The Birds

The Birds (1963) hollywood : Alfred Hitchcock ♥♥♥♡

(16/7/2024) Alfred Hitchcock คือผู้ดีอังกฤษ ได้รับการปลูกฝังว่าหญิงสาวต้องรักนวลสงวนตัว เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ แต่เมื่อพบเจอสาวผมบลอนด์ (Hitchcock Blonde) พฤติกรรมสำส่อน นิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ เลยเต็มไปด้วยอคติ ชอบจิกกัด โจมตี คุกคามทางเพศ นี่คือสิ่งบังเกิดขึ้นกับ Tippi Hedren ทั้งชีวิตจริงและภาพยนตร์ The Birds (1963)

He suddenly grabbed me and put his hands on me. It was sexual, it was perverse, and it was ugly, and I couldn’t have been more shocked or repulsed… He’d find some way to express his obsession with me, as if I owed it to him to reciprocate somehow.

It was the early 1960s. Sexual harassment and stalking were terms that didn’t exist back then… Studios were the power. And I was at the end of that, and there was absolutely nothing I could do legally whatsoever. There were no laws about this kind of a situation. If this had happened today, I would be a very rich woman.

Tippi Hedren กล่าวถึงพฤติกรรมในกองถ่ายของผู้กำกับ Alfred Hitchcock

เมื่อตอนสรรค์สร้าง Psycho (1960) มีการเปรียบเทียบหญิงสาว = นกสตัฟฟ์ สัตว์สัญญะที่มีความงดงาม น่าหลงใหล เหมือนจะไร้พิษภัย แต่การโบยบินอย่างอิสรภาพ ทำให้มีความเย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตัวเอง ครุ่นคิดว่าฉันสามารถทำอะไรๆได้ทุกสิ่งอย่าง นั่นสร้างความหวาดกลัวต่อบุรุษ จักสูญเสียการควบคุม ครอบงำ พวกเธอเหล่านั้นจึงสมควรถูกจับกุม คุมขัง เก็บเอาไว้ในเรือนจำ ฆ่าให้ตกตายแล้วสตัฟฟ์สัตว์เก็บรักษาเอาไว้

คำกล่าวหาของ Tippi Hedren บางคนอาจไม่เชื่อ พูดมาลอยๆ ไร้หลักฐาน คุณยายเพียงต้องการร่วมกระแส #MeToo แต่คนเคยรับชมผลงานของผกก. Hitchcock แล้วศึกษาค้นคว้า ขบครุ่นคิดวิเคราะห์ ย่อมสามารถตระหนักถึงความเป็นไปได้ น่าจะเคยทำอะไรอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำ Ingrid Bergman, Grace Kelly ขึ้นอยู่ว่าคุณจะ “กล้า” จินตนาการหรือไม่เท่านั้นเอง

ผมเคยมีความหลงใหลคลั่งไคล้ The Birds (1963) จากความหลอกหลอน หวาดสะพรึง Visual Effect ตื่นตระการตา แต่การได้เข้าใจเนื้อหา วิเคราะห์สัตว์สัญญะ และรับรู้พฤติกรรมแย่ๆในกองถ่าย กลับกลายเป็นอคติ ต่อต้าน สูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวผกก. Hitchcock มาเสียคนอะไรตอนแก่

เกร็ด: ผมหาข้อมูลไม่ได้ว่าใครคือผู้ออกแบบโปสเตอร์หนัง แต่บุคคลที่ถูกฝูงนกรุมจิกกัดหาใช่ Tippi Hedren (เพียงรูปเล็กๆตรงขวาล่าง) กลับคือ Jessica Tandy ระหว่างฝูงนกบุกเข้ามาในบ้านผ่านปล่องไฟ


Sir Alfred Joseph Hitchcock (1899-1980) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ เจ้าของฉายา ‘Master of Suspense’ เป็นชาวอังกฤษ เกิดที่ Leytonstone, Essex ครอบครัวเปิดกิจการร้านขายของชำ (grocery shop) ช่วงวัยเด็กมีความสนใจภูมิศาสตร์ แผนที่ ขบวนรถไฟ ใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกร เข้าศึกษาภาคค่ำยัง London County Council School of Engineering and Navigation แต่พอบิดาเสียชีวิต เลยต้องแบ่งเวลามาทำงานเสมียนบริษัทโทรเลข Henley Telegraph and Cable Company, หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มมีความสนใจด้านการเขียน กลายเป็นบรรณาธิการรุ่นก่อตั้ง The Henley Telegraph ก่อนย้ายมาแผนกโฆษณา ทำให้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ ‘Motion Picture’ เกิดความชื่นชอบหลงใหล Der müde Tod (1921) ของผู้กำกับ Fritz Lang

ต่อมายื่นใบสมัครเข้าทำงานสตูดิโอ Famous Players–Lasky เปิดสาขาใหม่ที่ London เริ่มจากเป็นนักออกแบบ Title Card, ร่วมเขียนบท, ออกแบบศิลป์, ผู้จัดการกองถ่าย, ผู้ช่วยตัดต่อ ฯ เรียนรู้งานแทบจะทุกสิ่งอย่าง ไต่เต้าสู่ผู้ช่วยผู้กำกับ Woman to Woman (1923), ได้รับโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก The Pleasure Garden (1925), แจ้งเกิดกับ The Lodger: A Story of the London Fog (1927), ผลงานโดดเด่นในยุคแรกๆ อาทิ Blackmail (1929), The Man Who Knew Too Much (1934), The 39 Steps (1935), The Lady Vanishes (1938), จากนั้นเซ็นสัญญา(ทาส)โปรดิวเซอร์ David O. Selznick ออกเดินทางสู่ Hollywood สรรค์สร้างผลงานเด่นๆ Rebecca (1940), Spellbound (1945), Notorious (1946), Stranger on a Train (1951) ฯ

ผกก. Hitchcock เซ็นสัญญาสตูดิโอ Paramount Pictures ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 สรรค์สร้างผลงานโลกตะลึงอย่าง Rear Window (1954), To Catch a Thief (1955), The Trouble with Harry (1955), The Man Who Knew Too Much (1956), Vertigo (1958), North by Northwest (1959), Psycho (1960) และเรื่องสุดท้าย The Birds (1963) ก่อนย้ายไปปักหลัก Universal Studios

สำหรับ The Birds คือเรื่องสั้นจากหนังสือ The Apple Tree: A Short Novel and Several Long Stories (1952) [ปัจจุบันชื่อเปลี่ยนเป็น The Birds and Other Stories ตามกระแสภาพยนตร์] แต่งโดย (Dame) Daphne du Maurier (1907-89) นักเขียนสัญชาติอังกฤษ ก่อนหน้านี้ผกก. Hitchcock เคยดัดแปลงนวนิยาย Jamaica Inn และ Rebecca

เรื่องราว(ในเรื่องสั้น)เกี่ยวกับทหารผ่านศึกได้รับบาดเจ็บกลายเป็นคนพิการ ทำงานพาร์ทไทม์ยังฟาร์มเกษตรกรรมริมชายฝั่ง Cornish แล้ววันหนึ่งสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆของฝูงนก พุ่งโจมตี กระทำร้ายมนุษย์ จึงพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องครอบครัว … นัยยะของเรื่องราวสะท้อนประสบการณ์ชาวอังกฤษ ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เปรียบเทียบการโจมตีของฝูงนก = การรุกรานทางอากาศ/เครื่องบินรบเยอรมัน

เหตุผลที่ผกก. Hitchcock จู่ๆมีความสนใจโปรเจค The Bird เพราะได้ยินข่าวเกี่ยวการโจมตีของฝูงนกที่เมืองริมทะเล Capitola, California เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ยุคสมัยนั้นยังไม่มีใครรับรู้สาเหตุว่าพวกมันเป็นบ้าอะไร? แต่ภายหลังค้นพบสาหร่าย/แพลงก์ตอนพืชที่สามารถสร้างสารชีวิพิษ สัตว์ในแหล่งน้ำสามารถรับประทานปกติ แต่นก/สัตว์ใหญ่ที่กินปลา กินหอย กินสัตว์น้ำเหล่านั้น จักได้รับสารปนเปื้อน แสดงอาการสับสน มึนงง ในปริมาณมากอาจชักกระตุก และอาจถึงขั้นเสียชีวิต … ไม่ใช่ว่าฝูงนกโจมตีมนุษย์ แต่เพราะไม่สามารถกำหนดทิศทางการบิน เลยพุ่งชนโน่นนี่นั่น ตกลงมาตายก็มี

LINK: https://www.livescience.com/17713-hitchcock-birds-movie-algae-toxin.html


ในตอนแรกผกก. Hitchcock อยากมอบหมายการพัฒนาบทให้กับ Joseph Stefano ที่เคยร่วมงาน Psycho (1960) แต่เจ้าตัวติดพันโปรเจคอื่นไปเสียแล้ว เลยเปลี่ยนมา Evan Hunter (1926-2005) นักเขียนนิยายอาชญากรรม ที่เคยร่วมรายการโทรทัศน์ Alfred Hitchcock Presents (1955-65) ให้คำแนะนำว่าไม่ต้องไปสนใจอะไรเรื่องสั้น แค่คงชื่อหนัง และแนวคิดการโจมตีของนกโดยไม่ทราบสาเหตุ รายละเอียดอื่นๆอย่างตัวละคร พล็อตเรื่องราว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หมด! … แน่นอนว่าย่อมสร้างความไม่พึงพอใจต่อผู้แต่ง Daphne du Maurier แต่ก็ไม่สามารถโต้ตอบอะไร

เกร็ด: ความสัมพันธ์ระหว่างผกก. Hitchcock และนักเขียน Evan Hunter ได้ถูกสร้างเป็นสารคดีชีวประวัติ Me and Hitch (1997) มีรายละเอียดระหว่างการพัฒนาบท The Bird (1963) เผื่อใครสนใจ

Hunter เริ่มต้นพัฒนาบทหนังตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1961 โดยมีพื้นฐานถึงชาวเมืองริมชายฝั่งแห่งหนึ่ง ได้เคยกระทำสิ่งเลวร้ายบางอย่าง (Guilty Secret) พยายามปกปิดซุกซ่อนเร้น ก่อนค่อยๆถูกค้นพบโดยครูสอนหนังสือที่เพิ่งย้ายมาใหม่ พร้อมๆกับเหตุการณ์ฝูงนกโจมตี ลงทัณฑ์ ด้วยจุดประสงค์เข่นฆ่าล้างแค้น(ชาวเมือง)กระมัง

บทของ Hunter มีความเยิ่นเย้อยืดยาว จนผกก. Hitchcock ต้องขอคำปรึกษาจาก Hume Cronye (สามีของ Jessica Tandy) และนักเขียน V. S. Pritchett ทำการตัดทิ้งสิบหน้าสุดท้าย ซึ่งหมายความว่ามีบทสรุป/ตอนจบที่ชัดเจนกว่าพบเห็นในหนัง … ข้อความตอนจบเลยขึ้นว่า The Birds ไม่ใช่ The End


เรื่องราวเริ่มต้นที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง ณ San Francisco, หญิงสาวไฮโซ Melanie Daniels (รับบทโดย Tippi Hedren) พบเจอทนายหนุ่ม Mitch Brenner (รับบทโดย Rod Taylor) อ้างว่าต้องการซื้อนกเลิฟเบิร์ด (Lovebird) เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดน้องสาว เธอจึงแสร้งว่าทำงานเป็นพนักงานขาย ให้คำแนะนำโน่นนี่นั่น แต่แท้จริงแล้วเขารับรู้ว่าเธอคือใคร จงใจกลั่นแกล้งเล่นเช่นเดียวกัน

ด้วยความอาฆาตแค้นของ Melanie จึงตัดสินใจสืบเสาะค้นหา จนรับรู้ว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่แห่งหนไหน ซื้อนกเลิฟเบิร์ด แล้วออกเดินทางสู่ Bodega Bay เพื่อทำการเอาคืน เซอร์ไพรส์ แล้วด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ จู่ๆถูกนกโจมตี ค่อยๆมาทีละตัวละสองตัว ก่อนติดตามมาเป็นฝูงใหญ่ เธอและเขาจะสามารถหาหนทางเอาตัวรอดจากสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่?


Nathalie Kay ‘Tippi’ Hedren (เกิดปี ค.ศ. 1930) นักแสดง/นางแบบ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New Ulm, Minnesota พออายุ 20 เดินทางสู่ New York กลายเป็นนางแบบขึ้นหน้าปกนิตยสารดังๆอย่าง Life, Glamour ฯ ค้นพบโดยผู้กำกับ Alfred Hitchcock จากโฆษณาเครื่องดื่มไดเอท Sego จับเซ็นสัญญาเจ็ดปี ทีแรกครุ่นคิดว่าคงมีผลงานรายการโทรทัศน์ Alfred Hitchcock Presents แต่กลายเป็นรับบทนำภาพยนตร์ The Birds (1963)

รับบทไฮโซสาว Melanie Daniels บิดาเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ชื่อดัง วันๆว่างๆ ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้เป้าหมาย แต่หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวที่ยุโรป จึงต้องการทำอะไรสักอย่าง แสร้งว่าเดินทางทำงาน เพื่อให้รู้สึกตนเองมีคุณค่าขึ้นมาบ้าง

วันหนึ่งจับพลัดจับพลู ถูกกลั่นแกล้งโดยทนายความ Mitch Brenner ต้องการแก้เผ็ดด้วยการแสร้งเป็นพนักงานส่งของ นำนกเลิฟเบิร์ดไปส่งให้ถึงบ้าน ณ Bodega Bay แต่ถ้ามองในมุมคนนอก การกระทำของเธอไม่ต่างจากหนีตามผู้ชาย สร้างความเคลือบแคลง หวาดระแวง ฉงนสงสัย ทำให้มารดา(ของ Mitch) ไม่ต้องการให้พวกเขาครองคู่รัก ถึงอย่างนั้นระหว่างภัยพิบัตินก สิ่งซุกซ่อนอยู่ภายในจึงได้รับการเปิดเผยออกมา

ด้วยความที่ Hedren ไม่เคยมีประสบการณ์ภาพยนตร์มาก่อน จึงมุ่งมั่น ทุ่มเท ตั้งใจทำงาน ปฏิบัติตามคำสั่งทุกสิ่งอย่าง เลยไม่แปลกจะได้รับความเอ็นดูจากผกก. Hitchcock ไม่เพียงตั้งชื่อให้ Tippi ยังใช้ข้ออ้างโน่นนี่นั่นในการปรนเปรอนิบัติ ทั้งด้านการแสดง รวมถึงการใช้ชีวิตจริง แต่งองค์ทรงเครื่อง เสี้ยมสอนเรื่องแฟชั่น รสนิยมอาหาร ไวน์ วิธีเข้าสังคมอะไรยังไง … แบบเดียวกับ Vertigo (1958) ที่ตัวละคร Scottie แต่งองค์ทรงเครื่องแฟนสาว Judy Barton ให้กลายเป็น Madeleine 

Hitch always liked women who behaved like well-bred ladies. Tippi generated that quality.

ผู้กำกับศิลป์ Robert F. Boyle

I probably learned in three years what it would have taken me 15 years to learn otherwise.

Tippi Hedren

อาจเพราะเคยเป็นนางแบบ/โมเดลลิ่งมาก่อน Hedren จึงมีภาพลักษณ์สาวไฮโซ ผู้ดีมีสกุล รู้จักวางท่วงท่า แสดงสีหน้า ส่งสายตา น้ำเสียงฟังดูเย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตนเอง ครุ่นคิดว่าฉันสามารถทำอะไรๆได้ทุกสิ่งอย่าง จึงไร้ความหวาดกลัวเกรง (คือได้รับความเชื่อมั่นจากผกก. Hitchcock เลยไม่มีความหวาดกลัวเกรงใดๆ) ร่างกายอาจไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ไม่มีใครหรือฝูงนกจะสั่นคลอนความเชื่อมั่น ขัดขวางสิ่งที่ฉันอยากกระทำ อุปนิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเองยิ่งนัก! … ก็ไม่รู้เอาชนะใจมารดาของ Mitch ได้อย่างไร?

สิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์การแสดงของ Hedren คือบรรดา Re-Action Shot ถ่ายทอดปฏิกิริยาสีหน้า ความประทับใจต่อสิ่งพบเห็น ช่วงครึ่งแรกเต็มไปด้วยความระริกระรี้ อยากรู้อยากเห็น เรียกร้องความสนใจต่อคู่อาฆาต แต่หลังจากประสบภัยพิบัติ โดนโจมตีจากฝูงนก แม้พอมีความตกอกตกใจอยู่บ้าง สภาพจิตใจกลับเข้มแข็งแกร่ง ราวกับเฝ้ารอคอยเหตุการณ์วันสิ้นโลกมาถึงโดยเร็วไว

นักวิจารณ์ต่างให้การยกย่องสรรเสริญ Hedren ได้รับการเปรียบเทียบตัวตายตัวแทน Grace Kelly (ตอนถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร Look ก็มีปรากฎข้อความ “Hitchcock’s New Grace Kelly”), ช่วงปลายปีสามารถคว้ารางวัล Golden Globe Award: New Star of the Year (เคียงข้างกับ Elke Sommer และ Ursula Andress) และตัวละครนี้ได้รับการจัดอันดับ #86 จากนิตยสาร Premiere: 100 Greatest Movie Characters of All Time (2016)

Tippi has a faster tempo, city glibness, more humor [than Grace Kelly]. She displayed jaunty assuredness, pertness, an attractive throw of the head, and she memorized and read lines extraordinarily well and is sharper in expression.

Alfred Hitchcock กล่าวชื่นชมทักษะการแสดงของ Tippi Hedren

Aside from the birds, the film belongs to Hedren, who makes an auspicious screen bow. She virtually has to carry the picture alone for the first 45-minute stretch, prior to the advent of the first wave of organized attackers from the sky. Miss Hedren has a star quality and Hitchcock has provided her with a potent vehicle to launch her career.

นักวิจารณ์จากนิตยสาร Variety

ความลุ่มหลงในตัว Hedren ของผกก. Hitchcock สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนในกองถ่าย Rod Taylor เล่าว่าแทบทุกวันได้ยินเสียงสั่งห้าม “Don’t touch the girl” ไม่อนุญาตให้พูดคุย สัมผัสแตะเนื้อต้องตัว มีบอดี้การ์ดคอยประกบ แทบไม่หลงเหลือความเป็นส่วนตัว

Hitch was becoming very domineering and covetous of ‘Tippi’, and it was very difficult for her. No one was permitted to come physically close to her during the production. ‘Don’t touch the girl after I call “Cut!”‘ he said to me repeatedly.

Rod Taylor สังเกตพฤติกรรมผิดปกติของผู้กำกับ Alfred Hitchcock ในกองถ่าย The Birds (1963)

ระหว่างการถ่ายทำผกก. Hitchcock ยังไม่อนุญาตให้ Hedren พบเจอบุตรสาว Melanie Griffith โดยใช้ข้ออ้างเพื่อโฟกัสกับการแสดง อีกทั้งวันเกิดครบรอบหกขวบ ยังส่งของขวัญเป็นโลงศพขนาดเล็ก พร้อมหุ่นขี้ผึ้งปั้นหน้าเหมือนมารดาอยู่ในนั้น … ชีวิตจริงไม่ต่างจากภาพยนตร์

แม้ในกองถ่าย The Birds (1963) ยังไม่การคุกคาม(ทางเพศ)เกิดขึ้น ทำให้ Hedren ยินยอมตอบตกลงร่วมงาน Marnie (1964) แต่เรื่องนั้นมีเหตุการณ์คาดไม่ถึงเกิดขึ้นหลายอย่าง นำสู่จุดแตกหัก มองหน้ากันไม่ติด … โปรดติดตามตอนต่อไป


ขอกล่าวถึงสูทเขียวของ Melanie (สีเดียวกับนกเลิฟเบิร์ด) ที่กลายเป็น ‘Iconic’ (จริงๆเธอยังสวมอีกชุดตอนต้นเรื่อง แต่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ออกแบบตัดเย็บโดย Edith Head ซึ่งเธอให้คำเรียก Eau de Nil Suit (ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า Water of the Nile มันคือสีของแม่น้ำไนล์กระมัง?) คนละชุดกับตอนที่ Grace Kelly สวมใส่ในภาพยนตร์ Rear Window (1954) แต่มีความทรงเสน่ห์ไม่แพ้กัน เท่ห์และบริสุทธิ์ ใช้ทั้งหมด 6 ชุด (เพราะมักเปลอะเปลื้อนจากการถูกนกโจมตี)

Green to Hitchcock evoked a chaste, cool quality, setting Melanie apart from the Bodega Bay residents

Edith Head

เกร็ด: ในบทสัมภาษณ์ของ Edith Head ยังบอกว่าสีเขียว ‘Eau de Nil’ คือสีโปรดปรานของผกก. Hitchcock

Rodney Sturt Taylor (1930-2015) นักแสดงสัญชาติ Australian เกิดที่ Lidcombe, New South Wales โตขึ้นเข้าเรียนศิลปะ East Sydney Technical and Fine Arts College จบออกมาทำงานโฆษณา ก่อนเปลี่ยนความสนใจสู่การแสดงหลังมีโอกาสรับชม Laurence Olivier โปรดักชั่น Richard III ที่เดินทางมาแสดงยัง Australia, เริ่มทำงานวิทยุ ละคอนเวที ภาพยนตร์เรื่องแรก King of the Coral Sea (1954), ออกเดินทางสู่ Hollyood รับบทสมทบ Giant (1956), Separate Tables (1958), รับบทนำ The Time Machine (1960), โด่งดังที่สุดกับ The Birds (1963), และบทบาทสุดท้ายรับเชิญ Inglourious Basterds (2009)

รับบททนายหนุ่ม Mitch Brenner อดีตคนรักของ Annie Hayworth เลิกรากันเพราะมารดาขี้หึงหวง ปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาเกาะกินบุตรชาย, ในตอนแรกแค่เพียงหยอกล้อเล่นกับ Melanie Daniels ไม่ได้ชอบขี้หน้าเพราะชื่อเสียงเสียๆหายๆ แต่รู้สึกอึ้งทึ่ง ประทับใจความพยายามของเธอ อุตส่าห์นำของขวัญมามอบให้น้องสาว แล้วพอทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ความรักจึงเบ่งบานอย่างคาดไม่ถึง

ในตอนแรกผกก. Hitchcock เคยอยากได้ Cary Grant ไม่ก็ Sean Connery แต่ทั้งสองต่างเรียกค่าตัวสูง และครุ่นคิดว่าแค่ชื่อหนังและเครดิตของตนเอง ก็น่าจะเพียงพอสร้างความสนใจให้กับผู้ชม เลยมองหานักแสดงเกรดรองลงมา

ผมไม่ค่อยรู้สึกว่า Taylor เป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์อะไร ความสามารถพอไปวัดไปวา เพียงภาพลักษณ์มาดแมน พ่อหนุ่มคาวบอย ดูเย่อหยิ่ง ทะนงตน ลุ่มหลงตนเอง เชื่อมั่นว่าเก่ง ยึดถือในความถูกต้อง ‘Self-Righteous’ พอมีด้านอ่อนไหวอยู่เล็กๆ แต่ความสัมพันธ์กับมารดา ไม่ได้รู้สึกว่าถูกควบคุมครอบงำ เข้มแข็งพอที่จะครุ่นคิด ตัดสินใจ ทำอะไรๆด้วยตนเอง (โดยไม่พึ่งพามารดา)

นี่เป็นตัวละครตรงไปตรงมา ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรใดๆ นอกจากมุมมองต่อหญิงสาวที่ปรับเปลี่ยนแปลงไป (จากเคยมีอคติกลายเป็นตกหลุมรัก) เพียงสำแดงความเป็นลูกผู้ชาย เข้มแข็งแกร่ง พึ่งพาได้ ไม่สำแดงด้านอ่อนแอ หรืออาการหวาดกลัวฝูงนกแม้แต่น้อย


Jessica Alice Tandy (1909-94) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ Triple Crown of Acting (คว้ารางวัลการแสดงจากสามถาบัน Oscar, Tony, Emmy) เกิดที่ Hackney, London พออายุ 18 เข้าสู่วงการละคอนเวที ประกบคู่กับ Laurence Olivier และ John Gielgud ได้อย่างยิ่งใหญ่ หลังล้มเหลวจากชีวิตแต่งงาน ตัดสินใจออกเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา โด่งดังจากละคอนเวที A Streetcar Named Desire (1947)**คว้ารางวัล Tony Award: Best Actress in Play, แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The Seventh Cross (1944), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Birds (1963), The World According to Garp (1982), Cocoon (1985), มินิซีรีย์ Foxfire (1987)**คว้ารางวัล Emmy Award: Outstanding Lead Actress in a Miniseries of a Movie, Driving Miss Daisy (1989)**คว้ารางวัล Oscar: Best Actress, Fried Green Tomatoes (1991), Nobody’s Fool (1994) ฯ

รับบท Lydia Brenner มารดาของ Mitch แรกพบเจอ Melanie Daniels จับจ้องมองหน้า ตาไม่กระพริบ เต็มไปด้วยอคติ อาฆาตมาดร้าย ไม่ต้องการให้หญิงคนไหนเคียงข้างบุตรชาย พยายามทำตัวเข้มแข็งแกร่ง ใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม แต่หลังจากถูกนกโจมตี พบเห็นเพื่อนบ้านเสียชีวิต เกิดอาการหวาดกลัวตัวสั่น ไม่สามารถควบคุมตนเอง จึงเริ่มยินยอมรับในความเข้มแข็งของ Melanie

แซว: บางคนรับรู้สึกว่า Jessica Tandy ยังดูสวยสาว วัยกลางคน ไม่น่าจะสามารถเป็นมารดาของ Rod Taylor แต่ทั้งสองอายุห่างกัน 21 ปี! … จริงๆควรมองว่า Taylor ดูแก่เกินอายุมากกว่า

ผมมีภาพจำ Tandy จากภาพยนตร์ Driving Miss Daisy (1989) หญิงสูงวัยที่มีความเย่อหยิ่ง ทะนงตน หัวสูงส่ง ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ชอบยุ่งวุ่นวายกับใคร แต่บทบาทตอนสาวๆเห็นว่าโคตรจัดจ้าน แรดร่าน เคยเล่นเป็นฆาตกร ตัวละครโรคจิต กระทำสิ่งวิปริตมากมาย บทบาทมารดาจอมบงการ Lydia ช่างดูหน่อมแน้ม ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เพียงกลัวการอยู่ตัวคนเดียว เปล่าเปลี่ยวจิตวิญญาณ จึงพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อควบคุมครอบงำบุตรชาย สำแดงความอิจฉาริษยาผู้หญิงอื่น ปกปิดด้านอ่อนแอที่อยู่ภายในจิตใจ


Suzanne Pleshette (1937-2008) นักแสดงหญิง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish อพยพจาก Russia และ Austria-Hungary มารดาคือนักเต้น Geraldine Rivers, ส่วนบิดาเป็นผู้จัดการโรงละคอน Paramount Theater, โตขึ้นฝึกฝนการแสดงยัง Neighborhood Playhouse School of the Theatre เริ่มมีแสดงละคอนเวที แจ้งเกิดกับภาพยนตร์ Rome Adventure (1962), The Birds (1963), แต่ผลงานเด่นๆกลับอยู่ฟากฝั่งละครโทรทัศน์ Dr. Kildare (1961-66), The Bob Newhart Show (1972-78) และ Leona Helmsley: The Queen of Mean (1990)

รับบท Annie Hayworth อดีตคนรักของ Mitch Brenner แต่เพราะความขัดแย้งกับแม่สะใภ้ Lydia มองหน้าไม่ถูกชะตา ความรักครั้งนี้จึงไม่สมหวัง ถึงอย่างนั้นเธอตัดสินใจอพยพย้ายสู่ Bodega Bay ทำงานเป็นครูสอนหนังสือ ขอแค่ได้อยู่เคียงชิดใกล้ ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น จนกระทั่งการมาถึงของ Melanie Daniels สร้างความอิจฉาริษยา แสดงออกทางสีหน้า ดวงตา พยายามสอดรู้สอดเห็น อยากเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์

Pleshette มีความต้องการอยากร่วมงานผกก. Hitchcock แม้เพียงตัวประกอบก็ยินยอมตอบตกลง ดั้งเดิมตัวละครนี้คือครูวัยกลางคน พอเปลี่ยนมาเป็นสาวแรกรุ่น เพิ่มเติมรายละเอียดพื้นหลังตัวละครจนมีความน่าสนใจ และสามารถขโมยซีนได้อย่างเต็มๆ

การแสดงของ Pleshette เต็มไปด้วยลับลมคมใน ปากพูดอย่าง แต่ภาษากายแสดงออกอีกอย่าง ยังคงห่วงโหยหาอดีตคนรัก เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาหญิงสาวคนใหม่ น่าเสียดายที่ตัวละครไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ตอนเขียนบท เลยไม่สามารถเติมเต็มรายละเอียดพื้นหลังที่เพิ่มเติมเข้ามา

เกร็ด: ผกก. Hitchcock ประทับใจการแสดงของ Pleshette จึงชักชวนให้มาร่วมงาน Marnie (1964) รับบทเป็นน้องสาวของ Sean Connery แต่เจ้าตัวตอบปฏิเสธเพราะอยากได้รับบทนำมากกว่า หลังจากนั้นเลยไม่มีโอกาสร่วมงานกันอีก!


ถ่ายภาพโดย Leslie Robert Burks (1909-68) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Chino, California พออายุ 19 เข้าทำงานแผนก Special Effect ในห้องแลป Warner Bros. ก่อนไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยตากล้องเมื่อปี ค.ศ. 1929, ควบคุมกล้อง ค.ศ. 1934, แล้วได้รับเครดิตถ่ายภาพตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944, ร่วมงานขาประจำผกก. Alfred Hitchcock เริ่มตั้งแต่ Strangers on a Train (1951) จนถึง Marnie (1964), คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Color ภาพยนตร์ To Catch a Thief (1955)

ผกก. Hitchcock ไม่นิยมชมชอบการถ่ายทำยังสถานที่จริงนัก จึงพยายามเร่งรีบถ่ายฉากภายนอกยัง Bodega Bay, California (เลือกสถานที่แห่งนี้เพราะทิวทัศน์ทะเลสาป สามารถล่องเรือข้ามฟาก) เสร็จแล้วหวนกลับมา Universal Studios ปักหลังอยู่โรงถ่าย 28 และ 44 ระหว่างวันที่ 5 มีนาคม – 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1962

เอาจริงๆงานภาพของหนัง ไม่ได้มีลูกเล่นระหว่างการถ่ายทำมากนัก ตามแบบฉบับ Hitchcockian ทั่วๆไป แต่ที่ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ คือบรรดาฉากนกโจมตีที่ต้องใช้กระบวนการ Visual Effect (ภายหลังการถ่ายทำ) จำนวน 370 ช็อต ผสมภาพนักแสดงกับฟุตเทจนกที่เตรียมเอาไว้ เพราะมันไม่มีทางที่จะสามารถฝึกฝนนกให้กระทำร้ายคนจริงๆได้ (ถึงต่อให้ทำได้ ก็ต้องพะวงเรื่องความปลอดภัยนักแสดงอีก)

เกร็ด: องค์กร American Society for the Prevention of Cruelty to Animals (ASPCA) เข้ามามีส่วนร่วมในทุกกระบวนการถ่ายทำ เพื่อไม่ให้เกิดการทารุณสัตว์ขึ้นในหนัง

นกที่พบเห็นในหนังมีทั้งนกปลอม (Mechanical Birds) หมดค่าจ้างประดิษฐ์สูงถึง $200,000 เหรียญ! แต่ส่วนใหญ่ที่ใช้คือนกจริงๆ จับจากธรรมชาติและซื้อร้านขายสัตว์ นำมาฝึกฝนโดยผู้เชี่ยวชาญ Ray Berwick และ John “Bud” Cardos จนสามารถนำมาเข้าฉากกว่า 3,200 ตัว (ผกก. Hitchcock เคยให้สัมภาษณ์ว่า อีกาฉลาดสุด, นกนางนวลชอบใช้ความรุนแรงที่สุด) พอถ่ายทำเสร็จก็ปลดปล่อยเป็นอิสระ

Some of the birds escaped and are now populating the San Fernando Valley. About 50 of the crows decided they liked it at Universal and made a perch on the tree outside Hitchcock’s bungalow, where they proceeded to go to the bathroom all over his car.

ผู้ช่วยตัดต่อ Bud Hoffman เล่าถึงฝูงนกหลังการถ่ายทำเสร็จ

แซว: Rod Taylor เล่าว่านกนางนวล (Seagulls) เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ทำให้เชื่องยาก ทีมงานจึงใช้ข้าวสาลีผสมกับวิสกี้ นั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้พวกมันเกาะกลุ่มร่วมกัน

ในส่วนของ Visual Effect ทีแรกผมครุ่นคิดว่าหนังอาจใช้เทคนิค Bluescreen สำหรับซ้อนภาพนักแสดงเข้ากับนกโจมตี แต่ปรากฎว่าเทคนิคที่ใช้กลับคือ Sodium Vapor Process (SVP) หรือเรียกย่อๆ Yellowscreen ประดิษฐ์คิดค้นโดย Wadsworth E. Pohl (1908-1990) วิศวกรจาก Technicolor สำหรับเป็นทางเลือกสำหรับภาพยนตร์ที่ไม่สามารถใช้ Bluescreen ก็เปลี่ยนมาใช้ Yellowscreen

วิธีการของ Yellowscreen (Sodium Vapor Process) ไม่ได้แตกต่างจาก Bluescreen เพียงเปลี่ยนให้นักแสดงถ่ายทำกับฉากขาว แต่ใช้แสงจากหลอดไฟ Sodium Vapor Light (มีสีเหลืองออกส้ม) ซึ่งจะทำให้สามารถแบ่งแยกพื้นหลัง นำมาซ้อนทับฟุตเทจถ่ายทำ หรือภาพวาด Matte Painting ได้ง่ายกว่า … ใครสนใจคำอธิบายละเอียดๆ หารับชมใน Youtube พร้อมภาพประกอบเสร็จสรรพได้เลยนะครับ

SVP เป็นเทคนิคยอดนิยมของสตูดิโอ Walt Disney ในช่วงทศวรรษ 60s โดยนักอนิเมเตอร์ Ub Iwerks และ Petro Vlahos เริ่มต้นทำการทดลองหนังสั้น Donald and the Wheel (1961), ภาพยนตร์ขนาดยาว The Parent Trap (1961), โด่งดังกับ Mary Poppins (1964)**คว้ารางวัล Honorary Oscar: Scientific and Technical Awards

เหตุผลที่ The Birds (1963) เลือกใช้เทคนิค Yellowscreen แทนที่จะเป็น Bluescreen เพราะการกระพือปีกของนกมีความรวดเร็ว ละเอียดอ่อน จึงต้องเลือกเทคนิคที่สามารถตอบสนองภาพดังกล่าวได้แนบเนียนกว่า และยังสามารถท้าทายขีดจำกัดโดยเฉพาะช็อตสุดท้ายของหนัง มีองค์ประกอบมากถึง 32 ส่วน!

Title Sequence ออกแบบโดย James S. Pollak พื้นหลังฉากขาว ตัดกับนกสีดำโบยบินไปมา (แต่ไม่ใช่นกจริงๆนะครับ คือภาพวาดอนิเมชั่น) ได้ยินเสียงนกร้อง กระพือปีก โบยบินไปมา ตัวอักษรสีท้องฟ้า ค่อยๆปรากฎ/เลือนหาย เหมือนถูกจิกกัดกิน สร้างความรู้สึกราวกับหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา

An avant-garde fantasia in and of itself. Against cold, white, abstract space, black crows flutter back and forth, out of focus as if seen alarmingly too close… Against the severity of deep black and blazing white, the titles’ very formal, slightly raised classical letters come up in cerulean blue — the lovely pastel of Renoir idylls and romantic hope, of the welcoming robe of merciful Mother Mary, and of the serene, cloudless sky that Hitchcock denies to Bodega Bay. But the hanging words and names nervously overlap and disintegrate, as if bitten to pieces by invisible beaks. The titles show a war between nature and culture, with the irrational and the primitive vanquishing human illusions.

Camille Paglia

ภาพแรกของหนัง (หลังจาก Opening Credit) ผกก. Hitchcock ทำการเลียนแบบโฆษณาเครื่องดื่มไดเอท Sego ของ Tippi Hedren (ที่ทำให้เธอได้รับบทบาทนี้) ระหว่างกำลังก้าวเดินได้ยินเสียงเด็กชายผิวปาก หันไปมอง ยิ้มให้ เพิ่มเติมคือติดตามด้วยเสียงนกกระพรือปีก นี่อาจจะสื่อความยั่วเย้ายวนของหญิงสาว (จนทำให้เด็กชายผิวปาก) คือหายนะกำลังจะบังเกิดขึ้น (เสียงนกกระพรือปีก)

แนวคิดเดียวกับ Psycho (1960) เพื่อไม่ให้ผู้ชมคอยจับจ้องมองหา ผกก. Hitchcock จึงรีบปรากฎตัว (Cameo) ตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง พร้อมจูงสุนัขสองตัวโปรด Geoffrey และ Stanley สายพันธุ์ Sealyham Terriers เดินออกจากร้านขายสัตว์เลี้ยงสวนทางกับ Melanie

Melanie พลั้งพลาดทำนกในกรงหลุดออกมา พยายามไล่จับแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่ง Mitch ใช้หมวกจับกุมโดยง่ายดาย ก่อนพูดประโยคที่แฝงความหมายน่าสนใจ “Back in your gilded cage, Melania Daniels.” นี่เป็นการเปรียบเทียบหญิงสาว Melanie = เจ้านกน้อยหลุดออกจากกรง สร้างความวุ่นวาย นำพาหายนะบังเกิดขึ้น แต่สุดท้ายจักถูกจับ ยัดกลับใส่กรง ทำให้เชื่อง/ศิโรราบโดยชายหนุ่ม Mitch … ถือเป็นการเกริ่นนำ อารัมบท ย่นย่อเรื่องราวทั้งหมดของหนัง

ทีแรกผมนึกว่าช็อตนี้เป็นการซ้อนภาพนกนางนวลโฉบเข้ามา ให้พอดิบพอดีกับการแสดงท่าทางของหญิงสาว แต่ปรากฏว่าใช้นกปลอมผูกติดกับลวดอยู่นอกเฟรม พอถึงคิวก็ปล่อยให้โฉบเฉี่ยวศีรษะของ Hedren พร้อมๆกับดึงเอาหน้าผมให้หลุดออก ดูแล้วน่าจะทำการซักซ้อมอยู่หลายรอบทีเดียว

Mitch Zanich เจ้าของภัตตาคาร Tides Restaurant (ขณะนั้น) ไม่ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆในการใช้สถานที่ถ่ายทำ เพียงข้อตกลงว่าต้องให้พระเอกชื่อ Mitch และตนเองได้รับเชิญพร้อมบทพูด “What happened, Mitch?” ก็คือชายสวมเสื้อคลุมสีเขียวคนนี้นี่แหละ

แรกพบเจอระหว่างมารดา Lydia และหญิงสาว Melanie ทั้งสองมีความละม้ายคล้าย และแตกต่างตรงกันข้าม

  • ใบหน้าของทั้งสองมีความละม้ายคล้ายกันอย่างมากๆ ทั้งทรงผม หน้าผากกว้าง เขียนคิ้วหางตก ดวงตาฟ้า จมูกโด่ง ชอบทำปากเผยอ … หลายคนอาจครุ่นคิดว่าทั้งสองเป็นพี่-น้อง ไม่ก็แม่-ลูก เสียด้วยซ้ำ
  • ส่วนความแตกต่างอยู่ในบริบทการถ่ายภาพ
    • Lydia กำลังยืน ภาพมุมเงย ไร้แสงสว่างจากด้านหลัง
    • Melanie นั่งเก้าอี้ ภาพมุมก้ม แสงฟุ้งๆสาดส่องเข้ามาจากภายนอก

Mitch ชักชวน Melanie มาร่วมรับประทานอาหารเย็น แต่กลับพบเห็นเพียงก่อนและหลัง กระโดดข้ามช่วงเวลารับประทานอาหาร ซะงั้น! และทั้งสองซีนต่างมีการใช้เทคนิค Deep Focus สังเกตว่ามารดาและแขกสาวไม่เคยอยู่ร่วมระยะเดียวกัน นั่นแสดงถึงการรักษาระยะห่าง ยังไม่ยินยอมรับตัวตนอีกฝ่าย

เกร็ด: บทเพลงที่ Melanie เล่นเปียโนนั้นคือ Debussy: Deux arabesques No.1 (1888)

รายละเอียด ‘mise-en-scène’ การสนทนาระหว่าง Melanie กับครูสอนหนังสือ Annie Hayworth มีหลายสิ่งอย่างที่น่าสนใจ, เริ่มต้นจาก Melanie เดินมานั่งจุ่มปุ๊กบนโซฟา (เพียงสลับเปลี่ยนมุมกล้องไปมา) รับฟังเรื่องราวของ Annie ที่เดินวนไปวนมารอบห้อง กล้องถ่ายติดสารพัดงานศิลปะของ Mondrian, Cezanne, Diego Rivera ฯ ซึ่งส่วนใหญ่คือ Abstract Art แสดงถึงรสนิยมชั้นสูง และความซับซ้อนของเรื่องราว/จิตใจ

จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลายสายคือ Mitch ต้องการพูดคุยกับ Melanie วินาทีนั้น Annie นั่งลงจุ้มปุ๊กบนโซฟาของ Melanie ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตร กล้องถ่ายภาพ ‘Deep Focus’ สร้างสัมผัสการแอบรับฟัง สอดรู้สอดเห็น เพราะอีกฝ่ายถือว่าเป็นศัตรูหัวใจ เลยไม่อยากให้คลาดสายตา

เอาจริงๆการสนทนาแค่ไม่กี่นาที ถ่ายทำยังสถานที่จริงก็ได้กระมัง ไม่ต้องมาลงทุนสร้างฉาก วาดภาพพื้นหลังกว้างใหญ่ไพศาล แต่สำหรับผู้ชมที่สามารถสังเกตความแตกต่าง การสนทนาระหว่าง Melanie กับ Mitch นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขายินยอมเปิดใจให้กัน ยินยอมรับฟังคำแก้ต่าง … ถ่ายทำภายในสตูดิโอ = การสนทนาเปิดใจ นี่ช่วงแถไถสีข้างสุดๆแล้วนะ

ขณะนี้แม้ว่า Melanie นั่งโซฟาเดียวกับมารดา Lydia แต่สังเกตว่าทั้งสองนั่งห่างกันเป็นโยชน์ คนละฟากฝั่ง(โซฟา) แถมยังคั่นแบ่งด้วย Mitch เลือกทิศทางมุมกล้องได้อย่างพอดิบพอดี และเด็กสาว Cathy นั่งฟากฝั่งเดียวกับ Melanie (จุดศูนย์กลางคือ Mitch) ก็แสดงว่าให้การสนับสนุนเธอ

การบุกเข้ามาของฝูงนกผ่านปล่องไฟ มันช่างเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ตอนถ่ายทำจริงๆผมว่าอาจไม่มีนกสักตัว ให้นักแสดงทำท่าทางเหมือนกำลังโดนโจมตี ยกมือขึ้นมาปัดโน่นนั่นนี่ แล้วใช้เทคนิค Yellowscreen แทรกใส่ภาพนกบินโฉบไปโฉบมาหน้ากล้อง แค่นี้ก็ล่อหลอกสายตาผู้ชมได้แล้วละ

มันจะมีอยู่ช็อตสุดท้ายที่ไม่มีนักแสดงอยู่ในภาพ แน่นอนว่าขณะนั้นย่อมต้องมีการใช้นกจริงๆผสมเข้าไปด้วย เห็นว่าต้องมีการกางตาข่ายรอบบ้าน เพื่อไม่ให้นกบินหลบหนีออกสู่ภายนอก

ระหว่างที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบสภาพความเสียหาย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องการที่ฝูงนกบุกเข้าในบ้าน สายตาของ Melanie จับจ้องมองมารดา Lydia กำลังเก็บถ้วยชามที่แตกละเอียด สภาพจิตใจของเธอคงไม่แตกต่างกัน … บางคนตีความถ้วยชามคือสัญลักษณ์จุดจบอารยธรรม

