Bride of Frankenstein (1935)
: James Whale ♥♥♥◊
หลังจากพระเจ้าสร้างอดัมมนุษย์ชายคนแรกแล้ว เห็นว่ายังไม่มีคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสม จึงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมาแล้วสร้างให้เป็นหญิง “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย”
หลังจากที่ Frankenstein ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้สตูดิโอ Universal Picture ต้องการสร้างภาคต่อออกมา แต่ผู้กำกับ James Whale อยากไปทำอย่างอื่นมากกว่า เพราะเขาไม่คิดว่าจะสามารถสร้างหนังภาคต่อให้ดีกว่าเดิมได้ สตูดิโอปล่อยให้เขาสร้าง The Old Dark House (1932), The Invisible Man (1933) ขณะเดียวกันก็เอาแนวคิดบทร่างภาคต่อมายั่ว Whale จนยอมตกลงทำภาคต่อ
บทร่างนี้กว่าจะเป็นที่พอใจของ Whale มีหลายเวอร์ชั่นมากๆ เริ่มจากของ Robert Florey ปี 1932 ในชื่อ The New Adventures of Frankenstein — The Monster Lives! ถูกสตูดิโอปฏิเสธปีถัดมา Tom Reed ร่างบทในชื่อ The Return of Frankenstein สตูดิโอให้ความสนใจแต่ Whale กลับไม่ชอบและให้ความเห็นว่า “it stinks to heaven” ต่อมาเป็น L. G. Blochman และ Philip MacDonald ก็ยังไม่ถูกใจอีก ปี 1934 John L. Balderston ได้ไอเดียให้ Frankenstein สร้างคู่ขา (mate) ให้กับสัตว์ประหลาด แนวคิดนี้ Whale สนใจพอสมควร แต่รายละเอียดอื่นๆยังไม่ดีพอ William J. Hurlbut และ Edmund Pearson คือนักเขียนคู่สุดท้าย เอาแนวคิดที่น่าสนใจทั้งหมดมารวมกันจน Whale พึงพอใจ ได้รับการอนุมัติเมื่อพฤศจิกายน 1934 เรื่องราวส่วนหนึ่งยังคงอ้างอิงจากต้นฉบับ Frankenstein ของ Mary Shelley ในส่วนที่ภาคแรกไม่มี ก็ถูกเอามาดัดแปลงใส่ในภาคนี้
บท Pretorius ที่เป็นอาจารย์ของ Frankenstein มีนักแสดงหลายคนที่ได้รับการพิจารณา อาทิ Bela Lugosi และ Claude Rains สุดท้ายตกเป็นของ Ernest Thesiger (เห็นว่าพี่แกเป็น Homosexual ด้วยนะครับ) มีคนเปรียบตัวละคร Pretorius ว่าเป็นเหมือนแม่ของสัตว์ประหลาด เพราะเขาสามารถควบคุมออกคำสั่งได้ ส่วนบท Bride นักแสดงที่ถูกเล็งไว้ อาทิ Brigitte Helm, Phullis Brooks ก่อนมาตกที่ Elsa Lanchester ตัวละครนี้โผล่ออกมาแปปเดียวช่วงท้าย ไม่มีบทพูด แต่ภาพลักษณ์ของเธอ ทรงผมฟูๆชี้ไปด้านหลัง (เหมือนฟาโรห์ Nefertiti ของอิยิปต์) และทำ permanent wave (perm) นี่เป็นภาพของตัวละครที่ใครเห็นก็จะจดจำได้ (iconic) โผล่มาแย่งซีนได้เด่นมากๆ (ออกแบบตัวละครโดย Jack Pierce คนเดียวกับภาคที่แล้วที่ออกแบบตัวละคร Frankenstein)
สองนักแสดงหลักที่กลับมาจากภาคแรก Colin Clive ในบท Henry Frankenstein เห็นว่าระหว่างถ่ายทำ Clive ติดแอลกอฮอล์หนักมาก (เพิ่งเลิกกับภรรยา) จนหลายครั้งแสดงไม่ได้ เป็นที่เอือมระอาต่อทีมงาน แต่ที่ Whale ไม่ยอมเปลี่ยนตัวนักแสดง อ้างว่าเพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่แสดงได้ “hysterical quality” (ผมคิดว่าเพราะ Clive น่าจะเป็นคู่ขาของ Whale นะครับ เลยต้องดูแลกันจนถึงวาระสุดท้าย) อีกคนก็คือ Boris Karloff ในบท Monster ในภาคนี้เราจะเห็นว่าเขามีความอ่อนโยนขึ้นและพูดได้ Karloff ตอนที่รู้ว่าตัวละครพูดได้เขาก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะมองว่าเสน่ห์ของตัวละครนี้อยู่ที่พูดไม่ได้ “Speech! Stupid! My argument was that if the monster had any impact or charm, it was because he was inarticulate” กระนั้น Monster ก็ได้พูด Whale ได้ปรึกษานักจิตวิทยาของสตูดิโอและเลือกคำมาทั้งหมด 44 คำ ที่เด็ก 10 ขวบสามารถพูดได้ ให้ Karloff พูดออกเสียงทั้งๆที่เขาใส่ฟันปลอม คางปลอมอย่างนั้นนะแหละ คงทรมานไม่น้อย
ถ่ายภาพโดย John J. Mescall ผมไม่รู้สาเหตุทำไม Arthur Edeson ถึงไม่ถ่ายหนังเรื่องนี้นะครับ (สงสัยหมดสัญญา) Mescall ถือว่าเป็นขาประจำของ Universal Monster และหลังจากนี้ก็ได้ร่วมงานกลายเป็นประจำกับ James Whale ไปเลย ผมรู้สึกการเคลื่อนไหวของกล้องในหนังน้อยลงมากเมื่อเทียบกับภาคแรก ส่วนการจัดแสงและสีมีความมืดหม่น ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้เดิม ตัดต่อโดย Ted Kent ที่ได้ร่วมงานกับ Whale ตั้งแต่ The Invisible Man (1933)
ที่ต้องพูดถึงเลยคือ ฉากในห้องทดลองของ Frankenstein ออกแบบโดย Kenneth Strickfaden เขาเป็นช่างไฟ (electrician) และนักออกแบบฉากชื่อดัง มีผลงานออกแบบฉากให้หนัง Sci-Fi กว่า 100 เรื่อง ที่ดังๆก็ The Lost City (1935), The Wizard of Oz (1939) ฯลฯ ฉากนี้เป็นเหมือนการเสริมเรื่องราวจากภาคแรก ให้ดูจับต้องได้มากขึ้น การถ่ายภาพมีมุมกล้องเอียงแปลกๆ การตัดต่อที่สลับไปมาระหว่างในห้องทดลอง, สายฟ้า (ว่าว), เครื่องที่ทำให้เห็นประจุไหล เสียงไฟฟ้าช็อตที่สมจริงมากๆ ผสมเสียงฟ้าฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ผมเห็นแล้วกลัวแทนนักแสดงเลย เหมือน Whale จงใจให้คนดูรู้สึกอกขวัญสั่นประสาท จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลังเสร็จจากฉากนี้ เปิดผ้าปิดตาออก พอมาเห็น Bride ลืมตา Frankenstein ยังคงตะโกนว่า It’s Alive! สงสัยไม่เข็ด
หนังเรื่องนี้ฉายหลังปี 1933 ข้อจำกัดของเพลงประกอบหนังได้เปลี่ยนไปแล้ว เราจะได้ยินเสียงเพลงในหลายๆฉากไม่จำกัดแค่ Opening Credit และ Ending Credit อีกต่อไป, James Whale เจอกับ Franz Waxman ในงานเลี้ยง ได้ขอให้เขาทำเพลงประกอบหนังให้ และท้าทายว่า ตอนจบของหนังไม่มีการแก้ปัญหาอะไรเลยนอกจากการทำลาย คุณสามารถเขียนเพลงประกอบแบบนี้ได้ไหม “Nothing will be resolved in this picture except the end destruction scene. Would you write an unresolved score for it?” สิ่งที่ Waxman ทำคือสร้างเพลงประกอบให้กับ 3 ตัวละคร Monster, Bride และ Pretorius และตอนจบสร้างเพลงประกอบที่ใช้นักดนตรี 22 คน ในห้องอัด 9 ชั่วโมง ผสานเข้ากับเสียงระเบิดและภาพห้องทดลองที่พังทลาย มันมีความยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างมาก ทำให้ผู้ชมสมัยนั้นอึ้ง ทึ่ง อ้าปากค้างไปเลย ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ
ทำไมมีผู้ชายแล้วต้องมีผู้หญิง คำถามโลกแตกนี้คิดไปก็ปวดหัว ผมขออ้างมาจากหนังสือปฐมกาลแล้วกัน พระเจ้าสร้างมนุษย์ผู้ชาย แต่กลัวว่าจะเหงาเลยสร้างผู้หญิงจากกระดูกซี่โครงชิ้นหนึ่งของผู้ชาย ผมว่า Whale เลือกโจทย์ภาคต่อที่น่าสนใจมากๆ เพราะในภาคแรก Frankenstein ตะโกนว่า “Now I know what it feels like to be God!” แต่เขายังไม่ใช่พระเจ้าที่สมบูรณ์จนกว่าจะสร้างผู้หญิงขึ้นมา ในใจเขาไม่ต้องการที่จะให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอดีต แต่ศิษย์มีครู Pretorius ศิษย์โตขึ้นเป็นอย่างไรย่อมได้อิทธิพลมาจากครูผู้ให้ความรู้แก่เขา นี่ทำให้เรารู้ว่าความต้องการที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาของ Frankenstein ได้อิทธิพลมาจากอาจารย์ของเขานั่นเอง แต่สิ่งที่เขาสำเร็จถือว่าเป็นศิษย์เหนือครู แน่นอนว่ามันทำให้ครูที่ดีย่อมภาคภูมิใจในตัวศิษย์ แต่การกระทำของ Pretorius มันแสดงถึงว่าเขาไม่ได้แคร์อะไร Frankenstein มากนัก ออกไปทางอิจฉาเสียกว่า ครูจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกศิษย์คายความลับนั้นออกมา
การทดลองของ Pretorius เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก เขาสร้างมนุษย์ตัวเล็กขึ้นมา (ได้ยังไง!) เหตุผลที่สร้างแบบนี้ ก็เพื่อที่จะสามารถศึกษาและควบคุมพวกเขาแค่ภายในขวดแก้วได้ นี่เป็นสิ่งที่ Pretorius ต่างจาก Frankenstein, จากภาคแรกที่ผมวิเคราะห์ไป เหตุที่ Monster เกิดความหวาดกลัว สับสนไม่เข้าใจตัวเองเพราะ Frankenstein ไม่สามารถคิดหาวิธีหรือพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา แต่กับ Pretorius ผู้เป็นอาจารย์ มีประสบการณ์มากกว่า เขาทำการศึกษา เรียนรู้ ทำความเข้าใจ กำหนดกรอบขอบเขตและฝึกฝนสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาให้ ‘เชื่อง’ ได้, นี่สามารถเปรียบ Pretorius ได้เหมือน ‘แม่’ ที่คอยเลี้ยงดู สั่งสอน ชี้นำแนวทางให้กับลูกที่ยังเล็ก พ่อมักจะทำหน้าที่แบบนี้ไม่ได้, นี่เป็นการเติมเต็มเรื่องราวต่อจากภาคแรกด้วย เพราะ Monster มีแต่บิดาผู้ให้กำเนิด แต่ขาดแม่ที่สามารถสั่งสอน ชี้แนะ พอเจอกับ Pretorius จึงถือว่า Monster ได้เติมเต็มชีวิตของตัวเอง, หนังมี พ่อ-แม่ ที่เปรียบเหมือนพระเจ้าสร้างชีวิตแล้ว เพื่อให้ครบองค์ประกอบของจักรวาลจึงเหลือแค่สร้างบุตรให้ได้ ชาย-หญิง ครึ่งหลังของหนังคือการสร้าง Bride ให้กับ Monster นั่นเอง
พัฒนาการของ Monster ในภาคนี้ถือเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในภาคแรก Monster เผลอฆ่าเด็กหญิงคนหนึ่ง โยนเธอตกน้ำเสียชีวิตโดยไม่ตั้งใจ ในภาคนี้เขาแก้ตัวด้วยการ เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งตกน้ำ เขาก็รีบกระโดดลงไปช่วย (แต่ก็ถูกเข้าใจผิดคิดว่ากำลังจะทำร้ายหญิงสาว), ฉากในกระท่อมกับชายแก่ตาบอด (Hermit) ที่สอนให้ Monster พูดออกมาเป็นคำแรก เวลาในหนังเป็นตัวแปรที่น่าพิศวง เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเวลาในหนังผ่านไปเท่าไหร่ ฉากนั้นอาจกินเวลาหลายวันอยู่ เพราะ Monster สามารถพูดได้เกือบเป็นประโยคเลย
