Sophie’s Choice (1982)
: Alan J. Pakula ♥♥♥♡
Meryl Streep คว้า Oscar เป็นตัวที่สองจากหนังเรื่องนี้ ด้วยการรับบท Sophie หญิงสาวชาว Polish หลังเอาตัวรอดจากค่ายกักกันนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อพยพหนีมาใช้ชีวิตอยู่ Brooklyn แต่อดีตความทรงจำอันเลวร้ายและการตัดสินใจครั้งนั้น ยังคงตามมาหลอกหลอนไม่มีวันลบลืมเลือนจางหายไปไหนได้
ในบรรดาผลงานการแสดงของ Meryl Streep ถึงผมจะรับชมยังไม่ครบทั้งหมด แต่รู้สึกโดยสันชาตญาณได้ทันทีเลยว่า Sophie’s Choice น่าจะคือเรื่องที่ทุ่มเทกายใจ โดดเด่นทรงพลัง ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต ไม่ใช่แค่สำเนียงเสียงภาษา ลดน้ำหนักจนผอมแห้ง หรือตัดผมสั้นหมดสวย แต่คือความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมาน อัดแน่นคลั่งอยู่ภายใน สะท้อนผ่านทางสีหน้า ดวงตา และการกระทำเคลื่อนไหวได้อย่างสมจริงเกิ้น
ก็เมื่อ Daniel Day-Lewis มี Masterpiece คือ There Will Be Blood (2007) ฝั่งหญิง Meryl Streep น่าจะเป็น Sophie’s Choice (1982) เรื่องนี้นี่แหละ
ต้นฉบับของ Sophie’s Choice (1979) คือนิยายแต่งโดย William Styron (1925 – 2006) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Newport News, Virginia (ทางตอนใต้ของอเมริกา) ปู่ทวดของเขาเคยเป็นเจ้าของทาสผิวสี ยังคงปลูกฝังลูกหลานให้มีความจงเกลียดชัง แต่เจ้าตัวกลับยินยอมรับความสุดโต่งนี้ไม่ได้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เขียนหนังสือ The Confessions of Nat Turner (1967) เรื่องราวของ Nathaniel ‘Nat’ Turner ทาสผิวสีที่กลายเป็นผู้นำ Slave Rebellion เมื่อปี 1831 คว้ารางวัล Pulitzer Prize for Fiction (หนังสือเล่มโปรดของ Bill Clinton)
Styron แม้จะเป็นคนผิวขาว แต่มีความเข้าใจหัวอกของชาวผิวสีเป็นอย่างดี เช่นกันกับความขัดแย้งระหว่างนาซี-ชาวยิว ที่แม้ตัวเขาจะไม่ได้มีเชื้อสายความเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่ประเด็นเหยียดสีผิว/เชื้อชาติ มันก็หาได้แตกต่างอะไรกันสักเท่าไหร่
ต้องถือว่า Sophie’s Choice เป็นกึ่งอัตชีวประวัติของผู้เขียน Styron เทียบตัวละคร Stingo ก็คือเขาเองนะแหละ (แค่ชื่อยังมีความคล้ายกันเลย) ตอนสมัยหนุ่มๆเดินทางจากตอนใต้ Virginia มุ่งสู่ Brooklyn เช่าห้องพักเล็กๆเขียนนิยายเล่มแรก ขณะที่ Sophie มีแบบอย่างคือ Ursula Andress นักแสดงหญิงชื่อดัง สัญชาติ Swiss ที่เป็น Bond Girl คนแรกใน Dr. No (1962)
สำหรับใจความสำคัญที่คือการเลือกของ Sohpie ว่ากันว่า Styron ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Eichmann in Jerusalem: A Report on the Banality of Evil (1963) จากความทรงจำของ Hannah Arendt (1906 – 1975) นักทฤษฎีการเมืองหญิง เชื้อสาย Jews ที่อพยพหนีออกจาก German ในช่วงนาซีกำลังเริ่มเรืองอำนาจ
ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดย Alan Jay Pakula (1928 – 1998) นักเขียน ผู้กำกับสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City, เข้าสู่วงการด้วยเป็นผู้ช่วยแผนกวาดการ์ตูนที่ Warner Bros. ย้ายมา Paramount Picture เป็นโปรดิวเซอร์ To Kill a Mockingbird (1962) กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Sterile Cuckoo (1969), โด่งดังกับ ‘Paranoid Trilogy’ ประกอบด้วย Klute (1971), The Parallax View (1974), All the President’s Men (1976), อีกผลงานเด่นคือ Sophie’s Choice (1982)
ต้องถือว่า Pakula เป็นผู้กำกับที่มีความเหมาะสมลงตัวมากๆ ในการดัดแปลง Sophie’s Choice เพราะพี่แกโดดเด่นในการนำเสนอด้านหวาดระแวง (Paranoid) ของมนุษย์ออกมา แต่เหมือนว่าหนังเรื่องนี้กลับไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นให้เป็นประโยชน์เท่าที่ควร เทคนิคภาษาภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีอะไรมากสักเท่าไหร่ เน้นปลดปล่อยให้นักแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
ปี 1947, นักเขียนหนุ่มหน้าใส Stingo (รับบทโดย Peter MacNicol) เดินทางสู่ Brooklyn ตั้งใจเขียนนิยายขาย มีโอกาสเป็นเพื่อนกับ Sophie Zawistowski (รับบทโดย Meryl Streep) หญิงสาวผู้อพยพเชื้อสาย Polish และคนรักเจ้าอารมณ์ของเธอ Nathan Landau (รับบทโดย Kevin Kline) ระหว่างที่อดีตความทรงจำอันเลวร้ายของพวกเขากำลังได้รับการเปิดเผยออก Stingo ก็ค่อยๆเรียนรู้เติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์
Mary Louise ‘Meryl’ Streep (เกิดปี 1949) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา ได้รับการยกย่องว่า ‘Best Actress of her Generation’ เกิดที่ Summit, New Jersey พ่อมีเชื้อสาย German, Swiss ตอนเด็กเป็นเชียร์ลีดเดอร์, แสดงละครเวทีโรงเรียน แต่ไม่คิดจริงจังจนกระทั้งนำแสดงเรื่อง Miss Julie สร้างความตกตะลึงสมจริงให้กับทุกคน เลยตัดสินใจเข้าเรียนต่อ Yale School of Drama จบออกมาเริ่มจากเป็นนักแสดงละครเวที Broadway จนประสบความสำเร็จคว้า Tony Award: Best Actress เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากความประทับใจ Robert De Niro เรื่อง Taxi Driver (1976), ผลงานเรื่องแรก Julia (1977), โด่งดังพลุแตกกับ The Deer Hunter (1978) [ได้ร่วมงานกับ Idol ของตนเอง], ปีเดียวกันแสดง mini-Series เรื่อง Holocaust (1978), บทเล็กๆใน Manhattan (1979), และคว้า Oscar: Best Supporting Actress จากเรื่อง Kramer vs. Kramer (1979)
มีนักวิจารณ์เปรียบเทียบการแสดงของ Streep คล้ายๆกับ ‘chameleon’ กิ้งก่าเปลี่ยนสี เพราะเธอไม่เคยจะรับบทบาทลักษณะเดิมคล้ายๆกันเลย เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆทุกแนวภาพยนตร์ (น่าจะยกเว้น Action ที่ไม่ยังเคยเห็นใครกล้าว่าจ้าง) ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญ น่าจะไม่มีใครในโลกมีการแสดงที่หลากหลายเท่านี้อีกแล้ว เข้าชิง Oscar เกิน 20 ครั้ง ใครกันจะไปล้มล้างสถิตินี้ได้
รับบท Zofia ‘Sophie’ Zawistowski สาวหม้ายเชื้อสาย Polish ที่เคยถูกจับอาศัยอยู่ในค่ายกักกัน Auschwitz เอาตัวรอดมาได้ถึงปัจจุบันอพยพลี้ภัยสู่อเมริกา แต่อดีตอันโหดร้ายยังคงเป็น Trauma ตามมาหลอกหลอนให้ต้องหวนระลึกอยู่เรื่อยๆ สภาพปัจจุบันแม้จะดูยิ้มแย้มร่าเริงสดใส กระนั้นหลายครั้งสีหน้าท่าทางเหมือนคนป่วยหนักใกล้ตาย ภายในคงทุกข์ทรมานรวดร้าวแสนสาหัส ด้วยบางสิ่งอย่างที่มิอาจพูดบอกต่อใครได้
Streep ไม่ใช่ตัวแรกของผู้กำกับ Pakula ที่เล็ง Liv Ullmann ให้รับบท Sophie แต่เห็นว่าเธอถึงขนาดคุกเข่าก้มลงกราบอ้อนวอนขอ ถ้าถึงขนาดนั้นไม่ยินยอมให้ก็ถือว่าใจดำเกินไปแล้ว, เหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าทำไม Streep ถึงยอมลงทุนทำขนาดนั้น เพราะเคยแสดงมินิซีรีย์ Holocaust (1978)? หรือเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตัวละคร? แต่ถึงถือว่าเป็น ‘Passion’ ที่ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อบทบาทนี้
ลงทุนเรียนทั้งภาษาเยอรมันและโปแลนด์ เพื่อให้พูดสำเนียงเน่อๆผสมกันของทั้งสองชาติได้ ทั้งยังโกนผม ลดน้ำหนักจนผอมแก้มตอบ และฉากที่เป็นไคลน์แม็กซ์ช่วงท้ายกับการต้องเลือก ระเบิดอารมณ์ออกมาสุดชีวิต ยินยอมถ่ายทำเทคเดียวไม่มีซ่อม เพราะใส่อารมณ์ จิตวิญญาณ ทุกสิ่งอย่างลงไปจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
ทุกครั้งกับช็อต Close-Up ใบหน้าของ Streep อารมณ์ความรู้สึกสะท้อนผ่านสีหน้า ดวงตา และการขยับเล็กๆน้อยๆภาษากาย ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสรับถึงความปั่นป่วนบ้าคลั่งภายใน ก็ไม่รู้ทำยังไงของเธอนะถึงถ่ายทอดออกมาได้สมจริงจังขนาดนี้ ไม่ง่ายที่จะทนดู แต่ยากยิ่งกว่าจะหลบสายตา
เกร็ด: นิตยสาร Premiere จัดอันดับ 100 Greatest Performances of All Time เมื่อปี 2006 การแสดงของ Streep ในบทบาท Sophie Zawistowska ติดสูงถึงอันดับ 3 เป็นรองเพียง 1) Peter O’Toole จาก Lawrence of Arabia (1962) และ 2) Marlon Brando จาก On the Waterfront (1954)
Kevin Delaney Kline (เกิดปี 1947) นักร้อง นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ St. Louis, Missouri พ่อเชื้อสายยิวอพยพจาก German เป็นเจ้าของสตูดิโอบันทึกเสียง (Record Store) ส่วนแม่เป็นนักแสดงละครเวทีเชื้อสาย Irish เลี้ยงดูแบบ Roman Catholic, โตขึ้นเข้าเรียน Indiana University เพื่อนร่วมรุ่นกับ Jonathan Banks ตอนแรกเริ่มจากแต่งเพลงและกำกับวง แต่ตอมาเปลี่ยนเป็นสายการแสดง ได้ทุนเข้าเรียน Juilliard School กลายเป็นนักแสดง Broadway จนคว้า Tony Award: Best Actor, ภาพยนตร์เรื่องแรกแจ้งเกิดโด่งดังกับ Sophie’s Choice (1982), และคว้า Oscar: Best Supporting Actor เรื่อง A Fish Called Wanda (1988)
รับบท Nathan Landau แฟนหนุ่มของ Sophie เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดูไม่ค่อยปกตินัก ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่กับการเฉลยว่าเป็น โรคจิตเภทหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenic) ทำให้มีความอ่อนไหว Sensitive ชอบคิดเล็กคิดน้อย จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ซึ่งดูแล้วคงช่วยเหลือแก้ไขอะไรไม่ได้สักเท่าไหร่ นอกจากเป็นแรงกำลังใจและไม่ทอดทิ้งกันและกัน
ผมละชอบหนวดของ Kline เสียเหลือเกิน ชวนให้นึกถึงใบหน้าของ Raj Kapoor และ Charlie Chaplin ดูตลกขบขัน Comedy เล็กๆ สะท้อนออกมาตอนเวลาปกติมีความสนุกสนานร่าเริงเป็นกันเอง แต่พอเมื่อไหร่เกิดความเครียดหวาดระแวงขึ้นมา กระแทกกระทั้นอารมณ์ด้วยคำพูด สายตา และการกระทำมาดร้าย ถึงขนาดจะฆ่าแกงกันให้ตายไปข้าง
Peter MacNicol (เกิดปี 1954) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Dallas, Texas เริ่มต้นเป็นนักแสดงละครเวที ตามด้วย Broadway ภาพยนตร์เรื่องแรก Dragonslayer (1981), แจ้งเกิดกับ Sophie’s Choice (1982) แล้วไปโด่งดังทางฝั่งซีรีย์โทรทัศน์
รับบท Stingo หนุ่มนักเขียนที่ยังบริสุทธิ์หน้าใส อ่อนต่อโลก ออกเดินทางสู่ Brooklyn เพื่อสานต่อความฝันเป็นนักเขียน พบเจอตกหลุมรักแรกพบกับ Sophie แม้เห็นอยู่ว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว แต่ก็ยังพยายามแทรกตัวเข้าไป ต้องการรับรู้เรื่องตัวตนของเธอจากอดีต เพื่อพวกเขาจะได้เป็นของกันแล้วกัน แต่เมื่อสิ่งนั้นถูกเปิดเผยออก มันเลยทำให้ชายหนุ่มได้พบเจอโศกนาฎกรรม
ไม่ได้ต้องใช้การแสดงอะไรมากสำหรับ MacNicol เสมือนว่าตัวละครของเขาเป็นบุคคลที่ 3 จับจ้องมอง Sophie กับ Nathan แสร้งวางตัวเพิกเฉยเป็นกลาง แต่กลับพยายามหาทางแทรกตัวเข้าไปครอบครอง เพื่อสนองตัณหาราคะเปิดบริสุทธิ์ตนเอง
การทำงานของผู้กำกับ Pakula ให้นักแสดงซักซ้อมเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนการถ่ายทำจริง 3 สัปดาห์ และอนุญาติให้มีการปรับปรุงแก้ไขบทพูด ‘Improvise’ การแสดงของตนเองได้ตามใจ
ถ่ายทำโดย Néstor Almendros ตากล้องสัญชาติ Spanish เจ้าของฉายา ‘Master of Light’ มีผลงานเด่นอย่าง Days of Heaven (1978) ** คว้า Oscar: Best Cinematography, Kramer vs Kramer (1979), The Last Metro (1980), Sophie’s Choice (1982)
สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่ ปักหลักอยู่ที่ Brooklyn, New York City ยกเว้นเพียงฉากย้อนอดีต Flashback ถ่ายทำหลังสุด เดินทางไปยังประเทศ Yugoslavia ปัจจุบันคือ Samobor, Croatia
มันอาจไม่ใช่ไดเรคชั่นการถ่ายภาพที่หวือหวาอะไรมากนัก แต่การจับจ้อง Close-Up ใบหน้าของตัวละครแล้วแช่ค้างเอาไว้ มันช่างมีความทรงพลังเสียเหลือเกิน นั่นเพราะได้สุดยอดการแสดงที่สามารถสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างสมจริงทรงพลัง
สำหรับส่วนที่โดดเด่นถึงขนาดได้เข้าชิง Oscar: Best Cinematography คือการจัดแสงโทนสีของหนัง แบ่งออกอย่างชัดเจนระหว่าง
– Brooklyn มีสัมผัสโทนอบอุ่น นุ่มนวล สว่างสดใส สะท้อนชีวิตที่ผ่านช่วงเวลาทุกข์ทรมานยากลำบากนั้นมากแล้ว … แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาพบเจอความสุขแท้จริง
– ขณะที่ค่ายกักกันนาซี มีความแห้งแล้ง เย็นยะเยือก แข็งกระด้าง สะท้อนความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส
และช็อตเจ๋งที่สุดในหนัง เป็นการแอบบอกใบ้ความหลากหลายทางบุคลิกภาพของ Nathan กับการโบกสะบัดไม้บาตอน เลียนแบบวาทยากรกำกับวงดนตรีในบทเพลง Beethoven: Symphony No. 9 เห็นเป็นเงาสะท้อนกระจกหน้าต่าง ผมก็ไม่ได้ลองนับว่ามี 5 ตัวตนของเขาหรือเปล่านะ
ตัดต่อโดย Evan Lottman สัญชาติอเมริกา ผลงานดังอย่าง The Exorcist (1973), Sophie’s Choice (1982) ฯ
ใช้มุมมองการเล่าเรื่องของ Stingo แต่เสียงบรรยายที่ได้ยินไม่ใช่ของ Peter MacNicol แต่เป็นคนนอกไปเลย Josef Sommer ซึ่งคงเสมือนว่าแทนด้วยผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ (รู้สึกทะแม่งๆนะครับ แต่ผู้ชมส่วนใหญ่คงไม่ได้สังเกตจุดนี้แน่), และหนังยังมีการเล่าเรื่องซ้อน แทรกภาพย้อนอดีต Flashback ของ Sophie ขณะเอ่ยถึงพื้นหลังความทรงจำของตนเองให้ Stingo รับฟัง
ปัญหาใหญ่ของหนัง คือหลายครั้งเป็นการเล่าเรื่องด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว แช่ภาพจับจ้อง Close-Up ใบหน้าของตัวละคร กับคอหนังยุคสมัยใหม่ที่ชื่นชอบความรวดเร็ว โฉบเฉี่ยว ทั้งๆที่มันก็เป็นการแสดงที่โคตรทรงพลัง แต่ก็อาจทำให้หลายคนเบื่อหน่ายในความอืดอาดเชื่องช้า เพราะความ All-Talk เอาแต่พูดพร่ำ ไม่ค่อยมีการกระทำแสดงออกอะไรให้รู้สึกถึงความตื่นเต้นมีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่
ตอนแรกผมแอบสงสัย ทำไมหนังถึงแทรกใส่ภาพย้อนอดีตเฉพาะช่วงครึ่งหลังเท่านั้น? แล้วก็มาค้นพบว่า บางเรื่องราวที่ตัวละครเล่าในครึ่งแรก ใช่ว่าจะคือเรื่องจริงทั้งหมด ซึ่ง Flashback ในแนวคิดของหนังจะคือจากความทรงจำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น (คือถ้าแทรกภาพที่ตัวละครโกหกโป้ปดมดเท็จเข้ามาด้วย มันอาจเพิ่มความซับซ้อนให้หนังมากเกินไป เพราะนั่นจะไม่ใช่ Flashback แต่คือจินตนาการแฟนตาซีเพ้อฝัน)
เพลงประกอบโดย Marvin Hamlisch (1944 – 2012) สัญชาติอเมริกัน ที่มีผลงานเด่นอย่าง The Sting (1973), The Way We Were (1974), The Spy Who Loved Me (1977), Sophie’s Choice (1983), A Chorus Line (1985) ฯ
งานเพลงมีส่วนผสมของ Original Score และเลือกใช้บริการบทเพลงคลาสสิกเลื่องชื่ออย่าง
– Beethoven: Symphony No. 6 กับ Symphony No. 9
– Mozart: Eine Kleine Nachtmusik, K525
– Bach: Jesu, Joy of Man s Desiring
– Strauss: Voices of Spring
– Schumann: About Foreign Lands and People
– Handel: The Water Music Suite in F Major
ฯลฯ
Original Score ของหนัง ทุกบทเพลงมีความไพเราะเพราะพริ้ง นุ่มนวลอ่อนไหว ผสมปนด้วยความเจ็บปวดร้าวที่มักไม่แสดงออกมา แต่ลึกๆแล้วสามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยใจ
บทเพลงที่โดยส่วนตัวมีความหลงใหลอย่างที่สุดคือ Ample Make This Bed [เป็นชื่อกลอนที่ Stingo อ่านจากหนังสือของ Emily Dickinson (1830–1886) รวบรวมอยู่ใน Complete Poems (1924)] มองเห็นความทรงจำครั้นวันวานที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมาน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดติดไว้ชั่วนิรันดร์ ผ่อนลมหายใจออกเบาๆเพื่อผ่อนคลาย แสงแดดยามเช้าสาดส่องทำให้ต้องเริ่มต้นวันใหม่เสมอ
“AMPLE make this bed.