ก่อนหน้านี้มุมกล้องเมื่อ Melanie อยู่กับ Lydia มักจะโดนกดให้ต่ำต้อยด้อยค่า ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม นี่คือครั้งแรกที่ถ่ายมุมก้ม Lydia, มุมเงย Melanie แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางจิตใจที่ตรงกันข้ามกับเปลือกภายนอก

ตอนถ้วยชามแตกยังสามารถแปะติดปะต่อขึ้นใหม่ แต่คราวนี้เมื่อพบศพเพื่อนบ้านที่ถูกฝูงนกโจมตี ทำให้สภาพจิตใจของมารดา Lydia แตกละเอียดไม่เหลือเศษซากชิ้นดี พบเห็นเธอวิ่งหน้าตั้งออกจากบ้าน กล้องก็ตั้งไว้เฉยๆพบเห็นจากระยะไกลสู่ใกล้ … ตำแหน่งที่ตั้งกล้องเปรียบดั่งเป้าหมายการเดินทาง วินาทีนี้คือเธอไม่สนห่าเหวอะไรทั้งนั้น เพียงต้องการไปให้ไกลจากที่นี่ หวนกลับบ้านของตนเอง (นั่นคือเป้าหมายปลายทาง)

พอขับรถกลับมาถึงบ้านพบเห็น Mitch และ Melanie อยู่เคียงชิดใกล้ จึงพยายามผลักไส แยกทั้งสองออกห่าง แม้สภาพจิตใจกำลังตกต่ำ ก็ยังคงปฏิเสธต่อต้าน ไม่สามารถยินยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง

จะว่าไปชุดคลุมของมารดา Lydia มีลักษณะเหมือนก้อนหินแตกละเอียด (สภาพจิตใจแตกละเอียด) ตรงกันข้ามกับเสื้อคลุมขนมิ้งค์ราคาแพงของ Melanie แสดงถึงความหรูหรา ไฮโซ รวมถึงสภาพจิตใจที่ยังคงเข้มแข็ง ไม่ได้หวาดกลัวการโจมตีของฝูงนก

มารดา Lydia ในสภาพหมดสิ้นเรี่ยวแรง นอนซมซานอยู่บนห้อง สารภาพความจริงกับ Melanie ยินยอมรับว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอ! ตลอดทั้งซีเควนซ์ภาพของ Lydia มักถ่ายมุมก้ม, ขณะที่ Melanie จะเงยขึ้นเล็กน้อย

และขณะที่ Melanie ส่งมอบถ้วยน้ำชาให้กับมารดา Lydia วินาทีนี้ราวกับ Michelangelo: The Creation of Adam นี่คือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ให้การยินยอมรับกันและกัน และมารดายังร้องขอให้ Melanie ไปรับบุตรสาว Cathy กลับจากโรงเรียน แสดงถึงความเชื่อใจที่มีต่อกัน

ผมจะลองแยกแยะ Layer ของภาพช็อตนี้ ว่าจะมีองค์ประกอบอะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง

  • ภาพพื้นหลังถ่ายทำยังสถานที่จริง Bodega Bay เพียงกล้องเคลื่อนเลื่อนไปตามท้องถนน (บางช็อตก็อาจมีนักแสดงร่วมด้วย)
  • จากนั้นแทรกใส่ภาพฝูงนกบินบนท้องฟ้าไกลๆ (อาจจะเป็นแค่อนิเมชั่นดำๆ ไม่ใช่ภาพนกจริงๆ)
  • ตามด้วยฝูงนกใกล้ๆ ตัวที่บินโฉบไปโฉบมา (หรืออาจจะใช้นกปลอมบินโฉบไปโฉบมา)
  • บางช็อตนักแสดงถ่ายทำกับ Yellowscreen บันทึกภาพขณะออกวิ่ง ปัดโน่นปัดนี่
  • และปิดท้ายด้วยนกบินผ่านหน้านักแสดง

ความท้าทายของซีเควนซ์นี้คือระหว่างเด็กๆถูกโจมตี ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายใดๆ (ระหว่างถ่ายทำมีวิ่งเร็วเกิน ช้าเกิน สะดุดล้ม ตามประสาเด็กๆ) แต่คือขนาดของฝูงนก/อีกา ต้องมีการปรับสัดส่วน (Size Ratio) เพื่อให้ได้ขนาดที่เหมาะสม ดูไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับเด็กๆ

หลายคนอาจจะคาดหวังให้ผมลงรายละเอียดการถกเถียงในภัตตาคาร Tides Restaurant แต่ด้วยความขี้เกียจ เลยจะให้คำแนะนำแค่ลองสังเกตทิศทางมุมกล้อง แค่สี่ภาพนี้ก็แทบจะครบรอบ 360 องศา (Melanie คือจุดศูนย์กลางจักรวาล) เพื่อสื่อถึงมุมมองของมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไป ระยะใกล้-ไกล ทิศทางซ้าย-ขวา หน้า-หลัง และบุคคลไม่ได้เกี่ยวข้อง ย่อมมีคนที่เชื่อ-ไม่เชื่อ อ้างวิชาการ อ้างศาสนา อ้างปรัชญา … เรื่องพรรค์นี้ถกเถียงกันให้ได้ ย่อมไม่ได้รับคำตอบใดๆ จนกว่าจะประสบพบเจอเข้ากับตนเอง

หลายคนอาจครุ่นคิดว่าภาพมุมสูง ‘Bird Eye View’ ช็อตนี้ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์หรืออย่างไร? แท้จริงแล้วเกิดจากการผสมๆกันระหว่างภาพถ่ายทางอากาศจริงๆ + ภาพวาด Matte Painting + โมเดลไฟไหม้ + และยังซ้อนเข้ากับฝูงนกกำลังโบยบิน … ถ้าไม่นับภาพสุดท้ายของหนัง ช็อตนี้ต้องถือว่ามีความน่าอัศจรรย์ โดดเด่น ซับซ้อนไม่แพ้กัน

ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไม Melanie ถึงโง่เง่าไปหลบอยู่ในตู้โทรศัพท์? จนกระทั่งพบเจอภาพเบื้องหลังการถ่ายทำในสตูดิโอ เลยตระหนักว่าตู้โทรศัพท์ไม่ต่างจากกรงนก หญิงสาวพยายามดิ้นหลบหนี โหยหาอิสรภาพ แต่ในสถานการณ์นี้กลับไม่สามารถทำอะไร ต้องรอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวมาให้ความช่วยเหลือ

หลายคนอาจมองคำกล่าวของหญิงสาวคนนี้ “They said when you got here, the whole thing started!” ว่าเป็นการจับแพะชนแกะ ใส่ร้ายป้ายสี โยนความผิดให้ใครสักคน เพื่อระบายอารมณ์อัดอั้น ไม่ยินยอมรับสภาพเป็นจริง (มันคือกลไกป้องกันตนเองประเภทหนึ่ง)

แต่คำพูดประโยคนี้ไม่ได้เกินเลยความจริงแม้แต่น้อย! มันคือคำบอกใบ้ของผกก. Hitchcock สำหรับคนที่ชอบขบครุ่นคิดวิเคราะห์ ต้องการค้นหาเหตุผลว่ามันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวอะไร? ทำไมนกถึงโจมตีผู้คน? มันต้องมีความสัมพันธ์เชิงสัญญะกับ Melanie อย่างแน่แท้!

ผมโคตรรู้สึกเสียดาย Annie Hayworth เพราะตัวละครนี้ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ตอนเขียนบท รายละเอียดพื้นหลัง/อดีตความสัมพันธ์กับ Mitch เป็นสิ่งที่นักแสดง Suzanne Pleshette เพิ่มเติมเข้ามาลอยๆ มันจึงขาดองก์สอง-สามของตัวละคร จู่ๆก็ถูกตัดห้วน โดนนกโจมตี เสียสละตนเองเพื่อปกป้องเด็กหญิง Cathy แค่นั้นนะฤา? … ปฏิกิริยาของ Mitch ก็ดูไม่ค่อยมีเยื่อใย คนเคยรักใคร่จริงๆนะหรือ?

แซว: Pleshette เสนอแนะฉากความตายของ Annie ให้หูข้างหนึ่งถูกฉีกกระชาก โชกเลือก ห้อยต่องแต่ง ผกก. Hitchcock ก็บ้าจี้ยินยอมทำตามคำร้องขอ แต่ตอนถ่ายทำกลับจงใจบันทึกภาพใบหน้าอีกด้านหนึ่ง เลยไม่มีใครพบเห็นสภาพหูอีกข้าง –“

ค่ำคืนนี้ในบ้านของครอบครัว Brenner เมื่อฝูงนกโจมตี สมาชิกแต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาแสดงออกแตกต่างกันออกไป

  • ด้วยความที่เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน Mitch จึงเป็นเสาหลัก คอยต่อสู้ ปิดกั้น ขับไล่ผลักไสเจ้านกไม่ให้เข้ามาภายใน
    • นี่คือภาพสะท้อนสังคมยุคสมัยนั้น ชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย บุรุษคือช้างเท้าหน้า เสาหลักครอบครัว
  • Melanie ก็มีความหวาดกลัว แต่เธอแค่ดันตัวอยู่ตรงโซฟา จนกระทั่งไฟดับถึงสามารถลุกขึ้นมา ยืนมอง ให้กำลังใจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่
  • ผิดกับมารดา Lydia โอบกอบบุตรสาว Cathy เดินวนไปวนมารอบบ้าน หาบริเวณหลบมุมน่าจะปลอดภัยที่สุด แต่สถานที่สุดท้ายตรงชั้นวางหนังสือ ตำราเล่มไหน/องค์ความรู้อะไรก็ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์เอาชนะความกลัว รอดพ้นจากวันโลกาวินาศ

นี่เป็นฉากที่แม้แต่ Tippi Hedren พยายามสอบถามผกก. Hitchcock ว่าจะให้ตัวละคร Melanie ขึ้นไปชั้นสองถูกฝูงนกโจมตีเพื่ออะไร? เป็นการกระทำที่โง่เง่าเต่าตุ่นยิ่งนัก! คำตอบคือ “Because I tell you to.”

ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำถึง 5 วัน! ในตอนแรกได้รับการยืนกรานจากผกก. Hitchcock ว่าจะใช้เพียงนกปลอมเข้าฉาก แต่ตอนถ่ายทำกลับมีแต่นกจริงๆ แถมทีมงานยังช่วยกันโยนสารพัดนกใส่เธอตลอดทั้งห้าวัน จนถูกข่วนเกิดรอยแผลบนใบหน้า ถึงขนาดต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับสัปดาห์ ภาพพบเห็นจึงไม่ใช่การแสดง แต่คืออาการหวาดกลัวตัวสั่นอย่างแท้จริง!

เกร็ด: เพื่อไม่ให้นกที่เข้าฉากบินหนีไปไกล ยังมีการใช้เส้นด้ายผูกขานกเข้ากับชุดของ Hedren เลยไม่น่าแปลกที่หลังเสร็จจากการถ่ายทำ เธอจะเป็นโรคกลัวนกไปโดยปริยาย

The most difficult single shot I’ve ever done.

That took 32 different pieces of film. We had a limited number of gulls allowed. Therefore, the foreground was shot in three panel sections, left to right, up to the birds on the rail. The few gulls we had were in the first third, we re-shot it for the middle third, and for the right-hand third, using the same gulls. Just above the heads of the crows was a long, slender middle section where the gulls were spread again. Then the car going down the driveway, with the birds on each side of it, was another piece of film. The sky was another piece of film, as was the barn on the left, and so on. These were all put together in the lab.

Alfred Hitchcock

บทหนังดั้งเดิมของ Evan Hunter ยังมีอีกประมาณ 10 หน้ากระดาษที่ถูกฉีกทิ้งไป (เพราะผกก. Hitchcock ต้องการให้จบแบบค้างๆคาๆ วันสิ้นโลกที่เพิ่งเริ่มต้น เรื่องราวยังไม่จบสิ้น ข้อความ The End จึงไม่ปรากฎขึ้นเช่นกัน) เคยให้สัมภาษณ์บอกว่าเป็นการเดินทางพานผ่านชุมชน Bodega Bay กำลังลุกมอดไหม้ในกองเพลิง และพอมาถึง San Francisco พบเห็นสะพาน Golden Gate ปกคลุมไปด้วยฝูงนกเข้ายึดครองเมือง … ผมว่าถ้าหนังถ่ายทำช็อตนั้น มันอาจสร้างความตกตะลึงไม่น้อยกว่าตอนจบของ Planet of the Apes (1968) อย่างแน่แท้!

ตัดต่อโดย George Tomasini (1909-64) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Springfield, Massachusetts ทำงานในสังกัด Paramount Picture เริ่มมีชื่อเสียงจาก Stalag 17 (1953), โด่งดังจากการร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Alfred Hitchcock ตั้งแต่ Rear Window (1954) จนถึง Marnie (1964)

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองหญิงสาวไฮโซ Melanie Daniels ตั้งแต่แรกพบเจอทนายหนุ่ม Mitch Brenner เกิดความอาฆาต เคียดแค้น เลยตัดสินใจซื้อนกเลิฟเบิร์ด เดินทางไปเซอร์ไพรส์ที่ Bodega Bay ได้เรียนรู้หลายๆสิ่งอย่างเกี่ยวกับฝ่ายชาย และขณะเดียวกันประสบพบเจอภัยพิบัติ ถูกนกโจมตีโดยไม่ทราบสาเหตุ จะสามารถหาหนทางหลบหนีออกมาได้สำเร็จหรือไม่

  • อารัมบท, Melanie แรกพบเจอ Mitch เกิดความอาฆาต เลยครุ่นคิดแผนการล้างแค้น
  • เซอร์ไพรส์ของ Melanie
    • Melanie ขับรถออกเดินทางสู่ Bodega Bay
    • เดินทางไปพบเจอ Annie Hayworth แฟนเก่าของ Mitch
    • ล่องเรือข้าม Bodega Bay เอานกเลิฟเบิร์ดไปซ่อนไว้ในบ้าน
    • ระหว่างทางกลับ Melanie ถูกนกนางนวลโจมตี Mitch จึงพาเข้าไปในร้าน The Tides Restaurant
    • Mitch ชักชวน Melanie อยู่ร่วมรับประทานอาหาร ก่อนได้พบเจอมารดา Lydia จับจ้องมองตาไม่กระพริบ
    • รับประทานอาหารเย็นที่บ้านของ Mitch
    • ค้างคืนยังบ้านพักของ Annie
  • การโจมตีของฝูงนก
    • Melanie ตัดสินใจเข้าร่วมงานเลี้ยงของเด็กๆ ก่อนถูกโจมตีจากฝูงนก
    • กลับไปที่บ้านของ Mitch คราวนี้ฝูงนกบุกเข้ามาผ่านปล่องไฟ
    • เช้าวันถัดมา มารดา Lydia เดินทางไปหาเพื่อนบ้าน แต่อีกฝ่ายถูกฝูงนกฆาตกรรม
    • Lydia รีบกลับมาบ้าน นอนซมซาน ได้รับการปฐมพยาบาลโดย Melanie
  • อะไรคือสาเหตุการโจมตี?
    • Melanie แวะเวียนมาหา Annie ที่โรงเรียน แต่แล้วฝูงนกก็ค่อยๆลุมห้อมล้อม จนต้องช่วยกันอพยพเด็กๆหลบหนี กลับบ้าน
    • การถกเถียงถึงสาเหตุของหายนะบังเกิดขึ้นในร้าน The Tides Restaurant
    • แล้วจู่ๆฝูงนกบุกเข้าโจมตีทั้งชุมชน สร้างความโกลาหล จนชาวบ้านกล่าวโทษความผิด Melanie นำพาหายนะมาสู่เมืองแห่งนี้
    • Mitch และ Melanie เดินทางมายังโรงเรียน พบเพียงศพของ Annie
  • ป้อมปราการด่านสุดท้าย
    • Mitch ปิดตายทางเข้าออกในบ้าน เตรียมความพร้อมสำหรับค่ำคืนนี้
    • ฝูงนกพยายามหาหนทางบุกเข้ามาในบ้าน แต่ยังสามารถปกป้องกัน จนสถานการณ์กลับสู่ปกติ
    • ความอยากรู้อยากเห็นของ Melanie ทำให้เธอถูกโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัส
    • Mitch เลยตัดสินใจพาทุกคนออกจากบ้าน แม้ถูกห้อมล้อมรอบด้วยฝูงนกมากมายไม่รู้จบ

ด้วยความที่ผู้ชมส่วนใหญ่รับล่วงรู้อยู่แล้วว่า The Birds (1963) เกี่ยวกับการโจมตีของนก! ผกก. Hitchcock จึงไม่เร่งรีบนำเสนอการโจมตีนั้น ใช้เวลาอารัมบทเรื่องราวอย่างเอื่อยเฉื่อย เชื่องชักช้า เกือบจะครึ่งชั่วโมงผ่านไป สร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน เมื่อไหร่มันจะมีฉากน่าตื่นตาตื่นใจ แล้วจู่ๆวินาทีนั้นก็มาถึงโดยไม่ทันคาดคิดถึง … วิธีการนำเสนอเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกคุ้มค่าแก่การรอคอย

ในส่วนของลีลาการตัดต่อ อาจไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับสองสามผลงานก่อนหน้า แต่ก็เต็มไปด้วย Action-Reaction Shot และการลำดับภาพ ‘Montage’ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะการมาถึงของฝูงนกเริ่มจากทีละตัวสองตัว แล้วโดยไม่รู้ตัวห้อมล้อมรอบข้าง สร้างความหวาดผวา สั่นสะพรึงกลัว ลางบอกเหตุร้าย ต้องเร่งรีบหลบหนี หาหนทางเอาตัวรอด ออกไปจากสถานที่แห่งนี้


สำหรับเพลงประกอบ ในตอนแรกผกก. Hitchcock ก็อยากได้นักแต่งเพลงขาประจำ Bernard Herrman แต่เจ้าตัวบอกเองว่าหนังลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เพลงประกอบ พร้อมแนะนำให้เลือกใช้เสียงสังเคราะห์สำหรับสร้างเสียงนก เสียงลม เสียงกระพือปีก รวมถึงเสียงวาบหวิวอื่นๆ (ได้รับเครดิตที่ปรึกษา Sound Consultant)

It wasn’t music at all. Remi Gassmann … devised a form of sound effects. I just worked with him simply on matching it with Hitchcock, but there was no attempt to create a score by electronic means. We developed the noise of birds electronically because it wasn’t possible to get a thousand birds to make that sound.

Bernard Herrman

โดยเครื่องสังเคราะห์ดังกล่าวชื่อว่า Trautonium ประดิษฐ์โดยวิศวกร Friedrich Trautwein เมื่อปี ค.ศ. 1930 แล้วได้รับการต่อยอดให้กลายเป็นเครื่องดนตรีโดย Oskar Sala เปลี่ยนชื่อเป็น Mixtur-Trautonium ใครอยากศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม รับชมจากในลิ้งค์เอานะครับ … Oskar Sala และ Remi Gassmann ได้รับเครดิต “Electronic Sound Production and Composition”

LINK: https://www.youtube.com/watch?v=UxINIwHxR8s

รับชมแบบไม่ครุ่นคิดอะไรมาก The Birds (1963) นำเสนอเรื่องราวหญิงสาวจอมทะเล้น ขี้เล่นซุกซน ลูกคุณหนูไฮโซ นิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ วันว่างๆไม่ได้ทำอะไร เลยต้องการโต้ตอบชายคนนั้น แก้เผ็ดที่เคยโดนกลั่นแกล้ง หลอกปั่นหัว แล้วโชคชะตาจับพลัดจับพลู ถูกโจมตีจากฝูงนก ได้รับบาดเจ็บ สภาพปางตาย … บทเรียนสอนหญิง ควรรู้จักรักนวลสงวนตัว ไม่ใช่หาเหาใส่หัว ระริกระรี้เข้าหาผู้ชาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Melanie ในฉากไคลน์แม็กซ์จะถือเป็นใจความของหนังก็ยังได้! หญิงสาวอยู่ดีไม่ว่าดี เกิดความระริกระรี้ อยากรู้อยากเห็น ไม่สามารถควบคุมตนเอง ก้าวเดินขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูห้อง แล้วถูกฝูงนกโจมตี … มันช่างเป็นการกระทำสุดแสนงี่เง่าเต่าตุ่นตุ๋นยาจีน เฉกเช่นเดียวกับการเดินทางมายัง Bodega Bay เพื่อโต้ตอบ/แก้เผ็ด Mitch กระทำไปไม่ได้ด้วยสาระประการใด เพียงแรงกระตุ้นขับเคลื่อนโดยสันชาตญาณ

การมาถึงของ Melanie นำพาหายนะให้บังเกิดขึ้นกับเมืองริมอ่าว Bodega Bay นั่นคือคำพูดที่ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย! แต่การจะตีความ “นก” สื่อถึงอะไร? มันสามารถครุ่นคิดวิเคราะห์ได้ร้อยแปดสารพันอย่าง

In The Birds, there is a very light beginning, girl meets boy, and then she walks right into a complicated situation: the boy’s mother’s unnatural relationship to him, and the school teacher who’s carrying a torch for him. This girl, who is just a fly-by-night, a playgirl, comes up against reality for the first time. That transmits itself into a catastrophe, and the girl’s transition takes place.

Alfred Hitchcock

ขอเริ่มต้น “นก” สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Melanie กับครอบครัวของ Mitch หรือจะจำเพาะเจาะจงถึงมารดา Lydia ราวกับยัยแม่มดเล่นมนต์ดำ เต็มไปด้วยอคติต่อต้าน ไม่ยินยอมรับหญิงสาวที่เข้ามายุ่งย่ามก้าวก่ายบุตรชาย (เลยส่งนกไปโจมตีให้ได้รับอันตราย)

  • ครั้งแรก Melanie ถูกโจมตีจากนกนางนวล = สายตาของมารดา แรกพบเจอจ้องหน้าตาไม่กระพริบ ราวกับจะจิกกัดกิน
  • มารดาไม่พึงพอใจที่ Melanie มารับประทานอาหารที่บ้าน = หลังจาก Melanie เดินทางกลับไปพักอาศัยยังบ้านของ Annie เลยมีนกพุ่งชนประตูหน้าบ้าน
  • มารดาไม่ต้องการให้ Melanie เข้าร่วมงานเลี้ยงที่โรงเรียน = ฝูงนกเข้าโจมตีเด็กๆ จนต้องล้มเลิกงานเลี้ยง
  • มารดาไม่ต้องการให้ Melanie มาหลับนอนที่บ้าน = ฝูงนกเลยบินลงมาจากปล่องไฟ ต้องช่วยกันขับไล่ ปิดทางเข้าออก
  • มารดาไม่อยากให้ Melanie ไปรับบุตรสาวจากโรงเรียน = ฝูงนกโจมตีเด็กๆระหว่างเลิกเรียน
  • ความตายของ Annie เพราะเคยคบหา Mitch แต่ไม่ยอมเลิกรา ครานี้เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เลยไม่สามารถเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ
  • อาการบาดเจ็บสาหัสของ Melanie ทำให้มารดาสงบสติอารมณ์ (หรือจะมองว่ามารดาให้การยินยอมรับ Melanie ก็ได้เช่นกัน) ฝูงนกก็ไม่ต่างกัน ยินยอมปล่อยให้พวกเขาออกจากบ้านโดยไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น

การตีความอื่นๆที่พบเห็นบ่อยก็อย่าง “นก” คือสัตว์สัญญะของความรักและความรุนแรง (Love & Violence) ความรักคือเรื่องทางจิตใจระหว่างคนสองมีให้กัน ขณะที่ความรุนแรงเกิดจากความสัมพันธ์ทางร่างกาย ‘Sexual Tension’ การโจมตี จิกกัด ทิ่มแทง ล้วนสามารถสื่อถึงเพศสัมพันธ์ … ผกก. Hitchcock เคยกล่าวถึงประมาณว่า “Film your murders like love scenes, and film your love scenes like murders.” ฉันท์ใดฉันท์นั้น Love = Violence/Death

โดยปกติแล้ว “นก” คือสัตว์สัญญะของอิสรภาพ สามารถโบกโบยบินอย่างเป็นอิสระบนท้องฟ้าไกล ไม่แตกต่างจาก Melanie ดำเนินชีวิตอย่างล่องลอย เรื่อยเปื่อย ไร้แก่นสาน เพราะบ้านรวยเลยไม่จำเป็นต้องทำอะไร หรือสามารถทำอะไรๆได้ทุกสิ่งอย่าง! การโจมตีของนกจึงสะท้อนพฤติกรรมหลุดโลก บ้าบิ่นของหญิงสาว ที่จักค่อยๆทวีความรุนแรง โดยไม่สนผลกระทบห่าเหวอะไรใคร จนท้ายสุดหายนะหวนกลับมากระทำร้ายตนเอง ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจ

บางคนอาจตีความ “นก” ไม่ได้ต้องสะท้อนจิตวิทยา ความสัมพันธ์ตัวละคร เพียงผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่สร้างมลพิษมากมายให้กับโลกใบนี้ เปรียบดั่งคำเตือนจากธรรมชาติ การกำลังมาถึงของภัยพิบัติ

All you can say about The Birds is nature can be awful rough on you. If you play around with it. Look what uranium has done. Man dug that out of the ground. The Birds expresses nature and what it can do, and the dangers of nature, because there is no doubt if the birds did decide, you know, with the millions that there are, to go for everybody’s eyes, then we’d have H. G. Wells’ Kingdom of the Blind on our hands.

หรือจะสุดโต่งถึงวันสิ้นโลก ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เพิ่งเขียนถึงไม่นานมานี้ Melancholia (2011) กำกับโดย Lars von Trier ที่นำเสนอสองตัวละครสองสาวพี่น้อง เมื่อวันโลกาวินาศย่างกรายเข้ามา พวกเขามีปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างตรงกันข้าม … เฉกเช่นเดียวกับ Melanie และมารดา Lydia

  • Melanie ใช้ชีวิตวันๆอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้แก่นสาน ระริกระรี้แรดร่าน ดูไม่น่าจะพึ่งพาอะไรได้สักสิ่งอย่าง แต่ทว่าการมาถึงของวันโลกาวินาศ ราวกับค้นพบเป้าหมายชีวิต สำแดงความเข้มแข็ง ไม่หวาดหวั่นกลัวเกรงอันตรายใดๆ
  • มารดา Lydia เวลาปกติมักสร้างภาพให้ดูเข้มแข็ง พยายามปกป้องบุตรชาย ปฏิเสธต่อต้านหญิงสาวไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามก้าวก่าย แต่พอวันโลกาวินาศมาถึง เกิดอาการหวาดกลัวตัวสั่น ไม่เป็นอันทำอะไรสักสิ่งอย่าง อ่อนแอ ปวกเปียก กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว นั่นคือเหตุผลที่เธอยินยอมรับ Melanie เพราะมีจิตใจแข็งแกร่งกว่าตนเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างมารดา+ลูกสะใภ้ เปรียบดั่งน้ำกับไฟ ไม้เบื่อไม้เบา เข้ากันไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ในบริบทของหนัง ปัญหาของมารดามักถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากกลัวความโดดเดี่ยว ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว หลังสูญเสียสามีก็เหลือเพียงบุตรชายให้พึ่งพักพิง เลยพยายามกีดกัน ผลักไส ปฏิเสธยินยอมรับใครอื่นไม่เว้นแม้แต่ Melanie แต่หลังจากวันโลกาวินาศคืบคลานมาถึง ทุกสิ่งอย่างจึงพลิกกลับตารปัตร หญิงสาวที่ดูพึ่งพาไม่ได้กลับเข้มแข็งแกร่งกว่าตนเอง … บทเรียนก็คืออย่าด่วนตัดสินคนที่เปลือกภายนอก รูปร่างหน้าตา หรือพฤติกรรมแสดงออก

แม้หนังจะไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับต้นฉบับนวนิยาย (นอกจากชื่อ และการโจมตีของนก) แต่ผมอยากจะกล่าวถึงความตั้งใจของนักเขียน Daphne du Maurier เปรียบเทียบการโจมตีของฝูงนก = ชาวอังกฤษถูกรุกรานทางอากาศ โดยเครื่องบินรบของ Nazi Germany ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง … ถึงผมไม่เคยอ่านนวนิยายเล่มนี้ แต่ก็สามารถสัมผัสถึงความลึกล้ำ ทรงคุณค่า เหนือกาลเวลาอย่างแน่นอน

Generally speaking, that people are too complacent. The girl represents complacency. But I believe that when people rise to the occasion, when catastrophe comes, they are all right. The mother panics because she starts off being so strong, but she is not strong, it is a facade: she has been substituting her son for her husband. She is the weak character in the story. But the girl shows that people can be strong when they face up to the situation. It’s like the people in London, during the wartime air raids.

