื่อว่า คงต้องมีคนเคยทำแบบผมแน่ๆ

หนังใช้ทุนสร้างเพียง $1.1 ล้านเหรียญเท่านั้น ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับงบประมาณหนังทั่วไปในสมัยนั้น นี่ทำให้ทีมงานต้องประหยัดกันมาก อย่างอ่างปลาในห้องของ Dr. No นั่นไม่ใช่อ่างปลาจริงๆนะครับ เป็นภาพฉายจาก Rear Projector เพราะทีมงานไม่มีเงินซื้อตู้ปลา!, ซึ่งพอหนังออกฉาย ทำเงินทั้วโลก $59.5 ล้าน ประสบความสำเร็จทั้งเงินและคำวิจารณ์ ทำกำไรมหาศาล นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงเท่าไหร่ ภาคต่อจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นแทบจะทันที และนี่คือจุดเริ่มต้นของแฟนไชร์ที่มีการสร้างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก

เกร็ด: เมื่อปี 2012 ได้มีการประกาศให้วันที่ 5 ตุลาคม เป็นวัน Global James Bond Day เฉลิมฉลองครบครอบ 50 ปี วันที่ Dr. No ฉายเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ปี 1962

ส่วนตัว… ค่อนข้างชอบภาคนี้นะ ถึงจะไม่ใช่ James Bond ภาคที่ดีที่สุด ชอบที่สุด แต่คิดว่าเป็นภาคที่ดูบ่อยที่สุด (เพราะมันเป็นภาคแรก ที่เวลาคิดจะนั่งดูแฟนไชร์นี้ทีไรก็เปิด Dr. No เริ่มต้นก่อนทุกที) ขอเรียกภาคนี้ว่าเป็น ‘เจมส์ บอนด์ ฉบับคลาสสิก’ ที่ไม่ได้เน้นฉากการต่อสู้ (Action) แต่มีลีลาการเล่าเรื่องที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อย การตัดต่อที่มีความต่อเนื่องนุ่มนวล อาจดูเนิบนาบแต่เรียกว่าบรรจงร้อยเรียง และเพลงประกอบ Bond Theme สุดคลาสสิกที่ฟังเมื่อไหร่ก็ยังไม่เก่าเลย

เกร็ดขำๆ: ขณะที่ M กำลังจะสูบบุหรี่ บอนด์ยื่นไฟแช็คจะจุดให้ แต่ M กลับลุกขึ้นหนี แล้วจุดบุหรี่เอง

แนะนำกับ… คนชอบหนังแนวสายลับมาดเท่ห์, Bond Girl สุดเซ็กซี่ และแฟนๆปู่ Sean Connery คงไม่พลาดอยู่แล้ว

จัดเรต PG เด็กๆดูได้ ความรุนแรงน้อยมาก (เลิฟซีนน่ารักมาก พอจูบกันแล้วค่อยๆเอนตัวลงนอน)

TAGLINE | “Dr. No จุดเริ่มต้นของสายลับ 007 ที่มีความงดงามคลาสสิก ในการเล่าเรื่อง ตัดต่อ เพลงประกอบ และ Sean Connery ขณะผูกสูทวางมาดเท่ห์ สาวๆที่ไหนก็คงหลงใหล”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: