
Tenebre (1982) : Dario Argento ♥♥♥♥
Tenebre ภาษาละติน แปลว่า Shadow, Darkness, เงา ความมืดมิด เป็นภาพยนตร์ที่การนำเสนอความตายในรูปแบบงานศิลปะชั้นสูง งดงามเสียจนมีครั้งหนึ่งที่ผู้กำกับ Quentin Tarantino ยกให้คือการตายฉากโปรดตลอดกาล
italian, italy film
Tenebre (1982) : Dario Argento ♥♥♥♥
Tenebre ภาษาละติน แปลว่า Shadow, Darkness, เงา ความมืดมิด เป็นภาพยนตร์ที่การนำเสนอความตายในรูปแบบงานศิลปะชั้นสูง งดงามเสียจนมีครั้งหนึ่งที่ผู้กำกับ Quentin Tarantino ยกให้คือการตายฉากโปรดตลอดกาล
Deep Red (1975) : Dario Argento ♥♥♥♥
สังคมยุคสมัยก่อนที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า บางครั้งปกครองอย่างกดขี่ข่มเหง กักเธอไว้ในกรงขัง ใช้ความรุนแรงจนฝ่ายหญิงสะสมความโกรธเกลียดชัง อัดแน่นคลุ้มคลั่งอยู่ภายใน เมื่อถึงวันทนไม่ได้ปะทุระเบิดออกมา ลามระบาดไม่ใช่แค่ครอบครัวรอบข้าง แต่ยังทุกผู้คนที่สามารถสัมผัสล่วงรู้ได้
Don’t Torture a Duckling (1972) : Lucio Fulci ♥♥♥♥♡
การหยอกล้อ กลั่นแกล้งบุคคลผู้ไม่มีทางสู้ ครุ่นคิดว่าเขาคงไม่สามารถทำอะไรเราได้ แต่โดยไม่รู้ตัวสักวันหนึ่งอาจถูกหวนกลับมาล้างแค้น ไล่ล่าเข่นฆ่า หัวเราะทีหลังดังกว่า, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
What Have You Done to Solange? (1972) : Massimo Dallamano ♥♥♡
ครูสอนพละ ทั้งๆแต่งงานมีภรรยาอยู่แล้ว กลับสร้างสัมพันธ์สวาทกับลูกศิษย์สาวอายุ 18 ปี ระหว่างกำลังพลอดรักบังเอิญอยู่ในบริเวณสถานที่เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรม จะบอกกับตำรวจว่าไปทำอะไรอยู่แถวนั้นก็ใช่ที่ แล้วนี่ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดี?
A Bay of Blood (1971) : Mario Bava ♥♥♡
ร้อยเรียง 13 การฆาตกรรมที่คงทำให้คนส่วนใหญ่คลื่นไส้ปั่นป่วน หาสาระอะไรแทบไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Modern Slasher Film อาทิ Friday the 13th (1980), Scream (1996) ฯ และการถ่ายภาพ แพนนิ่ง เคลื่อนไหลได้อย่างคลุ้มคลั่งเสียสติแตก
The Bird with the Crystal Plumage (1970) : Dario Argento ♥♥♥♥
ภาพยนตร์เรื่องแรกแจ้งเกิด Dario Argento กลายเป็นเสาหลักไมล์ต้นสำคัญของแนว Giallo ยืนโรงฉายในอิตาลีกว่าสามปีครึ่ง, เปรียบผู้หญิงดั่งนกขนผลึก พยายามดิ้นรนโบยบินโหยหาอิสรภาพ แต่ทุกครั้งเมื่อสะบัดขนสยายกางปีกออก กลับสร้างรอยบาดแผล และใครบางคนต้องพบเจอความสูญเสีย
Blood and Black Lace (1964) : Mario Bava ♥♥♥♥
ครั้งแรกของวงการภาพยนตร์กับการนับศพ (Body Count) เมื่อฆาตกรสวมใส่หน้ากาก เข่นฆ่าโมเดลลิ่งสาวใน Haute Couture (Fashion House) ผู้ร้ายต้องเป็นคนภายในแน่ๆ แต่ใครกันละ? สีสันของงานภาพมีความสวยสด จัดจ้าน [พอๆกับ Suspiria (1977)] และเพลงประกอบดนตรี Jazz โคตรเซ็กซี่
The Girl Who Knew Too Much (1963) : Mario Bava ♥♥♥♡
แค่ชื่อหนังก็บ่งบอกถึงความคลั่งไคล้ในผลงานของผู้กำกับ Alfred Hitchcock ปรับเปลี่ยนจากชายมาเป็นหญิงผู้รู้มาก ใช้ประสบการณ์จากการอ่านนวนิยายสืบสวนสอบสวนมาเยอะ ออกติดตามค้นหาฆาตกร A-B-C เพราะชื่อขึ้นต้นของเธอคือ D มีแนวโน้มสูงจะกลายเป็นเหยื่อรายถัดไป
Black Sabbath (1963) : Mario Bava ♥♥♥♡
สามเรื่องสั้นละครึ่งชั่วโมง ที่จะทำให้คุณอกสั่นขวัญหาย ลุ้นระทึก จิดกัดเล็บ, สะพรึงไปกับ Boris Karloff ในบทแวมไพร์ (เรื่องเดียวที่รับบทผีดูดเลือด), โทรศัพท์เจ้าปัญหา ดังขึ้นไม่หยุดพร้อมคำขู่ฆ่า, และการลักขโมยของคนตาย นำพาซึ่งความหลอกหลอน
Black Sunday (1960) : Mario Bava ♥♥♥♡
แค่ภาพใบปิด ดวงตาของ Barbara Steele ก็น่าหวาดสะพรึงกลัวอย่างยิ่งแล้ว, ดัดแปลงหยาบๆจากเรื่องสั้น/นิทานพื้นบ้านรัสเซีย Viy ผลงานแรกแจ้งเกิดผู้กำกับ Mario Bava กลายเป็นภาพยนตร์แนว Gothic Horror ที่มีงานศิลป์ ถ่ายภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้ Bram Stoker’s Dracula (1992), Sleepy Hollow (1999)
Suspiria (2018) : Luca Guadagnino ♥♥♥♥
Suspiria ภาษาอิตาลี แปลว่า เสียงคราง, ทอดถอนหายใจ คงเป็นอาการของใครหลายๆคนเมื่อรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ชอบไม่ชอบอยู่ที่สามารถเข้าถึงนามธรรมซ่อนเร้นมากน้อยแค่ไหน เพราะทุกสิ่งอย่างคือกระจกสะท้อนกันได้ เกิด-ตาย ชาย-หญิง อดีต-ปัจจุบัน ความจริง-ความฝัน ภาพหลอน-เวทย์มนต์ เยอรมันตะวันออก-ตะวันตก เคลื่อนไหวทางการเมือง-พิธีกรรมแม่มด สุดท้ายอยู่ที่เราจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
Ossessione (1943) : Luchino Visconti ♥♥♥♥
ความหมกมุ่น ลุ่มหลงใหล ‘Obsession’ คือต้นกำเนิดแห่งโศกนาฎกรรม, ดัดแปลงจากนวนิยายอาชญากรรมเลื่องชื่อ The Postman Always Rings Twice กลายเป็นภาพยนตร์ที่ถือเป็นรากฐานของ Neorealist และ Giallo แต่เพราะความสมจริงเกินไป เกือบเอาตัวไม่รอดจากการถูกแบน เผาทำลายล้างโดยรัฐบาล Fascist Italian
Salò, or the 120 Days of Sodom (1975) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♡
ผลงาน Swan Song ของผู้กำกับ Pier Paolo Pasolini ดัดแปลงจากวรรณกรรมชิ้นเอกของ Marquis de Sade ผู้ให้กำเนิดคำว่า Sadism ทำการสะท้อนเสียดสี ตีแผ่ความสุดโต่ง คอรัปชั่นคดโกงกินของชนชั้นปกครอง ต่อประชาชนคนทั่วไปผู้มิอาจโต้ตอบต่อกรทำอะไรได้ ช่างเป็นทรมานบันเทิงที่หาความเริงรมณ์ไม่ได้สักนิด
The Canterbury Tales (1972) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥
เปลี่ยนบรรยากาศไปยุคสมัย Middle Ages ดัดแปลงตำนานแคนเตอร์บรี (The Canterbury Tales) มหาวรรณกรรมของประเทศอังกฤษ (ที่ได้แรงบันดาลใจจากตำนานสิบราตรี) ประพันธ์โดย Geoffrey Chaucer ตีความในมุมตัณหาราคะ พร้อมกับ Sex, คว้ารางวัล Golden Bear จากเทศกาลหนังเมือง Berlin
The Decameron (1971) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥♡
ร้อยเรียงตำนานสิบราตรี ผลงานชิ้นเอกของ Giovanni Boccaccio นักประพันธ์ชาวอิตาเลี่ยน ยุคสมัย Italian Renaissance อุปมานิทัศน์ถึงเรื่องราวความรักแบบต่างๆ เปิดตำนาน Trilogy of Life ของผู้กำกับ Pier Paolo Pasolini ตีความในมุมของตัณหาราคะ พร้อมกับ Sex, คว้ารางวัล Silver Bear: Jury Prize จากเทศกาลหนังเมือง Berlin
Oedipus Rex (1967) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥♡
คงเพราะใครๆน่าจะรู้จักบทละคอนโศกนาฎกรรมกรีกของ Sophocles เรื่อง Oedipus Rex ลูกฆ่าพ่อได้แม่เป็นเมีย ผู้กำกับ Pier Paolo Pasolini เลยทำการผสมผสานโยงใยเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันของประเทศอิตาลี สะท้อนเปรียบเทียบสภาพสังคมการเมือง อดีต-ปัจจุบัน แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน
The Gospel According to St. Matthew (1964) : Pier Paolo Pasolini ♠♠♠♠♠
ผู้กำกับ Pier Paolo Pasolini เป็นคนไม่เชื่อในศรัทธาพระเจ้า แต่เมื่อมีโอกาสสนทนากับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 ดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติพระเยซูคริสต์ในมุมคนนอกศาสนา มองคัมภีร์ไบเบิลคือนิยายเล่มหนึ่ง ผลลัพท์ออกมางดงามสมบูรณ์แบบระดับ Masterpiece, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Mamma Roma (1962) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥♥♡
Anna Magnani รับบท Mamma Roma แม่ผู้ยินยอมทำทุกสิ่งอย่าง เสียสละตนเองเพื่อลูกรักให้เติบโตขึ้นได้ดี แต่เพราะเธอเคยเป็นอดีตโสเภณี และเมื่อความจริงได้รับการเปิดเผย คนเป็นลูกจะสามารถยินยอมรับได้หรือเปล่า, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Accattone (1961) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥♥♡
ภาพยนตร์เรื่องแรกแจ้งเกิด Pier Paolo Pasolini ได้รับการสนับสนุนผลักดันจาก Federico Fellini แต่พอได้เห็นฟุตเทจถ่ายทำมา พลันด่วนถอนตัวออกไปทันที, เรื่องราวของแมงดาหนุ่มเรียกตัวเองว่า Accattone วันๆเรื่อยเปื่อยไม่ทำอะไรนอกจากเกาะผู้หญิงกิน แถมบีบบังคับให้เธอขายตัวนำเงินมาถลุงเล่นพนันจนหมดตัว คนแบบนี้มีอะไรดี ไฉนพบเห็นได้ทั่วไปในสังคม?, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Arabian Nights (1974) : Pier Paolo Pasolini ♥♥♥♥
ตีความเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านอาหรับราตรีในมุมของตัณหา ราคะ ความรักมาพร้อมกับ Sex ด้วยไดเรคชั่นไร้ยางอายของ Pier Paolo Pasolini หรือจะเรียกว่าซื่อตรงต่อสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ คว้ารางวัล Grand Prix จากเทศกาลหนังเมือง Cannes, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”