ผกก. Hitchcock คือผู้ดีอังกฤษ ได้รับการปลูกฝัง(จากมารดา)มาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวต้องรักนวลสงวนตัว เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ พอเติบใหญ่พบเจอสาวผมบลอนด์ พฤติกรรมสำส่อน รักสวยรักงาม ระริกรี้แรดร่าน ชอบเรียกร้องโน่นนี่นั่น โหยหาอิสรภาพ นิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ เลยเต็มไปด้วยอคติ ต่อต้าน วันๆชอบจิกกัด ดูถูกเหยียดหยาม คุกคามทางเพศ หรือเวลาสร้างตัวละคร ‘Hitchcock Blonde’ จึงมักถูกปู้ยี้ปู้ยำ กระทำให้อับอาย … ไม่ต่างจากการโจมตีของนก เพราะฉันไม่ให้การยินยอมรับ มันขัดต่อวิถีแห่งธรรมชาติ

นั่นแสดงถึงวิถีความเชื่อของผกก. Hitchcock ยึดถือมั่นในระบอบชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) แต่ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเพศหญิง (Misogyny) ผมมองว่าน่าจะต่อต้านสิทธิสตรี (Anti-Feminist) เสียมากกว่านะ อยากจับพวกเธอเหล่านั้นใส่กรงขัง เก็บเอาไว้ในเรือนจำ หรือฆ่าให้ตกตายแล้วสตัฟฟ์สัตว์เก็บรักษาเอาไว้


ด้วยทุนสร้าง $3.3 ล้านเหรียญ แม้เสียงตอบรับจะผสมๆ เพราะนักวิจารณ์ไม่เข้าใจเหตุผลว่านกจะโจมตีมนุษย์ทำไม? แต่สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกาสูงถึง $11.4 ล้านเหรียญ (ไม่มีรายงานรายรับทั่วโลก) ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม น่าเสียดายได้เข้าชิงเพียง Oscar: Best Special Effects พ่ายให้กับ Cleopatra (1963)

นอกจากนี้ยังเคยเดินทางไปฉาย Opening Night เปิดเทศกาลหนังเมือง Cannes นอกสายการประกวด (Out of Competition) ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกา นักวิจารณ์ฝรั่งเศสต่างลุ่มหลงใหล คลุ้มคลั่งไคล้ ได้รับการโหวตติดอันดับ #2 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Cahiers du Cinéma (พ่ายให้กับ Le Mépris (1963)) และยอดหน่ายตั๋วเกินกว่า 1.21 ล้านใบ

แซว: เมื่อตอนเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่ Leicester Square, London มีการแอบซ่อนเครื่องขยายเสียงตามพุ่มไม้ เพื่อว่าหลังดูหนังจบ จะเปิดเสียงนกกระพือปีก สร้างความอกสั่นขวัญผวาให้บรรดาผู้ชมระหว่างเดินทางกลับ

กาลเวลาทำให้เสียงตอบรับของหนังดีขึ้น ติดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจากหลายๆสำนัก และเป็นที่โปรดปรานของผู้กำกับดังๆอย่าง Andrei Tarkovsky, Federico Fellini (ให้คำนิยาม “apocalyptic poem”), Akira Kurosawa, Guillermo del Toro and John Carpenter

  • AFI’s 100 Years…100 Thrills (2001) ติดอันดับ #7
  • Sight & Sound: Critic’s Poll (2022) ติดอันดับ #185 (ร่วม)
  • The Guardian: The top 100 film moments (2000) ฉากอีกาเกาะเครื่องเล่นเด็ก ติดอันดับ #16
  • Bravo: The 100 Scariest Movie Moments (2007) ติดอันดับ #96
  • Time Out: The 100 best horror movies (2021) ติดอันดับ #29

Proving once again that build-up is the key to suspense, Hitchcock successfully turned birds into some of the most terrifying villains in horror history

คำโปรยจากเว็บไซด์ Rottentomatoes

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าหนังได้รับการบูรณะ 4K ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พบเห็นจัดจำหน่าย Blu-Ray คุณภาพ 4K Ultra HD ของค่าย Universal Studios เมื่อปี ค.ศ. 2021 หรือใครสนใจคอลเลคชั่น The Alfred Hitchcock Classics Collection 4K Blu-ray ประกอบด้วย Rear Window (1954), Vertigo (1958), Psycho (1960) และ The Bird (1963)


มันเป็นความทุกข์ทรมานใจไม่น้อย เพราะผมมีความทรงจำอันดีต่อ The Birds (1963) หลงใหลบรรยากาศหลอกหลอน หวาดสะพรึง ท้าทายความกลัว ประทับใจ Visual Effect ตื่นตระการตา แต่เมื่อรับเรียนรู้เบื้องหลัง ความตั้งใจผู้สร้าง รวมถึงนัยยะเชิงสัญญะที่ซุกซ่อนเร้นไว้ ความเชื่อมั่นศรัทธาเคยมีพลันสูญสลาย ภาพยนตร์อันตรายยิ่งเสียกว่า Psycho (1960)

ผมไม่ได้มีความสนใจอะไรกับกระแส #MeToo แต่สิ่งสร้างอคติรุนแรงต่อ The Birds (1963) คือการใช้สัตว์สัญญะโจมตีอย่างไร้เหตุผล อ้างว่าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นั่นหมายความว่าผกก. Hitchcock ยึดมั่นต่อวิถีทางที่สืบทอดต่อกันมา ระบอบชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หญิงสาวต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตนเช่นนั้นจักต้องถูกลงโทษทัณฑ์ กลายเป็นวัตถุทางเพศของฉัน … นี่เป็นมุมมองเฉิ่มเชย ล้าหลัง ไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ สังคมไม่ให้การยินยอมรับอีกต่อไปแล้ว

จัดเรต 15+ ความน่าสะพรึงกลัวจากการถูกนกโจมตี

คำโปรย | The Birds ของผู้กำกับ Alfred Hitchcock ทำการจิกกัด โจมตี คุกคามทางเพศ Tippi Hedren อย่างไร้เหตุผล ฤาเพราะเธอคือสตรี ทำตัวนิสัยไม่ดี นำพาหายนะสู่โลกใบนี้
คุณภาพ |
ส่วนตัว | ไม่ชอบเท่าไหร่


The Birds

The Birds (1963) hollywood : Alfred Hitchcock ♥♥♥♥♡

(17/9/2017) การโจมตีของนก มันอาจไม่มีเหตุผลทางกายภาพอะไรรองรับ แต่มีลักษณะเหมือนการสะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมาจากจิตใจของตัวละคร, นี่คือผลงาน Masterpiece เรื่องสุดท้ายของ Alfred Hitchcock ที่จะสร้างความหวาดหวั่น สะพรึงกลัวด้วย Special Effect ที่มีความคลาสสิกเหนือกาลเวลา

ในบรรดาหนังของ Alfred Hitchcock มีทั้งหมด 4 เรื่องที่จัดว่าคือ Masterpiece ประกอบด้วย Rear Window (1954), Vertigo (1958), Psycho (1960) และ The Birds (1963) ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นผลงานมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ลึกซึ้งในการคิดวิเคราะห์ท้าทายความเข้าใจ และความสำเร็จ Achievement บางอย่างให้กับวงการภาพยนตร์

สำหรับ The Birds เป็นผลงานที่ต้องถือว่า ประสบความสำเร็จสูงสุดในด้าน Special Effect สามารถผสมผสานนกจริงๆ, หุ่นนก และภาพวาดนก ได้อย่างแนวเนียน ตรงตามความตั้งใจ Storyboard และสามารถสร้างอารมณ์ ความรู้สึก เรียกเสียงกรีดร้องจากผู้ชมได้

จริงอยู่ที่คอหนังสมัยนี้อาจรู้สึกขบขันพิลึก ไม่เห็นมันจะเนียน สมจริง เป็นธรรมชาติตรงไหน? แต่ลองเพ่งพินิจพิจารณาให้ดีนะครับ คุณสามารถแยกออกจริงๆหรือเปล่า ไหนนกจริงๆ ไหนหุ่น หรือฉากไหนพื้นหลังเป็นภาพวาด จะบอกว่ากว่าครึ่งถ่ายทำในสตูดิโอที่ Hollywood ไม่อยากจะเชื่อละสิ แสดงว่าคุณกำลังโดนเวทย์มนต์คาถาของ Hitchcock หลอกตาเข้าให้แล้ว

ก่อนที่จะไปเริ่มต้นบทความนี้ ตัวอย่างหนังแรก Teaser Trailer ของ The Birds ผู้กำกับ Alfred Hitchcock มีอะไรบางอย่างต้องการบอกกับคุณก่อน

หลังเสร็จ Psycho (1960) พักงานสร้างภาพยนตร์ไปหลายปี ทุ่มเวลาให้กับ Alfred Hitchcock Presents (1955 – 1965) รายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศช่อง CBS กับ NBC ถือว่าประสบความสำเร็จได้รับความนิยมอย่างสูง ระหว่างนั้นก็เริ่มมองหาโปรเจคภาพยนตร์เรื่องถัดไป

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1961 ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่ Capitola, California เมื่ออยู่ดีๆชาวเมืองได้ยินเสียงนกจมูกหลอด (Shearwaters) พุ่งชนผนังบ้าน กระแทกกระจกแตก ท้องถนนเต็มไปด้วยฝูงนกตายเกลื่อนกลาด สำนักข่าวรายงานว่า นกเหล่านี้ได้ถูกวางยาพิษแต่ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อเรื่องนี้ไปเข้าหู Hitchcock มีหรือจะไม่เกิดความสนใจ

ระหว่างทำการค้นคว้าหาข้อมูล ก็ได้ไปพบกับหนังสือรวมเรื่องสั้น The Apple Tree (1952) [หรือ The Birds and Other Stories] ของนักเขียนหญิงสัญชาติอังกฤษ Daphne du Maurier (1907 – 1989) มีตอนหนึ่งชื่อ The Birds เรื่องราวของชาวนาคนหนึ่ง ครอบครัว และชาวเมือง Cornwall, ประเทศอังกฤษ ต่างถูกฝูงนกจากต่างถิ่น จู่โจมตีในลักษณะทิ้งดิ่งยอมตาย นัยยะการเหตุการณ์นี้ สื่อถึงการถูกโจมตีทางอากาศของประเทศอังกฤษ (น่าจะในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)

เกร็ด: Hitchcock เคยนำนิยายของ Daphne du Maurier มาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว 2 เรื่อง คือ Jamaica Inn (1939) กับ Rebecca (1941), และอีกผลงาน Masterpiece ของเธอคนนี้คือ Don’t Look Now ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดย Nicolas Roeg

เดิมนั้น Hitchcock มีความต้องการให้ Joseph Stefano ผู้ดัดแปลง Psycho มาพัฒนาบทหนังเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวบอกปัดเพราะไม่มีความสนใจในเรื่องราวเหนือธรรมชาติ จึงมอบหมาย Evan Hunter หนึ่งในนักเขียน Alfred Hitchcock’s Mystery Magazine ที่เคยพัฒนาบทรายการโทรทัศน์ Alfred Hitchcock Presents ให้มาดัดแปลงบทภาพยนตร์ แม้เจ้าตัวจะได้รับชื่อในเครดิต แต่เหมือนว่าบทถูกแก้ไขไปมากทีเดียวจาก Script Doctor โดย Hume Cronyn และ V. S. Pritchett [ไม่ได้รับเครดิตทั้งคู่]

เรื่องราวของ Melanie Daniels (รับบทโดย Tippi Hedren) หญิงสาวไฮโซที่ชื่นชอบการกลั่นแกล้งผู้อื่น ได้พบเจอทนายหนุ่ม Mitch Brenner (รับบทโดย Rod Taylor) ที่ร้านขายนกแห่งหนึ่งใน San Francisco เธอจึงปลอมตัวเป็นคนขายนก พยายามกลั่นแกล้งเขาแต่กลับถูกจับได้ ด้วยความขุ่นเคืองเสียหน้า ต้องการล้างแค้นแก้เผ็ด หญิงสาวนำนก Lovebirds บริการจัดส่งให้ถึงบ้านริมฝั่งทะเล Bodega Bay, California แต่ขณะกำลังแล่นเรือข้ามฝากกลับถูกนกนางนวล (Seagull) พุ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ ไม่นานต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ลุกลามแพร่ขยายใหญ่โต มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ธรรมชาติกำลังเอาคืนมนุษย์ หรือวันโลกาวินาศกำลังคืบคลานเข้ามา

สำหรับนักแสดงนำ Hitchcock มีความต้องการให้ Cary Grant ประกบคู่กับ Grace Kelly แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากให้นกเป็นพระเอกมากกว่า (กล่าวคือ ถ้าเลือกนักแสดงมีชื่อ จะโดดเด่นกว่าฝูงนกเป็นไหนๆ) ส่วน Kelly ตอนนั้นแต่งงานกลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว ไม่เหมาะสมที่จดหวนกลับมารับงานภาพยนตร์ (เห็นว่า Hitchcock เดินทางไปชักชวนถึง Monaco เลยนะ)

Nathalie Kay ‘Tippi’ Hedren (เกิดปี 1930) นักแสดงหญิง, โมเดลลิ่ง และนักรณรงค์ด้านสิทธิสัตว์ (animal rights activist) เกิดที่ New Ulm, Minnesota ครอบครัวอพยพมาจาก Sweden, Germany ชื่นชอบการเดินแบบตั้งแต่เด็ก พออายุ 20 ซื้อตั๋วเดินทางไป New York City กลายเป็นโมเดลลิ่งประสบความสำเร็จพอสมควร ปี 1962 ได้รับการค้นพบโดย Hitchcock จากสป๊อตโฆษณาหนึ่่ง จับเซ็นสัญญาทาส 7 ปี แต่มีผลงานร่วมกันเพียง 2 เรื่องเท่านั้นคือ The Bird (1963) และ Marnie (1964) ถูกยกเลิกสัญญา เพราะความไม่พึงพอใจที่ตัวเองถูกมองว่าเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง, ผลงานอื่นๆ อาทิ A Countess from Hong Kong (1967), Citizen Ruth (1996), I Heart Huckabees (2004) ฯ

รับบท Melanie Daniels หญิงสาวผู้มีความแก่นแก้ว ทั้งๆที่ก็โตเป็นสาวแล้ว แต่ยังมีความดื้อซนทำตัวเหมือนเด็ก เอาแต่ใจตัวเอง (คงเพราะได้รับการเลี้ยงดูแบบตามใจสุดๆ บ้านรวยนิ) เธอไม่รู้ตัวเองว่ากำลังตกหลุมรัก Mitch Brenner แต่พอได้ประสบพบเจอสิ่งต่างๆ และผ่านค่ำคืน … ทำให้เข้าใจความต้องการของตนเอง

มันจะมีฉากจูบหนึ่งกลางเรื่องที่น่าพิศวงมาก หลายคนคงสงสัยทั้งสองไปตกหลุมรักลงเอยกันตอนไหน? เราสามารถมองเป็น Off-Screen ว่าค่ำคืนนั้นพวกเขาได้ร่วมรักกันในบ้านของแม่ นั่นคือเหตุผลให้พวกเขาจูบแสดงความรักกันได้ในช่วงเช้า

เกร็ด: ถ้าไม่นับ Prologue ที่ Melanie ใส่ชุดสีขาวทับดำ ที่ Bodega Bay จะสวมแต่ชุดสูทสีเขียวเท่านั้น (สีของธรรมชาติ มักมีนัยยะถึงความลังเลไม่แน่นอนใจ)