สำหรับชาว Christian ดูหนังเรื่องนี้คงหงุดหงิดมาก เพราะมีหลายฉากที่ดูเป็นการล้อเลียนพระเจ้าอย่างหนัก อย่างฉากในกระท่อมของชายแก่ตาบอด เราจะเห็นไม้กางเขนตรึงพระเยซูอยู่ในพื้นหลัง (กางเขนแบบ Crucify เป็นของ Christian นะครับ) อาหารที่เขาให้กับ Monster มันคล้ายๆกับ The Last Supper ที่มีขนมปังและไวน์ หลังจากถูกทรยศ Monster หนีไปซ่อนตัวในหลุมฝังศพใต้กางเขน Crucify ภาพพวกนี้ถูกมองว่าเป็นการล้อเลียนความศักดิ์สิทธิ์ “mockery of the divine” และคนที่เคร่งศาสนามากๆจะเรียก Frankenstein ว่าเป็นศัตรูของพระเจ้า Frankenstein’s monster to Christ
นักวิเคราะห์ วิจารณ์ทั้งหลายต่างพากันมองหนังเรื่องนี้มีใจความ Homosexual แฝงอยู่ เพราะ Whale เป็นผู้กำกับที่เผยตัวเองว่าเป็นคนรักร่วมเพศ ดังนั้นเขาจึงอาจแอบแฝงใจความบางอย่างไว้ ตัวละครที่ถูกมองว่าเป็น Homo คือ Pretorius เพราะเขามีการพูดจาโน้มน้าว Frankenstein ให้ออกมาจากแฟนสาว เพื่อทำในสิ่งที่ผิดธรรมชาติ (ชายหลอกหล่อชาย) นักแสดงที่เล่นเป็น Pretorius ก็เป็นเกย์ด้วยนะครับ, อีกตัวละครหนึ่งคือ ชายแก่ตาบอด (Hermit) ที่อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในกระท่อมกลางป่า ความที่ตาบอกคือไม่สนใจว่าจะเป็นใครเพศไหนเคยทำอะไรมา เชื้อเชิญเข้าบ้านด้วยความเต็มใจ ใช้คำว่าเพื่อน (Friend) I shall look after you, and you will comfort me. นี่สื่อไปทางความต้องการเพื่อคลายเหงา (ความต้องการ)
มีสิ่งน่าสงสัยในตัว Monster คือเขาเข้าใจเรื่องเพศหรือเปล่า เด็กกับผู้ใหญ่นี่ยังเห็นชัด แต่ชายกับหญิง ผมคิดว่าเขาแยกไม่ออกระหว่างมิตรภาพ friendships และความรักการแต่งงาน marriages ในบริบทของหนัง Bride คือเพศหญิงที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นคู่กับ Monster (Marriage) แต่ Monster อาจจะมอง Bride เป็นแค่เพื่อนร่วมโลก (Friendship) เหตุที่เขาต้องการ Bride คงเพราะต้องการคนที่สามารถเป็นแบบเดียวกับชายแก่ตาบอดที่เขาเจอ ไม่ใช่เพื่อแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแน่นอน … นี่หมายถึงมนุษย์กับพระเจ้าคิดไม่เหมือนกัน และมีความต้องการไม่เหมือนกัน
เมื่อ Monster สัมผัสกับ Bride เธอกรีดร้อง แสดงความรังเกียจออกมา ณ ขณะนั้น Monster รู้ได้ทันทีว่า เธอก็ไม่ต่างจากคนอื่น, ในหนังภาคนี้ Whale เปรียบ Monster เหมือนเด็ก 10 ขวบ นี่เป็นวัยที่ขี้งอแง พอทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็ทำลายมันทุกอย่าง เขายังไม่เข้าใจว่า ชีวิตมันต้องค่อยเป็นค่อยไป (ก็นะเกิดมาก็โตเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่เคยเป็นเด็กจะรู้ได้ยังไง กว่าชีวิตจะโตมา) เหมือนการตกหลุมรักใครสักคน เราต้องรู้จักกับเขา เข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย ให้เวลาสร้างความสนิทคุ้นเคยจนแปรเปลี่ยนเป็นรัก, Monster ยังไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ เขาเลยเหมารวมทั้งโลกว่าคงไม่มีใครที่จะเข้าใจเขาได้ พอเห็นคนทั้งโลกเป็นศัตรูของเขา การตายคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ผมประทับใจตอนจบมากๆ ไม่มีอะไรนอกจากการทำลาย ความหมายของฉากนี้ล้อกับคำพูดหนึ่งในหนังสือปฐมกาล “เจ้าถูกนำมาจากดินและเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” เห็นว่ามี Whale มีการเปลี่ยนแปลงตอนจบนิดนึง เดิมนั้นตัวละคร Frankenstein จะไม่ได้หนีเอาตัวรอดมาจากห้องทดลอง ตายไปพร้อมกับตัวละครอื่นๆ แต่ในเวอร์ชั่นสุดท้าย Whale ตัดสินใจให้ Frankenstein เอาตัวรอดหนีไปได้ … ผมชอบตอนจบแบบเก่ามากกว่านะครับ เพราะมันหมายถึงพระเจ้าผู้สร้างก็ตายได้เหมือนกับมนุษย์ (แน่หละถ้าเอาใจความนี้ หนังโดนแบน 100% ไม่ได้ฉายแน่นอน) ใจความตอนจบจึงเปลี่ยนเป็น พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ไม่ตาย แต่พระเจ้าที่มีจิตใจชั่วร้าย (Pretorius) และลูกๆที่มีบาปของพระเจ้าจะต้องตายกลับกลายเป็นผงคลีดินดังเดิม
หนังใช้ทุนสร้าง $397,000 เกินงบที่ประมาณไว้ถึง $100,000 เพราะนักแสดงได้รับบาดเจ็บระหว่างถ่ายทำ Karloff สะโพกหัก, Clive ขาหัก จนทำให้ต้องหยุดกองไปหลายวัน ไม่มีรายงานว่าหนังทำเงินรวมตลอดการฉายได้เท่าไหร่ แต่ก็ได้ทุนคืนในปี 1943 นะครับ (หนังสมัยก่อนฉายต่อเนื่องกันหลายปีเพราะฉายทีละเมือง ไม่ได้ฉายแบบพร้อมกันทั้งประเทศนะครับ)
ผมไม่เคยดูหนังเรื่องต่อไปของแฟนไชร์นี้นะครับ Son of Frankenstein (1939) คือเอาจนครบนะครับ พ่อ,แม่,ลูก, ตายไปเป็นวิญญาณ ยังมีเลย The Ghost of Frankenstein (1942) เห็นว่ามีแต่ Boris Karloff กลับมารับบท Monster อีกแค่ครั้งเดียวใน Son fo Frankenstein เหตุผลที่เขาเลิก เพราะผู้กำกับเปลี่ยนแปลงตัวละครนี้จนเขาไม่เห็นเสน่ห์ของตัวละครเหลืออยู่อีก James Whale ไม่กลับมาแล้วนะครับ Colin Clive ที่เล่นเป็น Frankenstein ก็เสียชีวิตไปแล้ว คุณภาพมันก็สู้กับ 2 ภาคแรกไม่ได้แล้ว ได้ยินว่ามันกลายเป็นหนังเกรด B ไปด้วย แฟนไชร์นี้ผมจะขอจบที่ Bride of Frankenstein เรื่องสุดท้ายนะครับ
นักวิจารณ์จากหลายๆสำนักมองว่า Bride of Frankenstein ยอดเยี่ยมกว่า Frankenstein ภาคแรกเสียอีก เพราะใจความแฝงและประเด็นของหนังที่ลึกซึ้งกว่า นิตยสาร TIME จัดให้ Bride of Frankenstein ติดอันดับ All-TIME 100 Movies แต่ Frankenstein ไม่ติดเสียงั้น ส่วนตัวผมให้คะแนนทั้งสองเรื่องเท่ากัน เพราะ Frankenstein มีจุดเด่นอย่างหนึ่ง ส่วน Bride of Frankenstein ก็มีจุดเด่นที่ต่างออกไป มันเติมเต็มกันเสียมากกว่าที่จะบอกว่าเรื่องไหนเด่นกว่ากัน ถ้าใครอยากดูต้นฉบับของ Frankenstein ให้ดูต่อกันไปทั้ง 2 เรื่องเลย ไม่ผิดหวังแน่ๆ
แนะนำกับคอหนังเก่าๆ การแสดงเยี่ยม เอ็ฟเฟ็กยอด เพลงประกอบสุดอลัง, แฟนหนัง Horror, และคนชอบเรื่องราวของ Frankenstein, จัดเรท PG ไม่มีฉากรุนแรงเท่าภาคแรก, คุณควรจะหา Frankenstein มาดูก่อน Bride of Frankenstein นะครับ
Leave a Reply