Make this bed with awe;
In it wait till judgment break
Excellent and fair.Be its mattress straight
Be its pillow round;
Let no sunrise’ yellow noise
Interrupt this ground.”
อดีตคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นตัวเราในปัจจุบัน คนที่ทั้งชีวิตพบเจอแต่ความสุขสำราญ สะดวกสบาย ย่อมไม่มีทางเข้าใจถึงบุคคลที่เคยตกทุกข์ทรมานยากแค้น ต้องต่อสู้ดิ้นรนกว่าจะมีชีวิตจนถึงวันนี้
ทุกครั้งที่ผมตกหลุมรักใครสักคน (หรือชมภาพยนตร์สักเรื่อง) ก็เหมือน Stingo อยากรับรู้เบื้องหลังทุกสิ่งของเธอ เคยพานพบประสบเจออะไรมาบ้าง กลายเป็นคนแบบนี้เพราะอดีตมีชีวิตอย่างไร สุข-ทุกข์ สำราญ-เศร้า การได้มีโอกาสเข้าใจเสมือนจักกลายเป็นส่วนหนึ่งในความห้องแห่งความลับ มีเพียงสองเราเท่านั้นที่รู้จักตัวตนของกันและกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะกว่าใครสักคนจะยินยอมเปิดเผยสิ่งนั้นออกมา แค่ว่าเมื่อไหร่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ ก็แสดงว่าต่างเกิดความศรัทธา เชื่อมั่นแรงกล้า พบเห็นคุณค่าความสำคัญของกันและกันที่สุดแล้ว
สิ่งที่ Sophie ค่อยๆเปิดเผยเล่ากล่าวออกมาให้ Stingo ได้รับฟัง ทำให้เขาได้เติบโตขึ้นด้วยความเข้าใจ ความรักที่ค่อยๆได้รับการเติมเต็ม แต่ขณะเดียวกันสำหรับตัวเธอ มันกลับค่อยๆกัดกร่อนกินบ่อนทำลาย ทั้งๆที่ Trauma นั้นควรจะค่อยๆจางหาง ยิ่งเด่นชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อครั้งนั้นเธอได้เลือกในสิ่งที่ไม่มีใครเลือกได้ ตราบาปที่คือแผลเป็นไม่วันรักษาหาย แค่หวนระลึกพูดเล่าออกมานี้ก็ยากเกินกว่าจะทำใจ Sex สำหรับเธอคือคำขอบคุณที่ยินยอมรับฟัง มิใช่จาก Passion ความต้องการเหมือนที่ชายหนุ่มมี
โศกนาฎกรรมตอนจบเป็นสิ่งที่หลายคนอาจคาดเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเกิด มันไม่มีทางที่ชีวิตของพวกเขาจะสามารถสุขสมหวังได้ครองคู่ แผลเป็นจากตราบาปแพร่ขยายลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ที่ยังยื้อไว้อยู่เพราะได้รับการเยียวยารักษาแผลใจเป็นอย่างดี อย่างน้อยที่สุดแล้วในชีวิตของ Sophie การได้พบเจอบุคคลที่เห็นคุณค่าความสำคัญของตนเอง ยังเป็นที่รักแม้จะพบพานมีอดีตที่เลวร้าย มันก็เหลือเฟือเพียงพอให้จากโลกนี้ไปสู่สุขคติ
ผมเคยเจอคำถามเชิงปรัชญาลักษณะ Sophie’s Choice มาหลายครั้งทีเดียว ผู้คนส่วนใหญ่มักจมปลักอยู่ที่ ถ้าต้องเลือกระหว่างใครสักคนหนึ่งก็ต้องเลือกใครคนหนึ่ง ทุกอย่างมันมีทางเลือกสามสี่ห้าอยู่เสมอถ้าเราสามารถมองออกมานอกกรอบได้ ในกรณีนี้ถ้าผมเป็น Sophie อาจจะเลือกขอยอมตายแทนลูกทั้งสอง หรือไม่ก็ทั้งสามแม่ลูกพากันเดินเข้าห้องรมแก๊สพิษ การต้องตัดสินใจเสียสละใครสักคนหนึ่ง มันย่อมกลายเป็นตราบาปฝังใจต่ออีกฝ่ายที่รอดชีวิตและผู้เลือก แบบนั้นการมีชีวิตอยู่คงไม่มีคุณค่าประโยชน์สักเท่าไหร่ ฟังดูมันอาจเห็นแก่ตัวไปสักนิด แต่ในสถานการณ์ไร้ซึ่งความหวังเช่นนี้ นี่อาจเป็นการกระทำที่มีมนุษยธรรมที่สุดแล้วก็เป็นได้
เราสามารถเปรียบการเลือกของ Sophie’s Choice ในครั้งนั้น ได้กับการเลือกครองรักในครั้งนี้ มีลักษณะสะท้อนตรงข้ามกันเลยละ
– ครั้งนั้นถูกบีบบังคับกดดัน เลือกไม่ได้ ไม่อยากเลือก แต่ต้องเลือก
– ครั้งนี้ไม่มีใครกดดัน ไม่จำเป็นต้องเลือกก็ได้ แต่ตัดสินใจเลือกคนหนึ่ง
การเลือกครั้งหลังด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างจากครั้งแรก เสมือนว่าเป็นการแก้ต่าง/แก้ตัวเอง ให้สามารถตัดสินในสิ่งที่ใจของตนเองต้องการจริงๆ แม้หลายคนอาจมองว่า ความรักแม่-ลูก กับ หญิงสาว-ชายหนุ่ม มันมีความแตกต่างกัน แต่ก็ใช้คำเรียก ‘ความรัก’ ได้เหมือนกัน
กระนั้นใจความของ Sophie’s Choice ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการเลือก แต่ยังคือทำความเข้าใจเหตุผลของการเลือก ในบางครั้งอาจมีสิ่งที่เลือกได้ เลือกไม่ได้ อยากเลือก ไม่อยากเลือก ไม่จำเป็นต้องเลือก ครบเครื่องเรื่องการเลือก … แล้วเลือกอะไรละ?
Stingo มีความเพ้อฝันอยากเป็นนักเขียน, Nathan มโนว่าจะคว้ารางวัล Nobel Prize (นี่ความฝันของผู้เขียน Styron เลยหรือเปล่าเนี่ย!), ขณะที่ Sophie ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าพบเจอลูกรักของตนเองอีกสักครั้ง, แม้ชีวิตของพวกเขาส่วนใหญ่จะมิอาจประสบพบเจอความสำเร็จนั้น แต่ก็ได้ฝากฝังความหวังถึงอีกบุคคลหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ ส่งต่อทุกสิ่งอย่างแล้วตัดสินใจเลือกลาจากไป
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกชีวิตให้เดินทางตามความฝัน ความต้องการ หรือแม้แต่ความตายของตนเองก็ยังได้”
ด้วยทุนสร้าง $12 ล้านเหรียญ ทำเงินได้ในอเมริกา $30 ล้านเหรียญ, เข้าชิง Oscar 5 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
– Best Actress (Meryl Streep) ** คว้ารางวัล
– Best Cinematography
– Best Costume Design
– Best Original Score
– Best Adapted Screenplay
เกร็ด: ตอน Streep ขึ้นรับรางวัลจาก Sylvester Stallone (ปีก่อน Stallone ไม่ได้คว้า Oscar: Best Actor แต่มาแทน Henry Fonda ที่เสียชีวิตจากไปแล้ว) เธอทำโพยที่เตรียมไว้หล่นพื้น น่าจะเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์เลยกระมัง
ส่วนตัวคลั่งไคล้การแสดงของ Meryl Streep เป็นอย่างยิ่ง แบกหนังไว้คนเดียวอย่างหนักอึ้งแบบสบายๆหายห่วง แต่ก็ทำให้อย่างอื่นของหนังไร้ซึ่งความสนใจไปเลย แถมคุณภาพยังทัดเทียมกันไม่ได้สักนิด โดยรวมก็เลยเหลือเพียงชื่นชอบหนัง
แนะนำกับคอหนังดราม่า โรแมนติก รักสามเส้า, นักสังคมสงเคราะห์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา ทำความเข้าใจปัญหาของตัวละคร, แฟนๆผู้กำกับ Alan J. Pakula และนักแสดง Meryl Streep, Kevin Kline ไม่ควรพลาด
จัดเรต 15+ กับความบ้าคลั่งเสียสติแตก
Leave a Reply