การแสดงของ Hedren มีความเป็นตัวของตนเองสูงมาก น้ำเสียง ท่าทาง การเดิน เชิดหน้า หรือขณะหวาดกลัว ส่ายหัว ดิ้นไปมา สายตาแสดงออกจากภายใน ด้วยความสะพรึง ตระหนักถึงอันตราย และรวดร้าวทุกข์ทรมาน, ทั้งๆที่ไม่เคยผ่านโรงเรียนการแสดงหรือมีความฝันเดินทางสายนี้ตั้งแต่แรก แต่หนังเรื่องนี้ที่ได้การทำงานกับ Hitchcock ทำให้ Hedren ได้รับประสบการณ์อันล้ำค่า กลายเป็นนักแสดงยอดฝีมือที่ได้รับการจับตา ถึงขนาดคว้ารางวัล Golden Globe Award: Most Promising Newcomer – Female

Rodney Sturt ‘Rod’ Taylor (1930 – 2015) นักแสดงสัญชาติ Australian เกิดที่ Lidcombe, New South Wales โตขึ้นเข้าเรียนที่ East Sydney Technical and Fine Arts College ตั้งใจเป็นศิลปินแต่เปลี่ยนมาสายการแสดงหลังจากเห็น Laurence Olivier มาเปิดทัวร์การแสดงเรื่อง Richard III, หลังจากพอมีชื่อเสียงในประเทศ เดินทางสู่ Hollywood มีผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์มากมาย ได้รับบทนำครั้งแรก The Time Machine (1960) ให้เสียงพากย์ One Hundred and One Dalmatians (1961) โด่งดังสูงสุดกับ The Birds (1963) และ Enter the Dragon (1973)

รับบททนายหนุ่มสุดหล่อ Mitchell ‘Mitch’ Brenner เป็นผู้มีไหวพริบเป็นเลิศ สามารถจับความผิดปกติได้เร็ว รักครอบครัวยิ่ง พร้อมที่จะยินยอมเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น

ผมว่า Hitchcock คิดถูกนะที่ไม่เลือก Cary Grant, Farley Granger หรือ Sean Connery (ตอนนั้นยังไม่ดังเท่าไหร่ แต่ได้ปรากฎตัวในหนังเรื่องถัดมา Marnie) เพราะ Taylor ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรนอกจากความหล่อเท่ห์ที่กระชากใจสาวๆ ซึ่งการเป็นตัวละครศูนย์กลางที่รายล้อมรอบด้วยหญิงสาว แค่หล่ออย่างเดียวก็เกิดพอแล้ว

Jessica Tandy (1909 – 1994) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ หนึ่งใน Triple Crown of Acting (คว้ารางวัลการแสดงจากสามถาบัน Oscar, Tony, Emmy) เกิดที่ Hackney, London พออายุ 18 เป็นนักแสดงละครเวทีที่สามารถประกบเข้าคู่กับ Laurence Olivier และ John Gielgud ได้อย่างยิ่งใหญ่ หลังจากการแต่งงานครั้งแรกกับ Jack Hawkins ล้มเหลว เดินทางสู่ Hollywood มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก The Seventh Cross (1944) แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก เลยมักได้รับบทเป็นตัวประกอบอยู่เรื่อยๆ

ผลงานที่คว้ารางวัลของ Tandy ประกอบด้วย
– Tony Award: Best Actress เรื่อง A Streetcar Named Desire (1947), The Gin Game (1977), Foxfire (1982)
– Emmy Award: Outstanding Lead Actess จากเรื่อง Foxfire (1987)
– Academy Award/Golden Globe: Best Actress จากเรื่อง Driving Miss Daisy (1989) ** เป็นเจ้าของสถิตินักแสดงอายุมากสุดที่คว้ารางวัล

รับบท Lydia Brenner แม่ขี้หวงของ Mitch ภายนอกทำตัวเข้มแข็ง ทะนงตน แต่ภายในอ่อนไหว อ่อนแอ เพราะสามีด่วนจากไปทำให้เสียที่พึ่งพิง เหลือเพียงลูกชายคนโตที่พึ่งพาได้ แต่กลับพาหญิงสาวมา ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะเสียเขาไป แต่ภายหลังก็สามารถยินยอมรับ Melanie เพราะเห็นเธอเหมือนกับตนเองเมื่อวัยสาวเสียเหลือเกิน

การแสดงของ Tandy ช่างทรงพลังเหลือเกิน โดยเฉพาะท่าทาง การกระทำของมือ น้ำเสียงคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตา เราจะเห็นทั้งมุมเข้มแข็งและอ่อนแอของตัวละคร ที่พร้อมให้ผู้ชมรู้สึกสงสารเห็นใจ ไม่ต้องบอกคงรู้ได้ นี่คือตัวละครที่แทนด้วยแม่ของ Alfred Hitchcock เองเลย

สำหรับหญิงสาวอีกสองคนในหนัง ประกอบด้วย
Suzanne Pleshette (1937 – 2008) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Brooklyn Heights, New York City ครอบครัวเชื้อสาย Jews อพยพจากรัสเซียและ Austria-Hungary เข้าเรียนที่ High School of Performing Arts ตามด้วย Neighborhood Playhouse School of the Theatre ภายใต้อาจารย์ Sanford Meisner, รับบท Annie Hayworth หญิงสาวคนรักเก่าของ Mitch ถึงแม้ไม่ได้รับรักตอบคืนมา แต่ตัดสินใจเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ขอเพียงได้อยู่ใกล้ๆระยะสายตา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจ, ถึงปากจะพูดว่าไม่คิดอะไรมาก แต่ก็มีความอิจฉา Melanie อยู่พอสมควร ผลลัพท์จึงคือ…

Veronica Cartwright (เกิดปี 1949) นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Bristol เติบโตขึ้นที่ Los Angeles เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงเด็กเรื่อง The Children’s Hour (1961) ผลงานเด่น อาทิ Invasion of the Body Snatchers (1978), Alien (1979) ฯ, รับบท Cathy Brenner น้องสาวคนเล็กของ Mitch มีความต้องการนก Lovebirds (ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) พบเจอตกหลุมรักแรกพบกับ Melanie มองเธอเหมือนพี่สาว ส่งเสริมให้พวกเขาตกหลุมรักกัน

สำหรับพระเอกของหนัง ‘นก’ เท่าที่ผมสังเกตเห็นจะมีนกนางนวล (สีขาว), อีกา (สีดำ), นกเลิฟเบิร์ด (สีเขียว), นกขมิ้น (สีเหลือง) ฯ ทั้งหมด 3,200 ตัวฝึกไว้ใช้ในหนัง, Hitchcock บอกว่า อีกาเป็นนกฉลาดสอนง่าย ขณะที่นกนางนวลมีความเกรี้ยวกราดดุร้ายกว่ามาก

ถ่ายภาพโดย Robert Burks (1909 – 1968) หนึ่งในขาประจำของ Hitchcock เริ่มจาก Strangers on a Train (1951) จนถึง Marnie (1964) [เว้น Psycho เรื่องเดียว] คว้า Oscar: Best Cinematography, Color จากเรื่อง To Catch a Thief (1955)

ความท้าทายของหนังเรื่องนี้ คือทำอย่างไรให้งานภาพออกมามีความแนบเนียนลงตัว เพราะคงไม่สามารถควบคุมนกทุกตัวให้เคลื่อนไหวได้ดั่งใจแน่ (แต่ก็มีการเทรนด์นกปริมาณหนึ่งเพื่อใช้ประกอบฉากด้วยนะครับ) โดดเด่นเรื่องการจัดแสง ซ้อนภาพ และการนำ Special Effect มาประกอบรวมๆกันให้ได้ใน 1 ช็อต

อย่างช็อตนี้ ภาพมุมสูง Bird Eye View ที่เราจะได้เห็นเป็นสายตาของนกจริงๆ นี่ไม่ใช่การถ่ายภาพทางอากาศนะครับ เป็นการซ้อนภาพที่มีหลายชั้นทีเดียว

ไปเจอภาพถ่ายขาว-ดำ ที่เป็น Matte Painting ภาพวาด Bodega Bay ในมุมสูง ส่วนที่เห็นพื้นที่ดำๆ จะถูกนำไปซ้อนด้วยภาพอื่นอีกที

เกร็ด: ภาพนกบินที่แทรกเข้าไปในช็อตนี้ Hitchcock บอกว่าเป็นนกจริงๆนะครับ ถ่ายตอนมันบินโฉบลงมากินอาหารที่พื้น

“We went out to a cliff and threw a lot of garbage off it, and pointed our camera straight down to catch the gulls swooping down for it. … It used to enrage me when people suggested those were mechanical birds.”

สำหรับนกที่เราเห็นๆอยู่นั้น บางทีมาจากการซ้อนภาพกับอนิเมชั่นของ Ub Iwerks นักอนิเมเตอร์/Technician สังกัด Walt Disney Studio ใช้เทคนิคที่ชื่อว่า SV Process (Sodium Vapor) หรือ Yellow Screen วิธีการก็คล้ายกับ Blue Screen แต่เปลี่ยนพื้นหลังที่ใช้ถ่ายทำเป็นฉากสีขาว ฉายด้วยไฟ Sodium Vapor ซึ่งจะออกสีเหลืองๆ มีความอ่อนไหว (Sensitive) เมื่อมีการล้างฟีล์มออกมา สามารถนำไปซ้อนกับ Matte Painting ได้ละเอียดอ่อนกว่า Blue Screen

จะเรียกว่าเป็นเทคนิคทางเลือก สำหรับหนังที่ไม่สามารถใช้ Blue Screen ก็ยังได้ ซึ่ง Disney โด่งดังมากทีเดียวกับเทคนิคนี้ตอนสร้าง Mary Poppins (1964)

โดดเด่นที่สุดและกลายเป็นตำนาน คือช็อตสุดท้ายของหนัง เป็นส่วนผสมของภาพรถเคลื่อนไหว, นกจริงๆ, หุ่นนก, ภาพวาดอนิเมชั่น พื้นหลังเป็น Matte Painting เห็นว่ามีการซ้อนภาพทั้งหมด 32 ชั้น Hitchcock เรียกว่า ‘the most difficult single shot I’ve ever done.’

เกร็ด: Hitchcock ปรากฏตัว Cameo ตั้งแต่นาทีแรกๆของหนัง ขณะนางเอกเดินสวนเข้าไปในร้าน Pet Shop เห็นว่าเป็นสุนัขเลี้ยงของผู้กำกับเอง พันธุ์ Terriers ชื่อ Geoffrey กับ Stanley, นี่คงเป็นการล้อกับพล็อต Lovebirds ที่อยู่เป็นคู่ๆของหนัง (ตัวประกอบสองคนที่ยืนอยู่ ก็เป็นคู่เช่นเดียวกัน)

ตัดต่อโดย George Tomasini ขาประจำของ Hitchcock ตั้งแต่ Rear Window (1954) จนถึง Marnie (1964) ผลงานเด่น อาทิ Stalag 17 (1953), Cape Fear (1962) ฯ เคยได้เข้าชิง Oscar: Best Edited เพียงครั้งเดียวจากเรื่อง North by Northwest (1959) แต่กลายเป็นตำนานจาก Psycho (1960)

หนังใช้มุมมองของ Melanie Daniels ในการเล่าเรื่องทั้งหมดจากสิ่งที่พบเจอมากับตัวเอง หลายครั้งด้วยเทคนิค Montage ตัดสลับภาพสิ่งที่เธอเห็น กับ Close-Up ใบหน้า แสดงสีหน้าปฏิกิริยาความรู้สึกออกมา

ด้วยลีลาการตัดต่อคล้ายกับ Psycho (1960) เราจะไม่เห็นช็อตที่น่าขยะแขยงแบบตรงๆอย่าง นกรุมทึ้ง จิกกัดกระชากเนื้อจนเลือดไหล แต่จะมีช็อตที่เห็นถูกงับๆ พอตัดมาอีกทีเลือดก็จะไหลเป็นทางแล้ว

หนังไม่มีเพลงประกอบ แต่ใช้เสียงนกร้อง กระพือปีก เป็น Sound Effect ที่สร้างความสมจริงให้กับหนัง, ซึ่งเสียงนกที่เราได้ยินนี้ ไม่ใช่ทั้งเสียงอีกาหรือนกนางนวล แต่มาจากเครื่อง Mixtur-Trautonium ที่วิวัฒนาการมาจากเครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizer) ออกแบบโดยนักฟิสิกส์สัญชาติเยอรมัน Friedrich Trautwein เมื่อปี 1929 ได้รับการพัฒนาต่อยอดโดย Oskar Sala ซึ่งรายหลังก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ร่วมกับ Remi Glassmann ช่วยสร้างสรรค์เสียง Sound Design ให้กับหนังด้วยนะครับ

เกร็ด: จริงๆ Hitchcock ได้ติดต่อขาประจำ Bernard Herrmann ให้ทำเพลงประกอบให้ ซึ่งพี่แกได้เกิดความคิดพิศดาร ชักชวนพากันไปหา Oskar Sala กับ Remi Glassmann ที่ Berlin เพื่อแนะนำให้รู้จักและจะได้ร่วมงานกัน

สำหรับบทเพลงที่ Melanie เล่นเปียโนคือ Arabesque no. 1 in E ผลงานเดี่ยวเปียโนในยุคแรกๆของคีตกวีสัญชาติฝรั่งเศส Claude Debussy (1862 – 1918) ประมาณการช่วงแต่งปี 1888-1891 มีลักษณะของ Impressionist ตามยุคสมัยแฟชั่นของฝรั่งเศสขณะนั้น บทเพลงมีความลื่นไหลล่องลอยไป คล้ายกับรูปลักษณะของธรรมชาติ สายลมพริ้วไหว สายน้ำไหลเอื่อย

“that was the age of the ‘wonderful arabesque’ when music was subject to the laws of beauty inscribed in the movements of Nature herself.”

นี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่ Hitchcock ใช้นกเป็นสิ่งสัญลักษณ์ -ใน Psycho (1960) ห้องของ Norman Bates เต็มไปด้วยสัตว์สต๊าฟโดยเฉพาะนก- ทั้งๆที่โดยปกติเป็นสัตว์รักสงบ โบยบินอย่างอิสระเสรีบนท้องฟ้า ไม่ชอบสร้างความรำคาญให้ใคร (นอกจากขี้ใส่หัว) แต่ถ้ามนุษย์ไปก่อกวนขับไล่เข่นฆ่าหรือวางยา มันถึงจะแสดงปฏิกิริยาเกรี้ยวกราดตอบโต้ทำร้าย (แต่ผมว่าส่วนใหญ่มันก็บินหนีไปนะ ไม่ค่อยเห็นนกตัวไหนมันอาฆาตมาดร้ายมนุษย์เท่าไหร่)
– กรงเล็บใช้เกาะเกี่ยว กรีดกราย สร้างรอยแผลภายนอกมากมาย
– ปีกกระพือโบยบินโฉบเฉี่ยว สร้างเสียงดังระทึกให้เกิดความสับสนอลม่าน
– จงอยปากใช้จิกกัดกร่อนกิน แทะเล็มเป็นชิ้นเล็กๆจะได้กลืนเข้าปากง่ายๆ

ซึ่งเป้าหมายของนก/ฝูงนก ในหนังเรื่องนี้ เหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ Melanie Daniels เป็นสำคัญ ราวกับว่าเธอไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ถึงถูกกระทำร้ายขนาดนี้/สาปแช่ง/ฟ้าดินลงทัณฑ์ ได้ขนาดนี้, วิธีการครุ่นคิดทำความเข้าใจ คือสังเกตจากเรื่องราวบริบทรอบข้าง หญิงสาวได้พบเจออะไรใครบ้าง แต่ละคนมีปฏิกิริยาแสดงออกเป็นเช่นไร และการโจมตีของนก มีความสัมพันธ์อะไรกับเรื่องราว

แรกสุดเลยในร้านขายนก, นกขมิ้นตัวหนึ่งหลุดออกจากกรง Melanie วุ่นวายใหญ่แต่ไม่สามารถจับได้ Mitch มานิ่งๆใช้หมวกวางทับจับอยู่ เราสามารถเปรียบปฏิกิริยาของนกตัวนี้สะท้อนกับจิตใจของหญิงสาว ตื่นเต้น รักสนุก โหยหาอิสระ ถูกจับโดยชายหนุ่มที่แทบไม่ได้ใช้เทคนิคท่าทางลีลามาก แต่หาจังหวะเหมาะสม แค่นี้ก็ได้ครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว

ขณะ Melanie กำลังล่องเรือกลับ Mitch ที่ได้ส่องกล้องเห็นแล้วรีบบึ่งรถไปรอท่าเรือข้ามฝากให้หญิงสาวเข้ามาเทียบ การจู่โจมตีของนกนางนวลถือว่าเข้ามาขัดจังหวะการพบกันของทั้งสอง (เหมือนกำลังมี Sex อยู่แล้วถูกขัดจังหวะ) ทำให้ต้องรีบพาไปปฐมพยาบาลในร้าน ที่นั่นทำให้หญิงสาวพบกับแม่ Lydia เป็นครั้งแรก ที่มีสีหน้าปฏิกิริยาไม่ค่อยพึงพอใจนัก แต่ Mitch ก็กล้องเอ่ยปากชักชวนเธอไปกินข้าวที่บ้าน สร้างความคับข้องใจให้กับแม่อย่างมาก

อาหารเย็นที่บ้านของ Mitch ดำเนินไปด้วยบรรยากาศมาคุ แม่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ค่อยประทับใจ Melanie เสียเท่าไหร่ ขณะที่น้องสาว Cathy กลับหลงรักชักชวนให้มางานเลี้ยงวันเกิดพรุ่งนี้, ข้างนอกบ้านขณะ Melanie เดินทางกลับ บริเวณเสาสายไฟฟ้าเต็มไปด้วยฝูงอีกาเกาะเต็มไปหมด มันไม่ได้จะจู่โจมตีใคร แต่คล้ายกับบรรยากาศมาคุในช่วงรับประทานอาหารเย็น

เกร็ด: มาคุ เป็นคำภาษาญี่ปุ่น(ที่วัยรุ่นไทยชอบใช้กัน) แปลว่า อึมครึม บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัด

งานเลี้ยงวันเกิดของ Cathy สังเกตจากสายตาของ Lydia จ้องมองอย่างอิจฉาริษยา (เพราะทั้งคู่แอบไปจู๋จี๋ลับสายตาผู้ใหญ่) เมื่อนั้นนกนางนวลตัวแรกจึงเริ่มเปิดฉากโจมตี เด็กๆวิ่งหนี ผู้ใหญ่วิ่งไล่,

หลังจากส่งเด็กๆกลับบ้าน เย็นวันนั้นตามแผนเดิมคือ Melanie ขับรถกลับ San Francisco แต่หลังจากพูดคุยสนทนาไปเรื่อยๆ มีแนวโน้มสูงที่เธอจะอยู่ค้าง จากสีหน้าชื้นใจของแม่ แปรสภาพเป็นขุ่นเคืองรุนแรง ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกรุกรานจากคนนอก เมื่อนั้นฝูงนกจู่โจมตีอีกครั้ง คราวนี้บุกเข้ามาในบ้านทางป่องไฟ โดยไม่ได้รับอนุญาติ โชคดีสามารถปิดกั้น และสักพักฝูงนกก็บินหาทางออกหายไปได้เอง

เช้าวันถัดมา Lydia ได้พบเจอใครคนหนึ่งที่ถูกนกรุมทึ้ง ทำให้หวนระลึกถึงตัวเองที่สามีจากไป -ราวกับว่าเพราะตัวเธอที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต- เกิดความอ่อนข้อให้กับหญิงสาว ยินยอมรับเธอเข้ามาในชีวิต แต่ขณะนั้นก็ระลึกได้ เป็นห่วงเด็กๆที่โรงเรียน เวลาผ่านไปยิ่งทวีความวิตกจริต, Melanie เดินทางไปถึงโรงเรียน เห็นอีกาค่อยๆมาเกาะทีละตัวสองตัวจนเต็มสนามเด็กเล่น ช่วงแรกๆก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอมากเข้าก็สร้างความหวาดหวั่นสะพรึงกลัวให้กับทุกคน จนสุดท้ายต่างต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด

ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมือง สถานที่แห่งการพูดคุยสนทนา แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น บ้างเชื่อ บ้างไม่เชื่อ บ้างอุปโหลก เพ้อ จินตนาการ สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเมื่อฝูงนกเริ่มบุกจู่โจมตี (ฉากนี้คล้ายกับ The Mist มากๆ), ทั้งๆที่ภายนอกโคตรอันตราย แต่หญิงสาวใจกล้ากลับบ้าวิ่งไปติดอยู่ในตู้โทรศัพท์ ติดต่อใครก็ไม่ได้ แถมกลับออกมาไม่ได้อีก หวาดหวั่นสะพรึงกลัว ต้องรอให้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเท่านั้น ก่อนจะถูกตราหน้าว่า

“I think you’re the cause of all this.
I think you’re evil! Evil!”

ฉากไคลน์แม็กซ์ หลังจากที่ Mitch ปิดประตูหน้าต่าง เอาไม้อุดช่องว่าง กั้นขวางไม่ให้ฝูงนกบุกเข้ามาด้านใน แต่แม่กลับเกิดความหวาดกลัว เสียสติแตก วิตกจริตกลัวว่าจะสูญเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ไป, ฝูงนกจึงพยายามที่จะบุกเข้ามาภายใน ดิ้นรนแทรกตัว ต้องเอาไม้มากั้นดันซ่อม ปกปิดจุดบกพร่องทั้งหลาย จนกว่าทุกคนจะสงบจิตสงบใจได้ ทุกอย่างถึงค่อยยุติลง

แต่แล้ว Melanie ก็เดินย่องขึ้นไปห้องข้างบนอย่างไร้เหตุผล ค้นพบว่ามีห้องหนึ่งที่เพดานทะลุ สะดุ้งตกใจกลัว ทำให้ถูกฝูงนกกรูเข้ามารุมทำร้ายเธอ หญิงสาวพยายามที่ดิ้นรนกลับเข้าไปในบ้านแต่ไม่สามารถทำได้ เกือบปางตายก่อนที่ Mitch จะฉุดดึงเธอเข้ามา, ผมมองว่าฉากนี้เป็นการตบหัวลูบหลังของ Hitchcock ทั้งๆที่เหตุการณ์ควรสงบลงแล้ว แต่เพื่อเป็นการยอกย้อนสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Lydia สักวันต้องหวนกลับมาเกิดกับ Melanie มันคือความโง่เง่าของเธอเอง ถ้าไม่เดินขึ้นด้านบนพบเจอหรือสะดุ้งตกใจ ความเฉียดตายครั้งนี้คงไม่เกิด

สำหรับช็อตจบ เมื่อความเครียด วิตกจริต คลี่คลายบรรเทาลง ฝูงนกทั้งหลายก็จึงสงบนิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้พวกเขาออกจากบ้าน ออกเดินทาง สู่รุ่งอรุณสำหรับเริ่มต้นเช้าวันใหม่

สรุปแล้ว ‘นก’ ในหนังเรื่องนี้มีนัยยะถึงอะไร? ผมคิดว่ามันไม่มีความหมายตายตัวของสิ่งสัญลักษณ์นี้นะครับ คือเป็นได้ทั้งตัวแทนความรู้สึก, ความต้องการ, ความหวาดกลัว, หายนะทางธรรมชาติ ฯ หรือไม่มองว่า นกก็คือนก หาได้จำเป็นต้องครุ่นคิดวิเคราะห์ให้เสียเวลาเปลืองรอยหยักของสมอง

จากที่ผมวิเคราะห์มาทั้งหมดนี้ เราสามารถมองใจความของหนังได้ว่า คือการเปรียบเทียบ/สร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘ธรรมชาติ’ ในเชิงด้านมืด อารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในจิตใจมนุษย์ สะท้อนกับปฏิกิริยาการโต้ตอบของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น (ในที่นี้ก็คือ นก นั่นเอง)

หนังเรื่องนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ Horror: มนุษย์ vs ธรรมชาติ/สัตว์/สิ่งมีชีวิตอื่น อาทิ Jaws (1975), Alien (1979), Deep Blue Sea (1999) ฯ

Hitchcock สร้างหนังเรื่องนี้เพื่ออะไร? นี่เป็นคำถามที่ฟังดูน่าครุ่นคิดกว่ามาก เมื่อสังเกตจากการโจมตีของนกที่พุ่งเป้าไปที่หญิงสาว และปฏิกิริยาพฤติกรรมของแม่ที่แสดงออกมา ดังที่ผมวิเคราะห์บอกไปตั้งแต่ต้น Lydia เป็นตัวแทนของ Emma Jane Hitchcock แม่ของผู้กำกับ ที่มีความเข้มงวดจริงจังกับลูกชายคนนี้เสียเหลือเกิน (พ่อเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปี) นี่ไม่เชิงเป็นชีวประวัติ แต่เป็น Expression การแสดงปฏิกิริยาความรู้สึกของ Hitchcock ที่มีกับแม่ต่อแฟนสาวที่กลายเป็นภรรยา Alma Reville ตั้งแต่ตอนที่พบเจอกันแรกๆ คงมีความไม่ชอบคอ –> ครั้งถัดมาค่อยๆแปรสภาพเป็นอิจฉาริษยา –> เมื่อเริ่มทำใจยอมรับได้ก็เกิดความหวาดกลัวที่จะสูญเสียลูกชายสุดที่รักไป แล้วใครจะเป็นที่พึ่งพาให้กับฉันต่อไปอีกเล่า

ด้วยทุนสร้าง $3.3 ล้านเหรียญ หนังทำเงินได้ในอเมริกา $11.4 ล้านเหรียญ ค่อนข้างประสบความสำเร็จทีเดียวแม้เสียงตอบรับ คำวิจารณ์ตอนฉายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จึงเข้าชิง Oscar เพียง 1 สาขา Best Special Effects พ่ายแพ้ให้กับ Cleopatra (1963)

แต่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า นี่เป็นหนังที่มีความยิ่งใหญ่ ลึกล้ำ ซับซ้อนด้วย Special Effect ที่ไม่ใช่แค่ฉาบหน้า แต่มีความพิศวงจากการค้นหาคำตอบของปริศนาปลายเปิด การตีความตอนจบที่ไม่มีข้อความ The End ปรากฎขึ้นนี้ ทิ้งความท้าทายให้กับผู้ชม ประหนึ่งว่าความน่าสะพรึงกลัวนี้ยังไม่ถึงกาลจบสิ้น (เป็นแค่จุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่าง)

เกร็ด: ผู้กำกับ Akira Kurosawa เลือกให้ The Bird เป็นหนังเรื่องชอบที่สุดของผู้กำกับ Alfred Hitchcock

มีความพยายามที่จะสร้างภาคต่อ The Birds II: Land’s End (1994) ออกฉายโทรทัศน์ ได้รับเสียงตอบรับล้นหลามในแง่ลบ ถึงขนาดผู้กำกับ Rick Rosenthal ต้องเปลี่ยนมาใช้เครดิตนามปากกา Alan Smithee เพื่อไม่ให้ถูกยี้ไปกว่านี้,

ขณะที่ผู้กำกับ Michael Bay เคยคิดอยากสร้างใหม่ remake มอบหมายให้ Martin Campbell เป็นผู้กำกับ นำแสดงโดย Naomi Watts แต่สุดท้ายโปรเจคก็คว้าน้ำเหลว, ดีแล้วละครับที่ไม่สร้าง เพราะคงมีชะตากรรมไม่ต่างกับ Psycho (1998) ของผู้กำกับ Gus Van Sant เสียเท่าไหร่

ผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับชม เพราะบรรยากาศความน่าสะพรึงกลัว ตอนที่นางเอกถูกนกนางนวลโจมตีครั้งแรก จำได้ว่าสะดุ้งโหยงเลยละ เกิดอะไรขึ้นว่ะเนี่ย! ดูจนจบก็ไม่เข้าใจ คิดไปว่าเพราะเจ้า Lovebirds นี่แหละน่าจะเป็นตัวการชักนำเรียกนกตัวอื่นๆมา, รับชมครั้งนี้หลงรักยิ่งๆขึ้นไปอีก เพราะครุ่นคิดจนได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจอย่างยิ่งแล้ว แม้ไม่สะดุ้งสะพรึงเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ประทับใจล้นหลามใน Special Effect กับข้อจำกัดสมัยนั้นน่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คงเป็นผลงานโคตรท้าทาย ใช้เวลายาวนาน สร้างยากที่สุด ในบรรดาหนังของ Alfred Hitchcock แล้วละ

แนะนำกับคอหนัง Horror, Thriller, Suspense, ตื่นเต้นลุ้นระทึกน่าสะพรึงกลัว, แนวเรื่องราวเหนือธรรมชาติ, นักสร้าง Special Effect ทั้งหลาย ศึกษาทำความเข้าใจ, นักดูนกทั้งหลาย, แฟนๆผู้กำกับ Alfred Hitchcock นักแสดง Tippi Hedren, Rod Taylor, Jessica Tandy ไม่ควรพลาด

จัดเรต 15+ กับความน่าสะพรึงกลัวของฝูงนก ที่อาจส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด ตกอกตกใจให้กับเด็กๆและวัยรุ่นได้

TAGLINE | “The Birds โบยบินเข้าสู่กรงทองของ Alfred Hitchcock ที่จะทำให้คุณหวาดหวั่นสะพรึงกลัว ด้วย Special Effect สุดอลังการระดับ Masterpiece”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: